Friday, September 29, 2006

จดหมายจากตู้ไปรษณีย์สีเขียว





ไม่มีใครรู้ว่าระหว่างสายฝนที่ขยันตกลงมากับกาลเวลา อะไรคือสิ่งที่ทำให้ตู้ไปรษณีย์หน้าบ้านของผมขึ้นสนิม


นับตั้งแต่ผู้ประกาศข่าวสาวบอกว่า ปีนี้ฝนจะตกลงมาอย่างยาวนานจนไปถึงเดือนธันวาคม ผมก็เห็นด้วยคล้อยตามมาตลอด

อาจเป็นเพราะต้องเจอะเจอกับสายฝนที่ตกลงมาทุกๆ วัน แบบเอาแน่เอานอนไม่ได้ผมถึงกล้ารู้สึกร่วมเช่นนั้นก็เป็นได้
บางวันผมตื่นขึ้นมาในตอนเช้าด้วยเสียงเม็ดฝนที่หล่นกระทบหลังคา บางคืนผมก็หลับตาลงพร้อมๆ กับสายฝนที่เพิ่งตกลงมาจนมองไม่เห็นพระจันทร์

แต่ก็มีอยู่วันหนึ่งที่ผมนอนไม่หลับเพราะจดหมายห้าฉบับที่ซ่อนตัวอยู่ใต้โต๊ะหนังสือ ไม่ใช่เสียงเม็ดฝนที่หล่นกระทบหลังคาเหมือนเช่นเคย…ใช่ผมเป็นคนซ่อนมันไว้เองหลังจากที่ตัดใจทิ้งมันไม่ลง

ยิ่งเพ่งมองดูนานเท่าไร ร่องรอยบางอย่างก็ทำให้พอจะรู้ว่า ก่อนหน้านี้จดหมายทั้งห้าฉบับคงถูกเปิดขึ้นมาอ่านพอสมควร แต่เวลาเหล่านั้นกลับผ่านไปอย่างเนิ่นนาน จวบจนถึงปัจจุบันจดหมายทั้งห้าฉบับก็ค่อยๆ ถูกเปิดอ่านทีละฉบับๆ อีกครั้งหนึ่ง…แม้ทุกฉบับจะเริ่มต้นด้วยรอยยิ้มและจบลงด้วยความทรงจำดีๆ บางอย่างก็ตาม

ก่อนหน้านี้ที่จดหมายทั้งห้าฉบับจะเดินทางมาถึง ผมไม่เคยหันไปมองตู้ไปรษณีย์ที่หน้าบ้านเลยสักครั้งเดียว แม้กระทั่งตอนที่เดินผ่าน

แต่หลังจากที่มีจดหมายฉบับแรกของเธอเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาเยี่ยมเยียน ตู้ไปรษณีย์สีเขียวเก่าๆ กลับดูน่ามองขึ้นมาทันที

การเขียนจดหมายถึงกันและกันอาจจะดูเป็นเรื่องธรรมดาของใครหลายๆ คน แต่สำหรับคนสองคนโดยเฉพาะที่คนหนึ่งไม่ชอบเขียนหนังสือนั้น การได้ลงมือเขียนจดหมาย และเรียนรู้การรอคอยย่อมมีความนัยบางอย่างซ่อนไว้...ไม่มากก็น้อยความนัยเหล่านั้นถูกเรียกว่าความรู้สึกดีๆ

แต่สำหรับอีกคนที่รอคอยการมาของจดหมายกลับมีค่าเกินกว่าจะหาสิ่งใดเปรียบ


หลังจากที่ได้รับจดหมายฉบับแรกทุกๆ วันผมจะคอยเดินไปดูที่ตู้ไปรษณีย์สีเขียวเสมอ จนจดหมายกลายเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง และทำให้เราสองคนเลิกเขียนอีเมล์ถึงกัน

ฉบับที่หนึ่ง สอง สาม สี่ ผ่านไป ลายมือที่ขยุกขยิกของเธอมักจะเขียนมาพร้อมกับคำพร่ำบ่นในลายมือของตัวเองเสมอ จนทำให้ผมอดที่จะยิ้มทุกครั้งไม่ได้ที่เปิดอ่าน และทุกครั้งผมจะรีบเขียนจดหมายตอบเธอกลับไปด้วยความกระตือรือร้น


คืนวันผลัดเปลี่ยนเหมือนใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วง ระยะทาง ความห่างไกล และกาลเวลา ถูกเลือกเป็นแบบทดสอบระหว่างสองเรา


เรื่องราวความสัมพันธ์ของเราสองคนน่าจะดำเนินอยู่เช่นนี้ และจดหมายน่าจะเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆแต่จนแล้วจนรอดจนมาถึงจดหมายฉบับที่ห้า…

ผมก็รู้สึกเหมือนตัวเองทุกทิ้งขว้างทางจดหมายอย่างไม่ใยดี แม้คำลงท้ายของจดหมายฉบับนั้นจะเป็นความห่วงใยจากเธอตาม

ไม่มีคำตอบใดๆ นอกเสียจากความเงียบ และตู้ไปรษณีย์สีเขียวเก่าๆ ก็ไม่เคยมีจดหมายของเธอมาเยือนอีกเลย

ทุกๆ วันผมก็ยังคงหันไปมองตู้ไปรษณีย์สีเขียวเก่าๆ เสมอ บางครั้งเวลาเดินผ่านก็จะหยุดยืนมอง ถึงจะรู้และเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร แต่ความคุ้นเคยที่ผูกพันบางอย่างก็ทำให้ผมหลีกเลี่ยงเรื่องราวเก่าๆ ไม่ได้ โดยเฉพาะความรู้สึกดีๆ

เวลาผ่านไปนานเท่านานจนผมลืมเรื่องราวของจดหมายทั้งห้าฉบับ หลังจากที่ครั้งหนึ่งเคยคิดจะฉีกมันทิ้งหรือไม่ก็เอาไปเผาจนไม่สามารถเอากลับมาอ่านได้อีก

แต่จนแล้วจนรอดทุกอย่างก็เป็นได้เพียงความนึกคิด หลังจากอ่านจดหมายทั้งห้าฉบับจบ ผมตัดสินใจเขียนจดหมายถึงเธออีกหนึ่งฉบับเพียงเพื่อจะหวังจดหมายฉบับที่หก

เวลาผ่านไปไม่นานการรอคอยก็สิ้นสุด

ค่ำคืนหนึ่งที่สายในตกลงมาอย่างหนักหน่วง ผมเดินฝ่าสายฝนเข้าบ้าน ตู้ไปรษณีย์สีเขียวทำให้ผมต้องยิ้มออกมา เมื่อเห็นจดหมายฉบับหนึ่งนอนหลบฝนอยู่อย่างแน่นิ่ง ผมนึกในใจมันคงเป็นจดหมายที่เธอเขียนตอบกลับมา แต่สายฝนก็กระหน่ำลงมาอีกครั้งเมื่อจดหมายฉบับนั้นคือจดหมายที่ถูกตีกลับ

จดหมายใช้ระยะเวลาเดินทางไปหาเธออยู่สองอาทิตย์ และรอคอยเธอจนหมดเวลาอนุญาตให้อยู่ในประเทศ ถึงอีกอาทิตย์กว่าๆ ก่อนจะเดินทางกลับบ้านมาหาผมอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว

ตามความเข้าใจขั้นพื้นฐาน เธอคงย้ายที่อยู่ใหม่ ไม่มีคนรับ หรือไม่ก็ไม่มารับในตามที่กำหนด ฯลฯ หรือจะด้วยเหตุผลใดๆ ก็แล้วแต่ แต่จดหมายฉบับนี้ก็ไม่เคยมีโอกาสเดินทางไปถึงเธออีกเลย และกลายเป็นจดหมายฉบับที่หกที่ถูกซ่อนไว้ใต้โต๊ะหนังสือ

ต่างกันก็แค่จดหมายฉบับนี้ผมเขียนถึงเธอไม่ใช่เธอเขียนถึงผม

ส่วนตู้ไปรษณีย์สีเขียวที่หน้าบ้านก็คงไว้เพียงความว่างเปล่าจวบจนถึงปัจจุบัน

และมีเพียงสายฝนกับกาลเวลาที่คอยเติมเต็ม กับสนิมที่เกาะกินความทรงจำไปวันๆ…

Wednesday, September 20, 2006

หลังโรงละคร


ตีพิมพ์ครั้งแรก ขายหัวเร่าะฉบับเดือนธันวาคม 2548

เป็นเวลาบ่ายโมงแล้วที่แสงแดดอันร้อนแรงของพระอาทิตย์ยามเที่ยงเพิ่มอุณหภูมิอารมณ์ในตัวก๋องให้เข้าใกล้จุดเดือดเข้าไปอีก หากเพียงเสี้ยววินาทีนั้นที่ก๋องปล่อยให้อารมณ์มาเป็นนายของร่างกายนิ้วมือทั้งห้าของเขา คงร่วมแรงร่วมใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไปกระแทกปากของหมาในร่างมนุษย์ผู้นั้นแล้ว หากแต่ยังเป็นความโชคดีของก๋องที่สมองยังแข็งแรงพอไม่ยอมให้อารมณ์มาเป็นนายของร่างกายโชคยังดีที่ยังควบคุมสติได้ ก๋องจึงได้มานั่งอยู่ใต้ต้นมะขาม แถวสนามหลวงแทนสถานีตำรวจ สนามหลวง เวทีละครขนาดใหญ่ของกรุงเทพฯ แดนสิวิลัยที่ใคร ๆ ก็มาอาศัยบารมีของมันในการดำรงชีพ “พี่ๆ เช่าเสื่อสักผืนไหมพี่ 20 บาทเอง”

ที่นี่มักจะมีทั้งหนังบั้นปลายและหนังหัวเรื่อง ของแต่ละชีวิตมาให้ดูอยู่บ่อย ๆจะมีเปลี่ยนบางก็แค่ตัวละครที่เปลี่ยนไปตามอายุและกาลเวลา ยามตะวันส่องหัว อากาศร้อนๆ อย่างนี้จะคิดจะทำอะไรก็หงุดหงิดไปหมด ยิ่งในเมืองใหญ่ ๆ อย่างนี้ด้วยแล้วน้ำใจคงระเหยไปกับอากาศและพร้อมใจรวมกันไปไหนต่อไหนแล้วก็ไม่รู้ ภาพของขอทาน คนเร่ร่อน พ่อค้า แม่ค้า วัยรุ่น คนแก่ คนทุกเพศ ทุกวัย หาดูได้ไม่
ยากนัก ประหนึ่งง่ายเหมือนการกระพริบตายามที่ไม่ได้เจ็บตา

สายตาของก๋องยังคงจับจ้องไปที่รถยนต์คันหรู สีแดงที่จอดติดไฟแดงตรงถนนฝั่งตรงกันข้ามไม่เกินไปกว่าระดับสายตาของก๋อง ภายในรถปรากฏภาพของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์สองคนหนึ่งเป็นมนุษย์เพศชาย สวมใส่เสื้อผ้าที่เรียกว่าสูท มีแว่นสีดำปกคลุมนัยตาเขาอยู่ ถัดจากมนุษย์เพศชายเป็นมนุษย์เพศหญิง อยู่ในชุดที่คงไม่สามารถปกป้องเธอจากความหนาวได้ แต่คงเหมาะกันดีกับอากาศร้อน ๆ อย่างวันนี้ หน้าตาของเธอเต็มไปด้วยสิ่งเติมแต่ง ปากของเธอ แก้มของเธอมีส่วนประกอบของสีแดง ยิ่งทำให้เธอแลดูกลมกลืนกับสีของรถและไฟแดงเข้าไปอีก ก๋องคงไม่ติดใจมองเธอนานเป็นพิเศษ หากว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ก๋องเคยตามจีบตั้งแต่สมัยมัธยม

“อย่างเธอนะเหรอจะมาจีบชั้น ไม่ดูตัวเองเลยว่าอะไรควรไม่ควร” หญิงสาวเอ่ยขึ้นมาเมื่อครั้งที่ก๋องเคยบอกความรู้สึกกับเธอไป
บางครั้งคำพูดก็เป็นเครื่องมือชั้นดีในการวัดคุณภาพของคนเรา ก๋องก้มลงมองดูตัวเอง เสื้อยืดห่านคู่ กางเกงยีนส์ รองเท้าแตะ นี่แหล่ะชุดเก่งของเขา ก๋องยังคงไม่ละสายตาไปจากเธอคนนั้น มิใช่ว่าเค้าทำใจลืมเธอไม่ได้ หากแต่เพียงก๋องสนใจที่จะมองดูเด็กขายพวงมาลัยข้าง ๆ เธอต่างหาก ด้วยเสียงของยานพาหนะที่เข้ามารบกวนโสตประสาทหูทำให้เหลือแต่เพียงดวงตาคู่เดียวของเขาที่ทำหน้าที่ในการถ่ายทอดการสื่อสารของคนสองคน เวทีละครท้องสนามหลวงกำลังฉายหนังเรื่องใหม่ให้เค้าดูอีกครั้ง

หญิงสาวกวักมือและเลื่อนกระจกใส ที่กั้นพรมแดนของเธอกับเด็กคนนั้นออกยังไม่ทันที่เด็กขายพวงมาลัยจะได้ขยับปากกลุ่มสารนิโคตินก็พวยพุ่งออกจากปากของเธอไปยังหน้าของเด็กคนนั้นทันที หญิงสาวหันไปหัวเราะกับชายหนุ่มในชุดสูท ก่อนที่รถยนต์คันหรูจะเคลื่อนตัวออกไปทิ้งให้เด็กขายพวงมาลัยยืนสำลักควันที่มนุษย์อย่างเธอผลิตขึ้นมาพร้อมๆกับควันที่รถยนต์คันหรูทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าโดยไม่คิดราคาสังคม เด็กขายพวงมาลัยเดินกับขึ้นไปยืนอยู่ตรงเก่าะกลางถนน เพื่อรอคอยไฟแดงอีกครั้งก็จะได้ทำหน้าที่อย่างเดิมอีก จนกว่าพวงมาลัยในมือจะหมดและจะได้กลับบ้านเสียทีบางครั้งพวงมาลัยก็กุมชะตาของใครบางคนได้อยู่หมัด ภาพของเด็กขายพวงมาลัยตามเกาะกลางถนนคงไม่ใช่ภาพที่หาดูได้ยากนัก

หากย้อนไปสัก 20 ปี เด็กชายก๋องก็เคยอาศัยเกาะกลางถนนเป็นที่ยังชีพให้กับตัวเองมาแล้ว เขายังคงจำอาชีพแรกในชีวิตของเขาได้ เมื่อลืมตาดูโลกได้เพียง 7 ปี เด็กชายก๋องเคยวิ่งหนี้ตำรวจที่มาไล่จับ วิ่งหนีเจ้าถิ่นที่ขายอยู่เป็นประจำ วิ่งหนีพวกนักเลงที่มาไถตังค์ หนักสุดก็ตอนที่ตำรวจเอาปืนอัดลมไล่ยิ่ง แล้วเด็กชายก๋องวิ่งหนีจนโดนรถชน แต่ด้วยความตกใจ ต่อมอะดีนาลีนแตกซ่านทำให้เด็กชายก๋องตกใจวิ่งเตลิดต่อไปอีก รู้สึกตัวอีกที่ก็ไม่รู้อยู่ที่ไหนแล้ว เด็กชายก๋องคิดอยู่เสมอว่าถ้าไม่ได้ขายพวงมาลัย อาชีพที่จะเหมาะที่สุดกับเขาคงไม่พ้น นักกีฬาวิ่งแข่ง เผลอ ๆทีมชาติจะขี้คร้านมาอ้อนวอนเค้าบ่อย ๆ

“เฮ้อ”! ก๋องถอนหายใจเบาๆนึกถึงวันวานแล้วก็ยิ่งมีค่าแห่งการจดจำ ควันรถยนต์ที่อาศัยท่อรถผ่านออกมาสู่ก๋องทำให้เด็กชายก๋องหายไป เหลือแต่เพียงนายก๋องที่กำลังกลืนกินควันเข้าไปเต็ม ๆ ก่อนวินาทีที่สติสัมปชันญะของเขาจะเรียกเขากลับคืนสู่อาการปกติ ชายในชุดสูทสีดำเดินเข้ามาหาเขาด้วยท่าทางรีบร้อน คล้ายๆกับจะเดินเข้ามาหาเรื่อง ยังไม่ทันที่ก๋องจะระวังตัว มือของชายชุดดำก็จับไปที่หัวไหล่ของก๋องแล้วพูดกับก๋องว่า “เจ้านายครับหมดเวลาพักร้อนแล้วพรุ่งนี้เจ้านายมีนัดประชุมตอนบ่ายโมงครับเจ้านาย ”

บ้านทอฝัน


“เด็กคืออนาคตของชาติ” ประโยคนี้อาจจะเป็นถ้อยคำที่อยู่ในส่วนหนึ่งของ
ระบบความทรงจำที่เรารับรู้มาอยู่เสมอ แต่หากใครสักคนหนึ่งจะบอกว่า “เด็กคือผ้าสี ขาว” ก็คงไม่แตกต่างอะไรกันนัก ถ้าผ้าสีขาวเหล่านั้นได้รับการแต่งแต้มสีสันอย่างสวยงามเพื่อ เติบใหญ่เป็นอนาคตของชาติอย่างประโยคเกริ่นนำข้างต้นที่สวนทางกับจังหวะของสังคมที่เลวร้าย ลงทุกวันและไม่เหลือพื้นที่เว้นว่างให้เด็กๆได้มีสิทธิในการเรียกร้องอนาคตของพวกเขาได้ตาม ความต้องการ ท่ามกลางความห่างไกลของความเจริญและอากาศที่เหน็บหนาวของสายหมอก ในหุบเขาของอ.สังขละบุรี จากถนนทางหลวงหมายเลข323 จนมาถึงสามแยกวัดวังก์วิเวการาม
เลี้ยวขวาไปอีก14กิโลเมตร ยังคงมีบ้านเล็กๆหลังหนึ่งที่สร้างขึ้นประมาณ 7-8 หลังบนเนื้อที่เพียงไม่กี่ไร่ ที่ประกอบไปด้วยพ่อ แม่และลูกๆอีก33คน อาศัยอยู่ร่วมกันท่ามกลางความเหน็บหนาว
ของสายหมอกจากหุบเขาในบ้านที่ชื่อว่า”บ้านทอฝัน”
จากการถามสอบถามเส้นทางจากชาวบ้านละแวกนั้น ไม่นานนักเราก็มาถึงยังบ้านทอฝัน
ที่ตั้งตัวอยู่ท่ามกลางความงดงามของธรรมชาติ เราได้ยินเสียงของเด็กๆ4-5คนที่วิ่งมาหาเราทันที
ที่รถจอดบอกกับเรา พลางยกมือไหว้เมื่อเราบอกถึงจุดประสงค์ของการมาในครั้งนี้ว่า
“พ่อไม่อยู่ครับ พ่อไปกรุงเทพ” ก็เล่นทำเอาเราอึ้งๆไปตามๆกันเพราะก่อนจะมาเราก็
ไม่ได้ติดต่อที่นี่ไว้ เพราะเงื่อนไขของพื้นที่ตั้งของบ้านทอฝันที่หลบหนีความเจริญ การสื่อสารจึง
คล้ายกับหมดความหมายไปโดยปริยาย แต่เมื่อเสียงของเด็กคนหนึ่งบอกว่า“แต่ถ้าเป็นแม่ต้องรอ
สักครู่เพราะแม่พาพี่บัวไปโรงพยาบาลในตัวเมืองครับ” จึงทำให้อาการอึ้งๆของเราคลายลงไปได้
เยอะและเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มขึ้นมาทันที่
หลังจากเด็กๆเดินจากไป เราเลือกที่จะฆ่าเวลาของการรอคอยพี่ยุพาด้วยการเดินสำรวจ
พื้นที่ของบ้านทอฝัน ที่มีบ้านหลังเล็กหลังน้อย7-8หลังสร้างอยู่อย่างงดงามด้วยอิฐสีแดงสดบวก
กับเฟอร์นิเจอไม้บางส่วน รวมไปถึงเด็กๆที่วิ่งเล่นอยู่อย่างสนุกสนาน ชาวญี่ปุ่น3-4คนที่นั่งอยู่ใน
เรือนผ้ามัดย้อม ยิ้มให้กับเราอย่างเป็นกันเองและบอกกับเราว่า
“ยุพาซังไปข้างนอกเดี๋ยวก็กลับมา”
ไม่นานนักรถกระบะคันสีขาวที่ข้างๆเขียนไว้ว่า มอบให้บ้านทอฝันก็วิ่งเข้ามาจอดใกล้ๆกับ
ที่เรานั่งพักอยู่ เด็ก2คนวิ่งลงมาจากรถเพื่อเข้าไปเล่นกับเพื่อนๆ โดยปล่อยให้ผู้หญิงตัวเล็กๆคน
หนึ่ง เดินยิ้มตาหยีเข้ามาหาพวกเราแทน
หลังจากทักทายและบอกถึงจุดประสงค์ในการมาของเราให้พี่ยุพาทราบแล้ว การสนทนา
อย่างเป็นกันเองบนพื้นที่ของรอยยิ้มจึงเริ่มขึ้นอย่างง่ายๆ พี่ยุพาบอกกับเราว่า บ้านทอฝันมีพี่ยุพา
(ยุพา คงสุข)กับพี่นาท(กัมปนาท บัวฮมบุรา) เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของที่นี่หรือ”พ่อกับแม่”ของเด็กๆ
อีก33คน ที่อยู่ในบ้านทอฝัน ปีนี้บ้านทอฝันมีอายุ11แล้ว พี่นาทเป็นคนจัดตั้ง บ้านทอฝัน
เป็นบ้านที่ดูแลเด็กด้อยโอกาส มีทั้งเด็กที่ครอบครัวยากจนและแตกแยกรวมทั้งเด็กที่ไม่มีอะไร
นอกจากตัวและหัวใจ พี่ยุบอกกับเราว่า
บ้านหลังแรกของบ้านทอฝันจะเป็นรูปตัว L แต่ว่าตอนที่เข้ามาจริงๆมันเป็นคล้ายๆ
กระต๊อบขึ้นไป 4 เสา แล้วก็เอียงไปครึ่งหนึ่ง เริ่มมาจากไม่มีอะไรเลย แล้วก็เริ่มสร้างมาตอนแรกๆ
ทำเป็นบ้านไม้แต่ว่าไม่เข้าท่า เพราะว่าที่สังขละมันเป็นหน้าฝนๆ อากาศมันจะชุ่มยกเว้นปีนี้ฝน
น้อยมากเพราะฝนไม่ตก ทุกปีน้ำจะเยอะตอนแรกๆจะมีบ้านไม้ เมื่อก่อนจะมีเด็กเล็กๆประมาณ
4-5 ขวบเล่นไฟ จุดไฟหิ้งพระ ไฟก็ลุกไหม้หลังคาก็เลยลื้อตรงนั้นออกไปครึ่งหนึ่งก็เหลือครึ่งหลัง
จริงๆมันก็ยากในการอยู่กับเด็ก เรื่องใช้พวกเทียน ตะเกียง บ้านมันเป็นไม้ ทั้งป่ามันก็เป็น
ไม้ไผ่ ไผ่ตั๋งเป็นไม้ติดไฟง่ายมาก พี่กลัวมากเรื่องไฟ เพราะว่าอยู่ที่นี่มาไฟไหม้ 3ครั้ง ที่ชัดๆ ทุก
วันนี้ก็เลยสร้างบ้านจากอิฐมากกว่าอย่างที่เห็น
“อย่างเด็กๆที่เข้ามาอยู่ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่แนะนำเข้ามา เป็นปากต่อปากมากกว่า
เพราะเขารู้ว่าเราดูแลเด็กทางด้านนี้ อย่างสมมุติน้องเข้ามารู้ว่าเราทำลักษณะอย่างนี้ น้องก็อาจจะ
บอกว่าเด็กแถวๆบ้านดูแล้วแย่ อยากจะฝากให้เราเลี้ยงดูก็เอามาฝากได้” เราจึงได้ถามพี่ยุถึงเรื่อง
ค่าใช้จ่ายของเด็กในการให้บ้านทอฝันเลี้ยงดู
“มาอยู่ฟรีค่ะ เพราะว่าค่าใช่จ่ายทุกอย่างเราจะหาเข้ามาจุนเจือ เราไม่ได้เปิดกล่องขอ
บริจาคส่วนใหญ่เราจะทำผ้ามัดย้อมสีธรรมชาติจำหน่ายกัน แล้วก็ทำอิฐดินซีเมนต์ขายกัน”พี่ยุ
บอกกับเราพลางยิ้มตาหยี
เพียงจำนวนของพ่อและแม่2คนกับการเลี้ยงดูลูกๆอีก33คน จึงไม่ใช่เรื่อง่ายดายนักที่จะ
ดูแลได้อย่างทั่วถึงแต่พี่ยุและพี่นาทก็มีวิธีเลี้ยงลูกของพวกเขาที่น่าสนใจเลยทีเดียว
"จะเน้นเป็นแบบครอบครัวซะส่วนใหญ่ เหมือนพ่อแม่ดูแลลูก เหมือนกับว่าบ้านทอ
ฝันเป็นครอบครัวใหญ่มีลูกหลายคนเท่านั้นเอง ที่มีอยู่ตอนนี้อายุเล็กสุด 5ขวบ แต่ที่เคยดูแลมา
เล็กสุด 4เดือนตอนนี้ก็เข้าป.1แล้ว”
สำหรับโอกาสทางการศึกษาของเด็กๆนั้น พี่ยุยังคงยิ้มตาหยีแล้วบอกกับเราว่า
“พี่กับพี่นาทก็ให้เขาไปโรงเรียนเหมือนกับเด็กๆคนอื่นๆในหมู่บ้าน ที่ส่งเรียนจนจบก็มีแล้ว
บางคนก็ไปอยู่ต่างประเทศอย่างตอนนี้มีไปอยู่อเมริกาคนนึง
เราถามพี่ยุถึงระบบการศึกษาทางเลือกที่บ้านทอฝันถูกพูดถึงอยู่บ่อยๆพี่ยุก็บอกกับเราว่า
“จริงๆแล้วเราเน้นทุกด้าน เราจะมาเน้นแบบทางเลือกซะทีเดียวก็ไม่ได้ เพราะว่าสังคมยังไม่เปิด
กว้างซะขนาดนั้น ความคิดของเราจะเป็นความคิดแบบทางเลือกมากกว่า เพราะว่าเราจะไม่ได้พึ่ง
ทางนอกซะเท่าไหร่จะพยายามพึ่งตัวเองซะมากกว่า แล้วเด็กที่นี่ก็ได้รับการศึกษาแบบค่อนข้าง
สมบูรณ์เหมือนเด็กข้างนอกทั่วๆไป คือส่งเรียนก็ให้เรียนหมดทุกคน
ส่วนเรื่องภาษาเรามีอีไลที่เป็นอาสาสมัครจากอเมริกามาเป็นผู้ช่วย เขาจะช่วยสอน
ภาษาอังกฤษ อย่างน้องๆญี่ปุ่นมาเขาก็สอนภาษาญี่ปุ่น บางช่วงก็มีเกาหลี เดือนหน้าก็จะมีรัสเซีย
ค่อนข้างจะหลากหลายค่ะ เราไม้ได้ปิดกั้นว่าคุณต้องเอาภาษาอังกฤษอย่างเดียวหรือภาษาไทย
อย่างเดียว เพราะเด็กที่นี่บางคนก็มาจากครอบครัวมอญ ครอบครัวกระเหรี่ยง ครอบครัวพม่า
วันว่างหรือเวลาที่กลับมาจากโรงเรียนของเด็กๆ รวมไปทั้งทั้งเด็กๆตัวเล็กตัวน้อยที่อายุยัง
ไม่ถึงเกณฑ์ พี่ยุก็จะมีกิจกรรมมาให้เด็กๆทำอยู่เสมอ
“พี่จะเน้นความอยู่รอดหมายถึงอาชีพและทักษะต่างๆ ถ้าทำการเกษตรเราจะมีแปลงผัก
ซึ่งอยู่อีกที่นึง แล้วก็มีโรงสี เด็กก็จะไปช่วยที่โรงสีตอนนี้ก็ไปสองคน เด็กที่พอจะช่วยดูแลงานตรง
นั้นได้ พืชก็จะมีแตงกวาและฟักทองมาก ปกติที่นี่จะมีฟักทองมากแต่ตอนนี้มันหมดรุ่นพอดี ใช้เอง
ด้วยและขายด้วย”
การพึ่งพาตัวเองโดยไม่รบกวนระบบของสังคมภายนอกจึงทำให้บ้านทอฝันมักจะถูกมอง
ในมุมมองของเรื่องความแปลกอยู่เสมอ
“เขามองว่าที่นี่แปลก เหมือนกับมองว่าบ้านทอฝันทำไมอยู่ได้ คนเขาจะเริ่มสนใจเขาเอา
เงินมาจากไหน ส่วนใหญ่คนจะมองว่าเรารับเงินบริจาค แต่เราไม่รับบริจาค เราทำผ้ามัดย้อมจากสี
ธรรมชาติกับอิฐดินซีเมนต์ดูแลไม่น่าเชื่อ เขาค่อนข้างเชื่อเรายากแต่ว่าก็มีอยู่บางกลุ่มที่เราดึงเขา
มาทำงานด้วย อยากมัดย้อมเราก็ไม่ได้ทำเองทั้งหมดเราส่งให้ชาวบ้านทอ พอทอเสร็จแล้วเอามา
มัดย้อมที่นี่ เราดึงเอาเยาวชนจากข้างนอกเข้ามาทำงานที่นี่ พอย้อมเสร็จเรื่องการรีดเราไม่มีไฟฟ้า
ใช้ที่นี่เราก็ส่งรีดแล้วเราก็ส่งชาวบ้านต่อเป็นการกระจายงานและให้ชาวบ้านเข้าใจมากขึ้นในเรื่อง
ของผลประโชน์ที่เขาคิดว่าเราใช้พวกเขาเป็นเครื่องมือ ชาวบ้านเขาก็ไม่ค่อยมองเราตรงจุดนั้นแล้ว
ตอนแรกเขาก็แปลกๆ พอเราปฏิบัติจริง ไม่ใช่ฝันอยู่บนฟ้า คือนานๆไปเขาก็จะรู้ว่าทำอย่างไร ทำ
อะไรอยู่ หลังๆก็เริ่มเข้าใจ เสื้อผ้าส่วนใหญ่ที่เราทำก็จะส่งออกไปขายที่ประเทศญี่ปุ่นส่วนใหญ่ทำ
ส่งญี่ปุ่น
มันจะมีช่วงเดือนมกราคม เราจะมีงานวันเด็ก จะมีเด็กในหลายๆหมู่บ้านอย่างห้วยกบ
ห้วยมาลัย ในตัวของสังขระ แล้วก็มอญ มันจะมีเด็กๆร่วมพันกว่าคนมาทำกิจกรรมที่นี่ ส่วนใหญ่
น้องๆนักศึกษาจะมาทำกิจกรรมกันด้วย เฉพาะสต๊าฟก็มีร้อยกว่าคนซึ่งจะมาอาทิตย์ที่สองของ
เดือนมกราคม เราจะจัดทุกๆปี บางปีจะมีชาวญี่ปุ่นมาร่วมด้วย บางที่ก็ถือโอกาสตรงนี้ในการ
แลกเปลี่ยน การจัดงานวันเด็กแบบนี้ใช่ว่าเด็กจะได้อย่างเดียว นักศึกษาที่เข้ามาก็จะได้อะไร
กลับไปด้วย อย่างเช่นวัฒนธรรมของญี่ปุ่น ถือโอกาสเป็นการแลกเปลี่ยนกันไปในตัวแล้วเด็กๆเขาก็
ได้ความรู้ดี
จำนวนเด็กๆ33คนที่มาจากเลือดเนื้อคนละเชื้อสายนั้น ปัญหาการทะเลาะระหว่างกันจึง
คล้ายกับเป็นเรื่องธรรมดาของลิ้นกับฟันที่มักมีโอกาสกระทบกันอยู่เสมอ
“จริงๆเด็กบางที่เค้าก็มีอารมณ์ บางทีอยากเล่นอยากตะโกนส่วนใหญ่จะให้กระโดดน้ำๆ
เป็นชีวิตจิตใจ วันไหนเฮี้ยวมากๆจะให้กระโดดน้ำตอนเที่ยง ส่วนใหญ่จะลงน้ำให้เขาระบาย แต่ถ้า
ช่วงที่ไม่อยู่หรือไม่มีรถติดบ้านก็ไม่ให้ลง พยามให้ช่วยเหลือตัวเองให้มากที่สุด ทำได้หรือไม่ได้ก็
ต้องลองทำก่อน แต่จะมีเด็กโตมีเอกลักษณ์ บูม แล้วก็จะมีเด็กโตอีกคนที่จะดูแลน้องเล็กได้ บางที่ก็
ให้จับคู่เป็น Buddy ดูเรื่องความสะอาด เรื่องชุดที่จะไปโรงเรียน ปิดเสาร์-อาทิตย์ วันจันทร์มีรึ
ยัง แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆถึงขนาดต้องลงโทษพวกเขา ถ้าทะเลาะกันมากๆก็ให้ยืนกอดกัน บางทีพี่ก็มีตี
แต่การตีมันก็ไม่ใช่การทำร้ายร่างกายหรือทารุณกรรม เราเรียกว่าตีเพื่อก่อ พี่ว่ากฎหมายเรื่องการตี
เป็นเรื่องรุนแรง ไม่ใช่ตีแล้วไม่รัก รักมากถึงตีถึงสอน ซึ่งเขาก็รักกันดี ถ้าน้องทำผิดหรือเล่นอะไรที่
มันอันตราย เล่นมีด เล่นเทียน เล่นไฟก็จะเตือนและก็จะสอนให้พี่ดูแลน้องด้วย จะบอกว่าแม่ดูแล
น้องไม่ไหวเพราะคนเยอะ”
อย่างคนนอกที่เข้ามาช่วยดูแลก็จะไม่ค่อยมีอยู่แล้วเพราะที่นี่มันไกล คนจะมาถึงก็คงท้อ
เมื่อก่อนเคยมีคนมาถามว่าอยากเลี้ยงอาหารเด็กขอจองคิวได้ไหม พี่ก็บอกเขาว่า
“ที่นี่ไม่ต้องจอง มาได้เลยค่ะ”
ส่วนเรื่องค่าอาหารบางครั้งก็ไม่พอเหมือนกัน บางทีอาหารไม่พอเราก็ดัดแปลงเอา คือปลา
ที่เลี้ยงอยู่ คือจริงๆแล้วอยู่ง่ายกินง่าย อย่างเรื่องที่เวลาเด็กๆออกไปข้างนอกแล้วเขาอยากได้อะไร
พี่ก็จะพยายามให้เขาเรียนรู้ด้วยตัวเองว่าเงินหายาก ทีนี้อยากได้อะไรจะให้ทำงาน ถ้าประเคนให้
อย่างเดียวเขาจะไม่รักษาของ เด็กที่นี่เล่นกีต้าร์เก่ง เพราะช่วงแรกๆจะมีนักศึกษามาออกค่ายเด็ก
เขาเห็นเขาอยากจะเล่นบ้าง ก็เล่นจนเป็นเลยซื้อกีตาร์ให้เขา6-7ตัว จะเป็นเด็กโตที่พอจะเล่นได้
แต่ก็อยู่ได้ไม่เกิน 5 เดือนเริ่มพังไปทีละตัวๆ เหลือตัวสุดท้ายไม่รู้จะทำยังไง ทีนี้กีต้าร์มันแตกใช้
ไม่ได้ก็เลยต้องเผาทิ้ง พี่ก็ให้พวกเด็กๆมารวมกันตรงที่ๆเผากีตาร์ตัวนั้นนะ เป็นการไว้อาลัยให้กับ
เพื่อนของเขาที่จากไป เขาก็จะเริ่มผูกพันกับมันไปในตัวแล้วปัญหาไม่รักษาของก็จะค่อยๆทุเลา
ไปเอง
การอยู่แบบครอบครัวใหญ่ๆอย่างนี้ลูกๆของพี่นาทกับพี่ยุจึงอยู่ร่วมกันโดยปราศจากการ
จดทะเบียนเป็นลูกบุญธรรม ซึ่งก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตอะไรมากนัก เพียงแต่ตอนแรกที่เข้ามาพี่ยุจะ
ทำประวัติไว้ว่าเขามายังไง ใครส่งมา มีปัญหาอะไรเพราะว่าจะได้เป็นข้อมูลเบื้องต้นในการดูแล
บางที่เขาส่งมาพี่ยุไม่รู้พื้นเพ ก็จะดูแลเขายาก ถ้ารู้พื้นเพก็จะได้ดูแลเขาได้ง่ายขึ้น ตอนนี้พี่ยุก็กำลัง
ดูเรื่องจดทะเบียนอยู่ ท่ามกลางเสียงเม็ดฝนที่หล่นกระทบหลังคา พี่ยุหยุดพูดไปพักหนึ่งใหญ่ๆแล้ว
บอกกับเราว่า
“คือเราไม่รู้ว่าเราจะคุ้มครองตัวเองได้ขนาดไหน พี่ไม่เคยคาดหวังอะไรในตัวเขามากไป
กว่าการที่เขาโตขึ้นไปเป็นคนดีในสังคม อย่างสังคมอีกด้านหนึ่งที่ปิดกั้นโอกาสของเด็กๆเหล่านี้
บางทีพี่ก็อยากให้เขาเข้าใจเด็กมากกว่าที่เป็นอยู่ ถ้าเด็กอยากทำอะไรอยากให้ลองก่อน อย่าพึ่ง
บอกว่า อย่าทำ อยากให้ลองก่อนถ้าไม่ได้เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีก็ไม่เสียหาย เหมือนอย่างที่พี่กับพี่
นาททำอยู่ทุกวันนี้เราสองคนก็จะช่วยเหลือต่อไปเพราะเราเดินมาทางนี้แล้วจะย้อนกลับหรืออยู่กับ
ที่คงเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเกิดวันหนึ่ง บ้านทอฝันปราศจากพี่ทั้งสองคนก็ยังจะมีเด็กโตที่เราเทรนให้
เขามารับหน้าที่ในการดูแลน้องๆของพวกเขาอยู่เป็นตัวแทน เพราะพี่สองคนเชื่อมั่นอยู่เสมอว่า เด็ก
ที่ใครๆเขามองกันว่าเป็นส่วนเกินของสังคมหรือลูกๆของพี่เหล่านี้ในบ้านทอฝัน เมื่อก้าวออกไปจาก
บ้านทอฝันแล้ว พวกเขาจะต้องเติบโตขึ้นไปเป็นคนดีของสังคมแน่นอน…
ท่ามกลางความเหน็บหนาวของสายหมอกในหุบเขาอ.สังขละบุรี อาจจะสามารถ
บรรเทาได้ด้วยเสื้อกันหนาว แต่ความเหน็บหนาวที่เกิดจากการขาดความรัก ความเข้าใจ
และการถูกทอดทิ้งให้อยู่ตามลำพังนั้น ยากที่จะหาเสื้อผ้าชนิดไหนมาบรรเทาให้หายได้
ความฝันของเด็กๆที่ถูกสังคมทอดทิ้ง ชายหนุ่มและหญิงสาวคู่หนึ่งได้สานทอมันขึ้นมา
อย่างเงียบๆบนรอยยิ้มเขาเพียงสองคนที่สลับกับเสียงหัวเราะของเด็กๆต่อไป ภายใต้
ชายคาของบ้านที่มีชื่อสั้นๆว่า”บ้านทอฝัน”ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไรที่สังคมของบ้านเราจะ
โอบกอดเด็กๆเหล่านี้ได้อย่างเข้าใจ…

Wednesday, September 06, 2006

ดอกไม้ยางแบน




เรื่องของเรื่องคืออยู่ๆ พี่สาวนักเขียนก็บอกว่าชอบคำที่เขียนว่าดอกไม้ยางแบน แต่งานอื่นๆ ในบล็อกยังไม่โดนเท่าไร(สืบเนื่องมาจากขุดงานเก่าๆ มาลง) ก็เลยหันไปบอกว่า ดอกไม้เป็นชื่อจักรยานที่ใช้อยู่ทุกวันแล้ววันนั้นไปเติมลมมาแล้ว…พอเล่าถึงตรงนี้พี่สาวนักเขียนก็บอกว่า เดี๋ยวไปเขียนในบล็อกให้พี่อ่านดีกว่า ก็เลยต้องเงียบไปตามระเบียบ

พอพูดถึงดอกไม้แล้วก็นึกย้อนไปถึงวันแรกที่ไปซื้อมาจากร้านจักรยานมือสองแถวลำลูกกา ตอนนั้นไปเดินดูอยู่หลายวันจนสุดท้ายก็ได้จักรยานโบราญที่มีตะแกรงหนีบของข้างหน้ายี่ห้อ Miyata คันสีส้ม ในราคา 3,500 บาท และปั่นกลับบ้านเอง(ประมาณ10 กิโล) เพราะนั่งรถเมล์ไปซื้อ

อีกหนึ่งอาทิตย์ต่อมาก็จัดการแปลงโฉมซะใหม่ด้วยการเอาไปทำสีชุบโครเมี่ยมหมดไปประมาณอีก4,000 บาท ตอนที่บอกช่างทำสีว่าจะเอาสีชาเย็นนั้นดันเข้าใจผิดว่าชาเย็นเรียกว่านมเย็น สีที่ออกมาจึงเป็นสีชมพูอ่อนๆ ไม่ใช่สีส้มอย่างที่เห็น แล้วตั้งชื่อว่าไอ้ดอกไม้ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เบ็ดเสร็จแล้วดอกไม้ราคาประมารเกือบ 8,000 บาท 3 ปีผ่านมาแล้วแต่ล้อของดอกไม้ก็หมุนอยู่ทุกวัน และยังคงไม่มีเบรกหลังเช่นเคยเพราะหาซื้ออะไหล่ไม่ได้
มีอยู่ครั้งหนึ่งผมปั่นดอกไม้ตามรถยนต์คันหนึ่งบนถนนแล้วโดนตำรวจเรียก ตอนนั้นได้แต่คิดว่าจะโดนจับข้อหาอะไรหรือเปล่า แต่กลับกลายเป็นว่า ตำรวจเขาชอบไอ้ดอกไม้เลยอยากจะขอซื้อ
“10,000 ขายมั๊ย”
ได้แต่ยิ้มๆ แล้วส่ายหน้าบอกไปว่า
“ไม่ขายครับ”
“ไม่ขายงั้นจับนะ”
“ข้อหาอะไรครับ”
“รถสวย”
แล้วทุกวันนี้ตำรวจคนนั้นก็ยังคงถามอยู่เสมอหากว่าเจอกัน แต่ขอโทษนะครับคุณตำรวจ ผมเป็นคนรักใครรักจริงครับ(แป่ว เกี่ยวไรกันว่ะเนี่ย)
ดอกไม้ในวันนี้ถูกสนิมจับเกือบจะหมดทั้งคันแล้วเนื่องจากว่าเอามาใช้งานจริงๆ ทุกวันไม่ได้มีไว้เพื่อขี่โชว์สาวทั้งๆ ที่ดอกไม้เป็นจักรยานที่สวยมากๆ ทุกๆ วันผมจะปั่นดอกไม้มาจอดไว้ที่ร้านรับฝากรถของป้าหน้าปากซอยจนกลายเป็นขาประจำกันไปหรือไม่หากวันไหนกลับมาไม่ทันดอกไม้ก็จะกลายเป็นรถที่โชว์อยู่ในร้านแทน มีช่วงหนึ่งที่ดอกไม้ถูกพักร้อนไปนานพอสมควรเพราะความสะดวกสบายที่ผมหันไปพึ่งบริการของพี่มอเตอร์ไซด์รับจ้างแทนถึงขนาดที่ว่าเห็นดอกไม้อีกทีก็มีหยากไย่เกาะอยู่ที่ดอกไม้แล้วยางก็แบนไปมาก

สามวันที่ผ่านมาผมจึงกลับมาปั่นดอกไม้อีกรอบหนึ่งแล้วให้ลุงร้านจักรยานเติมลมให้ ถ้าใครที่เคยปั่นจักรยานบ่อยๆ คงจะรู้ว่าเวลายางแบนกับยางตึงๆ นั้น แรงหน่วงตอนปั่นมันต่างกันแค่ไหน ดอกไม้ก็เช่นกันเติมลมเสร็จก็พาผมวิ่งฉิวเหมือนเมื่อวันแรกๆ ที่ซื้อมา แต่พอปั่นไปได้ครึ่งทางก็เริ่มรู้สึกว่าต้องออกแรงมากขึ้นๆ จนในที่สุดก็ต้องลงมาจูงดอกไม้เดินกลับบ้าน นึกในใจสงสัยว่าคงขับไปเหยียบอะไรจนยางรั่วแน่ๆ แต่พอถึงบ้านถึงได้รู้ว่า ลุงที่เติมลมให้แกไปคลายเกลียวตรงจุกลมแล้วลืมปิด ลมที่เติมเลยออกหมดเลย…ตอนนี้ดอกไม้เลยยางแบนจอดแน่นิ่งอยู่ที่บ้านรอแมงมุมมาทำลังใหม่อีกครั้งหนึ่ง เลยไม่รู้ว่าจะโกรธลุงที่เติมลมหรือตัวเองที่ไม่ใส่ใจดอกไม้เหมือนวันก่อนๆ ที่ไม่ยอมดูจุกเติมลมว่ามันแน่นหรือเปล่าจนทำให้ต้องเดินจูงดอกไม้เข้าบ้านเป็นกิโลท่ามกลางแดดในตอนเที่ยง…

Tuesday, September 05, 2006

คิดถึง



ท้องฟ้าวันนี้อ้างว้าง…มีเพียงความทรงจำเป็นก้อนเมฆ
แสงแดดในยามเช้าที่ส่องผ่านเข้ามาในห้องนอน ทำให้ผมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องตื่นก่อนเวลาที่กำหนดไว้เหมือนทุกๆ วันที่ผ่านมา แต่จะแปลกหน่อยก็ตรงที่วันนี้ ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับความคิดถึง

ปกติแล้วหลังจากลืมตาตื่นขึ้นมา ผมมักจะเดินไปเปิดเพลง แล้วนั่งนิ่งๆ อยู่กับที่สักพักหนึ่ง คล้ายๆ การวอร์มจังหวะของชีวิตให้พร้อมรับมือกับเรื่องที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน แต่ในเช้าวันนี้ผมกลับได้แต่นอนนิ่งๆ อยู่บนที่นอน แล้วกลายเป็นชายผู้เงียบใบ้ของยามเช้า โดยไม่มีเสียงเพลงใดๆ แว่วดังเหมือนทุกเช้าที่ผ่านมา
ภาพของความทรงจำเก่าๆ ถูกกรอกลับไปกลับมา คล้ายฉากบางฉากในหนังที่ดูกี่รอบก็ไม่เคยเบื่อ ที่ตรงนี้ ร้านนี้ หนังสือเล่มนี้ เพลงนี้ และชื่อเล่นที่ต่างคนต่างตั้งให้กัน ทุกอย่างล้วนกลายเป็นความทรงจำที่ทอดผ่านให้ได้คิดถึงอยู่เสมอ

อยากคุย จำเบอร์โทรศัพท์ได้ขึ้นใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก คล้ายๆ ตายจากกันทั้งที่ยังมีลมหายใจอยู่ และทำได้เพียงนอนคิดถึงอยู่เงียบๆ เพียงฝ่ายเดียว
เมื่อเราได้คิดถึงใครสักคน เราจะไม่รู้สึกว่าเขาหรือเธอคนนั้นอยู่ห่างไกลจากเรา และเพียงแค่หลับตาลงก็จะได้พบเจอ ถึงแม้จะรู้ว่า บางครั้งความคิดถึงก็ไม่ต่างอะไรจากความว้าเหว่

เช้านี้จึงกลายเป็นเช้าที่ดูจะโรยรา แม้ว่ากาลเวลาที่ผ่านพ้นไปในแต่ละวัน น่าจะช่วยให้อะไรๆ ดีขึ้นมาบ้าง โดยที่ลืมเสียสนิทใจว่า บางครั้งบางเวลา ความรู้สึกข้างในก็ยังย่ำอยู่ที่เดิม และไม่ได้เดินหน้าอย่างที่คาดหวังไว้

กาแฟคาปูชิโน่แก้วเล็กๆ กลายเป็นเครื่องมือในการนวดอารมณ์ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่ง ไอร้อนจากแก้วกาแฟคาปูชิโน่พลิ้วไหว เพราะลมหายใจที่ถอนออกมา เพียงเพื่อหวังให้อ้อมกอดของความคิดถึงคลายตัวลงไปบ้าง

อารมณ์คิดถึงใครสักคนหนึ่งที่เรารักเป็นความรู้สึกที่งดงาม แต่ในทางกลับกันก็คล้ายดั่งมีดเล่มหนึ่งที่กดลึกลงไปในส่วนลึกของความรู้สึก หากว่าเขาหรือเธอคนนั้นได้แต่เพียงนึกถึงเราไม่ใช่ คิดถึง

คนเราคิดถึงกันแทบทุกวันของลมหายใจ อยู่ที่ว่าจะจับความรู้สึกของตัวเองได้หรือเปล่า บางคนใช้ดอกไม้หรือตุ๊กตาเป็นสื่อแทนคำว่า คิดถึง ในขณะที่บางคนเลือกที่จะเงียบใบ้เพราะกลัวจะได้เพียงคำว่า “นึกถึง” เป็นเสียงตอบกลับมา เมื่อเอ่ยคำว่า “คิดถึง” ออกไป
“คิดถึงเสมอ”
คือถ้อยคำในจดหมายฉบับเก่าๆ ของเธอ ที่ผมยังเปิดอ่านซ้ำอยู่บ่อยๆ หลังจากที่เราสองคนต้องลาจากกัน
“ชีวิตคือชีวิต มีทั้งดีและร้าย และเราก็ต้องเดินต่อไป”
คือถ้อยคำที่เธอพูดกับผมเป็นครั้งสุดท้ายในค่ำคืนของการลาจาก อาจจะจริงอย่างที่เธอพูด แต่จะแย่หน่อยก็ตรงที่เธอเดินไปพร้อมกับคนรักของเธอ ในขณะที่ผมเดินไปพร้อมกับเงาของตัวเอง และเลือกที่จะใช้ชีวิตลำพังโดยมีความทรงจำเก่าๆ เป็นเพื่อนคุย

ไอร้อนของกาแฟคาปูชิโน่ลอยหายไปในอากาศพร้อมกับความคิดถึงในช่วงเวลาที่ยังลืมตา และได้แต่หวังว่า คงมีบ้างบางเสี้ยววินาที ที่ความคิดถึงได้เดินไปจนสุดทาง
แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่ความคิดถึงที่ถูกลืม…

กลีบดอกไม้


กลีบดอกไม้ร่วงโรยลงบนพื้น
เธอจำฉันได้หรือเปล่า
เมื่อฉันเดินออกมาจากความทรงจำ
ฉันกลับมาแล้ว
ฉันกลับมาแล้ว
เธอจำฉันได้หรือเปล่า
รอยยิ้มของฉัน
ยังคงเหมือนเดิม
มีเพียงกาลเวลาที่แปรเปลี่ยน
กลีบดอกไม้ร่วงโรยลงบนพื้น
เธอก้มลงเก็บกลีบดอกไม้
หวังเพียงให้ดอกไม้เป็นดอกไม้
รอยยิ้มของฉัน
ยังคงเหมือนเดิม
มีเพียงกาลเวลาที่แปรเปลี่ยน
เช่นเดียวกันกับดอกไม้ในมือเธอ…

ผมชื่อบันได ฉันชื่อลิฟต์



ผมชื่อบันได ฉันชื่อลิฟต์

ตัวผมเป็นขั้นสูงขึ้นไปเรื่อยๆ

ตัวฉันเป็นกล่องสี่เหลี่ยมใหญ่ๆสูงขึ้นไปเรื่อยๆ

มีคนมาใช้บริการผมมากมาย

มีคนมาใช้บริการฉันมากมายเหมือนกัน

แต่เวลาที่เค้าใช้บริการจากผมเนี่ย

แต่เวลาที่เค้าใช้บริการจากฉันเนี่ย

เค้ามักจะพูดกันว่า

เค้ามักจะพูดกันว่า

“เหนื่อยจัง”

“สบายจัง”

ตอนนี้คนเลยใช้บริการจากผมน้อยลง

ตอนนี้คนเลยใช้บริการจากฉันมากขึ้น

น้อยลง น้อยลงจนแทบจะไม่มีเลย

มากขึ้น มากขึ้นจนแทบจะไม่ได้หยุดเลย

“สบายจัง”

“เหนื่อยจัง”

ถึงจะเหงาไปหน่อยก็เถอะ

ถึงจะไม่เหงาก็เถอะ

ยังไงซะผมก็อยู่ตัวคนเดียวมาตั้งนานแล้ว

ยังไงซะฉันก็ยังโชคดีที่มีไฟฟ้าเป็นเพื่อน

“ ทำไมมืดจังไฟฟ้าดับเหรอ”

“ ทำไมมืดจังไฟฟ้าดับเหรอ”

“ไชโยมีคนมาใช้บริการผมแล้ว”

“โห ทำไมไม่มีคนมาใช้บริการฉันเลย”

“ขอบคุณที่ใช้บริการผมนะครับ”

“มาใช้บริการฉันมั่งสิ”

ถึงพวกคุณจะต้องเหนื่อยสักหน่อย

ถ้าพวกคุณไม่อยากเหนื่อย

แต่ผมก็จะพาคุณไปสู่ที่สูงผมรับรอง

ก็เอาไฟฟ้ามาให้ฉันสิแล้วคุณจะสบาย

ตัวผมเป็นขั้นสูงขึ้นไปเรื่อยๆ

ตัวฉันเป็นกล่องสี่เหลี่ยมใหญ่ๆสูงขึ้นไปเรื่อยๆ

“มีคนมาใช้บริการผมมากมาย”

“ไม่มีใครมาใช้บริการฉันอีกแล้ว”

Monday, September 04, 2006

เหงาๆ


เหงาๆ
ผมร้อยเรียงอักขระที่เห็นเหล่านี้บนหน้ากระดาษที่ว่างเปล่าจนกลายเป็นทิวแถวของถ้อยคำที่พอจะอธิบายความเหงาในช่วงเวลานี้ได้บ้าง ใครคนหนึ่งเคยบอกว่า ความเหงาตัวเท่าบ้านก็เห็นจะจริงโดยเฉพาะในวันที่เราต้องอยู่กับตัวเองมากขึ้น

ต้นเหตุของความเหงาอาจมีหลายสาเหตุ บ้างมาจากการใช้ชีวิตประจำวัน สภาพแวดล้อม คนรัก เพื่อน ฯลฯ หรือแม้กระทั่งความไม่เข้าใจกัน เหงาในที่นี้หากเป็นคนที่ใช้ชีวิตเพียงลำพังกลับมาบ้านไม่เจอใคร คนที่เพิ่งเลิกกับแฟน หรือใช้ชีวิตแบบเด็กหอคงเข้าใจได้ง่ายขึ้น

เมื่อเหงามากๆ สิ่งหนึ่งที่มักจะตามมาคือการไม่มีกำลังใจจะทำอะไร อารมณ์ประมาณเดินไปไหนมาไหนเป็นเห็นหน้าเศร้าๆ นั่นแหละใช่เลย แต่สำหรับบางคนอาการอย่างนี้ก็อาจจะเป็นเพราะเหนื่อยหรือท้อแท้กับอะไรบางอย่างก็ได้เช่นกัน

หลายๆ คนเลือกวิธีคลายเหงาด้วยการอยู่กับเพื่อน กินเหล้า เที่ยวหรือแม้กระทั่งการไปให้ความหวังกับใครสักคนแล้วพอหายเหงาก็ทิ้งเขาไปง่ายๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่พอช่วงเวลาเหล่านั้นผ่านไป คนเหล่านั้นอาจไม่รู้ว่าความเหงาได้กอดรัดตัวเขามากขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ผมไม่เคยใช้วิธีบำบัดอาการเหงาแบบนั้น เพราะมันจะทำให้ผมรู้สึกเหงาชิบหายเข้าไปอีก และมักจะพยายามหายเหงาด้วยตัวเองเสมอ ได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง ทุกครั้งก็ผ่านมาได้ แม้ว่าจะผ่านมาแบบหัวหกก้นขวิดก็ตาม

การพาตัวเองออกไปเดินนอกบ้านท่ามกลางผู้คนมากมายไม่ได้หมายความว่ามันจะทำให้ความเหงาคลายอ้อมกอดออกจากเราได้อย่างจริงจัง และในทางกลับกันเมื่อเรากลับถึงบ้านก่อนล้มตัวลงนอนความเหงาก็จะกอดรัดเราจนหลับไปพร้อมกับเราเสมอ

ความเหงาทำให้ฝนที่ตกลงมามีอิทธิพลมากกว่าการเป็นหวัด ลมหนาวยามค่ำคืนก็มักจะเพิ่มอุณหภูมิขึ้นทุกครั้งในยามที่ความเหงามาเยือน นักเดินทางเพียงลำพังอาจจะหยุดก้าวเดินเมื่อต้องกระชับอ้อมกอดของตัวเองให้แน่นขึ้นในช่วงเวลาที่เดินสวนกับคู่รักคู่หนึ่งบนท้องถนน และดอกไม้ที่ร่วงโรยรามักจะเพิ่มอารมณ์ของความเหงาได้เป็นทวีคูณเสมอ

ครั้งหนึ่งเคยมีเพื่อนผมคนหนึ่งโทรมาชวนผมไปดูหนัง ให้ทำทุกอย่างแทนแฟนที่เพิ่งเลิกลากันไป ทั้งๆ ที่ตั้งใจตั้งแต่แรกแล้วว่า เมื่อไม่มีเขาก็ต้องอยู่ได้ แต่สุดท้ายก็ทนเหงาจนทนไม่ได้ และต้องหาใครสักคนมาทดแทน ระหว่างกลับบ้านเพื่อนคงโทรหาใครอีกมากมายเพื่อจะได้ไม่มีเวลาเหงา ส่วนผมนั่งรถตู้กลับบ้านคนเดียวไม่ได้โทรศัพท์หาใคร ได้แต่นั่งนิ่งๆ มีเพียงแสงจากเสาไฟฟ้าข้างถนนที่ทอดผ่านตัวไปตลอด และไม่วายที่จะแอบบอกตัวเองว่า เหงาวะ

ใครบางคนเคยบอกว่าช่วงเวลาที่ความเหงาอยู่กับเราของแต่ละคนอาจไม่เท่ากัน แต่ก็ไม่มีใครบางคนออกมายืนยันว่าช่วงเวลาที่เหงาสั้นๆ ดีกว่าช่วงเวลาที่เหงายาวๆ เพราะไม่ว่าจะเหงาสั้นๆ หรือเหงายาว มันก็ทำให้รอยยิ้มของเราจางลงได้เท่าๆ กัน

ชีวิตมีอะไรมากกว่าการมานั่งเหงา ใครสักคนอาจจะบอกเราอย่างงี้ แต่วันหนึ่งหากเขาต้องเหงาบ้างเขาอาจจะพอเข้าใจคำว่าชีวิตได้ดีขึ้น

เพราะคนเราเหงากันทุกวัน ทุกเวลา ไม่เว้นว่าจะเป็นเพราะอะไร….

Friday, September 01, 2006

สวัสดีวิภพ


Transitions
งานแสดงภาพเขียนและตัดปะ
2 กันยายน - 1 ตุลาคม 2549 เป็นการแสดงผลงานร่วมกันของศิลปินชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในเมืองไทยมาเป็นเวลานาน Magaret Ingles และ Adi Kirketerp คนแรก เป็นงานเหมือนจริง ใช้เทคนิคสีน้ำมันบนผ้าใบ ส่วนคนหลังใช้เทคนิคสื่อผสม โดยนำวัสดุที่หาได้จากรอบตัวมาใช้ คำว่า “Transitions” ในนิทรรศการนี้เป็นนัยของการเคลื่อนไหวและการเปลี่ยนแปลง Transitions จัดแสดงขึ้นที่ Rotunda Gallery และ Garden Gallery & Café ที่ห้องสมุดนิลเซน เฮส์ เปิดให้เข้าชม วันอังคาร ถึง วันอาทิตย์ เวลา 9.30 น. ถึง 17.00 น. คุณซูซาน ฟาน ลาโฮเวน ภัณฑารักษ์ โรทันดาแกลเลอรี่ โทร. 07-800-8965 susannevl@yahoo.com



นิทรรศการเซรามิก
หอศิลป์ริมน่าน
วันนี้ - 15 ตุลาคม 2549 ณ หอศิลป์ริมน่าน 112 หมู่ 2 ต.บ่อ อ.เมือง จ.น่าน ชมนิทรรศการเซรามิกในรูปแบบร่วมสมัย จากลำปาง เมืองศิลปะเครื่องปั้นดินเผาเขลางค์นคร โดยศิลปินดัง อาทิ ต่อศักดิ์ ประคำทอง, พิทักษ์ นิรภัย, เมธี โกสุมภ์, รุ่งนภา ยืนยงวนานนท์, เรวัตร ไชยยารักษ์, อรัญญา หิรัญวัชรพฤกษ์ และอุทัย เขนยโทร.0 - 5479 - 8046, 0 - 1322 - 2912


“ควบกล้ำธรรมชาติ”
นิทรรศการศิลปะพ่อแม่ลูก
วันนี้ - 10 กันยายน 2549 ณ หอศิลป์จามจุรี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แดนสรวง-อรวรรณ-ดล-แดน สังวรเวชภัณฑ์ สี่คนพ่อแม่ลูก ชวนเชิญและร่วมเข้าเรียนในห้องเรียนธรรมชาติเด็ก ที่ไม่ได้เป็นแต่ศิลปะ ผ่านสื่อสารจิตรกรรมและสื่ออิเล็กทรอนิกส์
โทร. 02-321-3401 doldan@doublenature.com www.doublenature.com


Bangkok Art Avenue
"ถนนศิลปะริมคลองคูเมืองเดิม"
วันนี้ -31 ธันวาคม 2549 เวลา 10.00-19.00 น. เฉพาะวันเสาร์ - วันอาทิตย์ บริเวณคลองคูเมืองเดิม เขตพระนคร มีงานส่งเสริมกิจกรรมศิลปะและวัฒนธรรมในพื้นที่ อาทิสอนศิลปะฟรี สอนเพ้นท์แก้ว สาธิตการวาดรูป ดนตรีเปิดหมวก การแสดงศิลปะแขนงต่าง ๆ เช่น ภาพถ่าย โปสการ์ด หนังสือทำมือ ละครเวที ละครใบ้ ดนตรีพื้นบ้าน ถนนสายจักรยาน (Bike road) โดยกิจกรรมต่าง ๆ จะมุ่งเน้นการใช้ศิลปะ เพื่อยกระดับจิตใจของผู้คน อีกทางหนึ่งด้วย [


นิทรรศการภาพเปลือยของหญิงสาว
วันนี้ - 10 กันยายน 2549 เวลา 10.00-19.00 น. ทุกวัน (ยกเว้นวันเสาร์- วันอาทิตย์ เวลา 12.00-18.00 น.) ณ หอศิลป์จามจุรี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชมนิทรรศการโดย สุวรรณี สารคณา ที่นำเสนอผลงานภาพเปลือยของหญิงสาว ในอิริยาบทต่างๆ ในยามพักผ่อนหรือช่วงเวลาส่วนตัว ซึ่งถูกจ้องมองอยู่เป็นการย้ำถึงชีวิตของคนเรา ที่ถูกสังคมเพ่งมองทั้งกายและความคิด ตลอดจนความรู้สึกนึกคิด รวมไปถึงผลงานของศิลปินไทยอื่นๆ กว่า 50 ภาพอาทิ ศรีวรรณ เจนหัตถการกิต, ณัฐเลิศ สุภัทร์อกนิษฐ์ และสุวัฒน์ วรรณมณี