Tuesday, September 11, 2007

กำลังใจ


กำลังใจ/วิภพ ล้อมเขต

สายลมเอื่อยเฉื่อยของเช้าวันเสาร์พัดโชยเข้ามาทางหน้าต่าง 2 บานที่มีโมบายดักรอคอยอยู่ ผมนึกถึงถ้อยคำจากปากช่อง

“เป็นไงบ้างละมึง เงียบหายไปนาน เรื่องสั้นที่ส่งมากูยังไม่ได้อ่านให้เลย รอหน่อยละกัน”

“แล้วเขาประกาศผลหรือยัง อ้าว…ช่างแม่งมัน หน้าที่ของเราคือเขียน ไม่ได้คอยเอาใจกรรมการ”

“ไม่เข้าใจ แม่งก็ต้องเข้าใจ ใครมันจะไปอยู่ได้ เงินแค่นั้น มึงต้องแดกข้าวนะ มึงไม่ได้อิ่มทิพย์”

“ไปทำแค่ 2 เดือนก็พอ ทำให้รู้ ทำให้เข้าใจแล้วก็ไม่ต้องไปทำแล้ว เสียเวลาเขียนหนังสือ”

“อายุมึงยังน้อย มึงมีเวลามากกว่าคนอื่น ว่างๆ ก็ส่งเรื่องสั้นไปลงกับเขาบ้าง ให้พี่ๆ เขาหายคิดถึงบ้าง ดีกว่าอยู่เฉยๆ”

“ทีนี้มึงก็เดินเป็นเส้นตรงได้แล้ว อย่าไปเสียเวลาเดินอ้อม”

“ยังไงถ้าว่างมึงก็เข้ามาบ้านบ้างละกัน”

สิ้นเสียงคำพูดที่เป็นเหมือนเข็มทิศชีวิตและกำลังใจ หลังจากวางสายผมล้มตัวลงนอนบนโซฟานั่งเล่นเพื่อคิดอะไรบางอย่าง ผมรู้สึกถึงความผ่อนคลายเหมือนคนที่พบทางออกจากเขาวงกต นึกถึงหลายค่ำคืนที่นั่งมองหน้าจอกระดาษอิเล็กทรอนิกส์ที่ว่างเปล่า แล้วหลับตาลงนอนโดยที่ไม่ได้เรียงร้อยถ้อยคำใดๆ ออกมาอย่างทุกครั้งที่เคยเป็น

ผมเชื่อว่าช่วงเวลาที่แย่ที่สุดของนักเขียน คือช่วงเวลาที่อ่านหนังสือเล่มไหนก็อ่านไม่จบ และที่แย่ไปกว่านั้นคือการเขียนอะไรไม่ออก

เมื่อเขียนได้ก็ต้องคิดได้ เมื่อคิดได้ก็ต้องมีวิธีแก้ไขปัญหา นักเขียนหลายคนเมื่อประสบกับปัญหาแบบนี้จึงมีวิธีแก้ไขปัญหาต่างกันไปคนละแบบ

หลายคนออกเดินทางเพราะเชื่อว่าการเดินทางเป็นสายตาของนักเขียน หลายคนเลือกที่จะนั่งเผชิญหน้ากับอาการเขียนไม่ออกเพื่อเอาชนะ หลายคนเลือกที่จะหันไปทำอาชีพอื่นหรืออาชีพที่ใกล้เคียงเพื่อรอช่วงเวลากลับมาเขียนอะไรได้เหมือนเดิม และหลายคนเลือกที่จะตายจากไปจากถนนนักเขียนแบบเงียบๆ อย่างไม่หวนกลับคืน

หนึ่งในวิธีแก้ปัญหาการเขียนอย่างหนึ่งของเออเนส เฮมิ่งเวย์ คือการหยุดเขียนเมื่อคิดได้ว่าจะเขียนอะไรต่อ และถ้ายังคิดอะไรไม่ออกเขาจะไม่หยุดเขียน เพื่อให้การเขียนนั้นลื่นไหลในการกลับมาเขียนอีกวันหนึ่ง และเฮมิ่งเวย์เชื่อว่า ช่วงเวลาที่นักเขียนจะเขียนหนังสือได้ดีที่สุด คือช่วงเวลาที่นักเขียนกำลังมีความรัก เพราะสำหรับเฮมิ่งเวย์ ความรักเป็นกำลังใจที่ดีที่สุดของการเขียนหนังสือ

ผมไม่รู้ว่าความรักจะมีผลต่อการเขียนหนังสือมากแบบที่เฮมิ่งเวย์เชื่อหรือเปล่า แต่ค่ำคืนหนึ่งบนรถแท็กซี่ระหว่างทางที่กลับบ้าน แสงไฟจากเสาไฟฟ้าที่พาดผ่านลงมาบนหน้ากระจกรถทอดผ่านตัวผมต้นแล้วต้นเล่า ทำให้ผมนึกถึงกำลังใจที่รุ่นพี่นักเขียนสาวคนหนึ่งกำลังต้องการ

“ตอนนี้ถ้าเขียนอะไรอยู่ก็ส่งมาให้พี่อ่านบ้างนะ ตั้งแต่พี่เขาตายไป พี่ก็เขียนอะไรไม่ได้เลย ไม่ใช่ว่าพี่ไม่พยายาม พี่พยายามแล้วแต่พี่เขียนอะไรไม่ได้เลยจริงๆ”

แน่นอนว่าการจากไปแบบไม่หวนคืนของรุ่นพี่นักเขียนหนุ่มคนนั้น คือการสูญเสียครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งของวงการวรรณกรรมไทย ในฐานะนักเขียนแน่นอนว่ารุ่นพี่นักเขียนสาวคงเสียใจไม่แพ้คนอื่นๆ แต่ในฐานะคนรักของกันและกันที่คอยอยู่เคียงข้างให้กำลังใจกันมาตลอด การจากไปแบบไม่หวนคืนของรุ่นพี่นักเขียนหนุ่มคนนั้น จึงย่อมมีความหมายมากกว่าคำว่าเสียใจจนหาถ้อยคำใดๆ มาทดแทนไม่ได้

หลังจากกลับถึงบ้าน ค่ำคืนนั้นผมนั่งลงตรงโต๊ะเขียนหนังสือ มองดูภาพถ่ายที่แปะไว้ตรงโต๊ะหนังสือของคนในอดีตบางคน ที่ส่งข้ามน้ำข้ามทะเลมาครึ่งโลกพร้อมถ้อยคำกำลังใจประโยคหนึ่ง

‘Just doing make every hour happy hour you’re smart.’

ผมนั่งมองภาพถ่ายใบนั้นอยู่นานเท่านาน แม้วันเวลาจะทำให้ภาพถ่ายซีดจางเหมือนเจ้าของภาพถ่ายที่ห่างหายกันไปจนกลายเป็นสายลมที่เคยพัดผ่าน แต่ถ้อยคำกำลังใจประโยคนั้นยังคงคมชัดอยู่เสมอ

ค่ำคืนนั้นผมตัดสินใจรวบรวมงานเขียนของตัวเองที่มีทั้งหมดส่งไปให้รุ่นพี่นักเขียนสาวอ่าน แม้ว่างานเขียนของผมจะช่วยรุ่นพี่นักเขียนสาวไม่ได้มากนัก แต่อย่างน้อยในยามที่ท้อแท้ การให้กำลังใจกันและกันผมถือว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่หาซื้อขายกันไม่ได้

จริงอยู่ว่าไม่มีกำลังใจใดสำคัญเท่ากำลังใจจากตัวเอง แต่มนุษย์ไม่ได้ดำรงชีวิตอยู่บนโลกกลมๆ ใบนี้เพียงลำพัง นอกจากกำลังใจจากตัวเองแล้ว กำลังใจจากคนอื่นจึงมีความสำคัญไม่แพ้กัน

โดยเฉพาะกำลังใจจากคนที่รักเราหรือคนที่เรารัก...

หลังจากนั้น 3 เดือนต่อมา...ผมได้ยินเสียงดีใจของรุ่นพี่นักเขียนสาวที่ดังผ่านมาทางโทรศัพท์ เกี่ยวกับหนังสือเล่มใหม่ของเธอที่กำลังจะออก

เสียงโมบายที่ดักรอสายลมเอื่อยเฉื่อยของเช้าวันเสาร์ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งๆ ผมลุกขึ้นจากโซฟานั่งเล่นเดินไปที่ชั้นหนังสือในห้องนอน หยิบหนังสือเล่มหนึ่งที่ได้มาจากเจ้าของถ้อยคำจากปากช่องผู้เป็นดั่งครูทางจิตวิญาณ หลังจากที่ผมได้ให้คำมั่นสัญญาอะไรบางอย่าง

“กูมีหนังสือเล่มนี้อยู่ 2 เล่ม เก็บไว้อ่านตอนเขียนอะไรไม่ออก กูให้มึงเล่มหนึ่ง กูเป็นกำลังใจให้บนถนนสายนี้ยังมีที่ว่างเสมอ”

ผมนั่งลงที่โต๊ะหนังสือ วางหนังสือเล่มนั้นลงข้างกาย มองดูถ้อยคำกำลังใจจากภาพถ่ายที่ซีดจาง แล้วค่อยๆ เรียงร้อยถ้อยคำลงบนแป้นคีย์บอร์ด ปรากฏออกมาเป็นทิวแถวถ้อยคำ

บนหน้าจอกระดาษอิเล็กทรอนิกส์ที่ว่างเปล่า…