Thursday, October 11, 2007

เราต่างมีเสียงเพลงเป็นของตัวเอง

ภาพถ่ายจากhttp://www.pantip.com/cafe/gallery/topic/G3469834/G3469834-14.jpg

เราต่างมีเสียงเพลงเป็นของตัวเอง/วิภพ ล้อมเขต

พระจันทร์เต็มดวงในยามค่ำคืนพยายามเผยตัวให้พ้นจากเมฆฝนหลงฤดู แต่เมฆฝนก็บดบังพระจันทร์จนคล้ายคืนเดือนมืด ไม่นานก็ได้ยินเสียงเม็ดฝนร่วงหล่นกระทบหลังคาเสียงดังเปาะแปะ สลับกับเสียงเพลง Voyou Voyou ของ Keiko Shibano ผมเอื้อมมือไปกดปุ่มเพิ่มเสียงแข่งกับเสียงเม็ดฝนที่เริ่มดังขึ้น แม้ว่าจะปิดไฟเพื่อเตรียมตัวเข้านอนแล้วก็ตาม

จะว่าไปแล้ว เดี๋ยวนี้ผมกลายเป็นคนชอบฟังเพลงระดับงอมแงม แต่การชอบฟังเพลงของผมก็จะเป็นไปเพื่อความรื่นรมย์ส่วนตัวเสียมากกว่า การฟังเพื่อเพิ่มรสนิยมไว้พูดคุยกับกลุ่มคนอีกเผ่าพันธุ์หนึ่ง และพอตื่นเช้าขึ้นมากิจวัตรประจำวันอย่างแรกที่ผมต้องทำเป็นประจำ นั่นก็คือการลุกขึ้นเดินไปเปิดเพลงเป็นอย่างแรก
พอกดปุ่ม play ระบบสุ่มเพลงที่ตั้งไว้ก็จะสุ่มเลือกเพลงแรกของแต่ละเช้า เป็นการสร้างความแปลกใหม่ให้กับชีวิตไปอีกแบบ หลังจากที่ช่วงหนึ่งผมเคยเปิดแต่เพลงดอกไม้ ของ ศุ บุญเลี้ยง ฟังอยู่เป็นประจำทุกเช้า จนหูแว่วได้ยินเสียงเพลงดอกไม้อยู่บ่อยๆ

ทุกครั้งที่เสียงเพลงเริ่มแว่วดังออกมาจากลำโพง ผมใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวออกไปทำงาน จวบจนขั้นตอนสุดท้ายคือการใส่ถุงเท้าเบ็ดเสร็จอยู่ที่ประมาณ 5-6 เพลง แต่ถ้าวันไหนที่เพลงสุดท้ายจากระบบสุ่มเพลงเลือกเพลงได้ถูกใจ หลังจากใส่ถุงเท้าเสร็จผมจะนั่งฟังเพลงนั้นจนจบแล้วค่อยใส่รองเท้า ก่อนจะปิดประตูบ้านเพื่อออกไปทำงานเสมอ

ทันทีที่ขึ้นรถไปทำงานก็จะหยิบหูฟังมาครอบหู แล้วใช้เสียงเพลงเป็นตัวช่วยในการพาตัวเองจมลงไปในอีกโลกหนึ่ง ปล่อยให้ภาพรถติดกลายเป็นภาพชินตา และบ่อยครั้งเสียงเพลงก็มักจะทำให้ผมนึกถึงเรื่องราวของความทรงจำสมัยที่หัดเล่นกีตาร์ใหม่ๆ

ลองนึกดูดีๆ นอกจากคอร์ด C ที่ผมจำได้ว่าเป็นคอร์ดแรกที่หัดเล่นแล้ว ผมก็จำไม่ได้ว่าเพลงอะไรเป็นเพลงแรกที่หัดเล่น และเมื่อค้นพบว่าตัวเองมีพรสวรรค์ด้านดนตรีแค่การตีคอร์ดเท่านั้น ผมก็หันไปหาพรสรรค์ด้านอื่นที่พอจะมีแทนโดยไม่ทิ้งเสียงเพลง นั่นก็คือการเขียนหนังสือพร้อมกับการเปิดเพลงฟังไปพร้อมกัน
สำหรับคนที่ชีวิตเงยหน้าก้มหน้าก็เจอแต่งานแบบผม การได้ฟังเพลงดีๆ ที่ตัวเองชอบ พร้อมกาแฟอุ่นๆ ในแก้วที่มีขนาดพอดีกับรสชาติของกาแฟ ก็พอจะทดแทนการเดินกุมมือคนรักภายใต้ร่มคันเดียวกันยามฝนตกได้ดีระดับหนึ่ง

ผมเชื่อว่าเพลงทุกเพลงมีความหมายและคุณค่าในตัวเอง หากว่าเพลงนั้นไม่ใช่เพลงที่แต่งขึ้นมาเพื่อหวังผลทางการตลาด เพลงบางเพลงคือสิ่งแทนค่าจากจิตใจที่กำลังจะสูญสลาย เช่น เพลง Tear in heaven ของ Eric Claptan ที่เขาแต่งให้ลูกชายที่จากไป เพลงบางเพลงแทนจุดมุ่งหมายของชีวิต เช่น เพลงนกเพลง ของวง อพาตท์เมนคุณป้า ที่เปรียบตัวเองเป็นดั่งนกที่ร้องส่งเสียงเจื้อยแจ้วให้กับคำว่า ‘ชีวิต’ ในขณะที่เพลงบางเพลงของวงดูโอขวัญใจวัยรุ่นไม่ได้มีค่าอะไรมากไปกว่าการดูดเม็ดเงินจากกระเป๋า

ช่วงหนึ่งที่เคยจมอยู่กับความเสียใจ ผมเคยเปิดเพลง Desperado ของ The Eagle ฟังบ่อยมาก จนเพื่อนในออฟฟิศล้อว่าเพลง Desperado นั้นคือเพลงชาติของผม แม้จะไม่รู้ถึงความหมายของเพลงแบบลึกซึ้งอะไรนัก แต่ความเป็นสากลของเสียงเพลงก็พาผมก้าวข้ามกำแพงภาษา พาผมไปสู่อีกโลกหนึ่งที่ห่างไกลจากรอยยิ้มอยู่พักหนึ่งใหญ่ๆ

จริงอยู่ว่าชีวิตคนเราต้องเดินไปข้างหน้า และการทำตัวให้เป็นเข็มนาฬิกาที่โดยธรรมชาติแล้วจะต้องเดินไปข้างหน้าตลอดนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็อย่าลืมว่าเข็มนาฬิกานั้นเดินเป็นวงกลม และมันก็จะหมุนวนมาซ้ำจุดเดิม ถึงแม้ว่ามันจะเดินไปข้างหน้าเสมอก็ตาม ไม่ต่างอะไรกับเรื่องราวบางเรื่องที่พยายามจะลืม เช่นเดียวกันกับเพลงบางเพลงที่มักจะสะกิดให้เราคิดถึงใครคนหนึ่งขึ้นมาเสมอ เพลงที่เราเคยชอบและคิดว่าเป็นเพลงของกันและกัน จึงแปรเปลี่ยนเป็นเพลงที่เรียกน้ำตาในยามที่ความรักต้องลาจากกันไป

ใครจะบอกว่าเพลงไม่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกใดๆ เจอประสบการณ์แบบนี้เข้าไปกับตัวเองโดยตรง อาจจะต้องเปลี่ยนความคิดใหม่กันแน่ๆ

ครั้งหนึ่งผมมีโอกาสได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ The song reader ของ Lisa Tucker เป็นเรื่องราวของหญิงสาวคนหนึ่งที่สามารถทำนายอนาคตใครต่อใครได้จากเพลงที่คนๆ นั้นชอบฟัง
ถึงจะรู้ว่าเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมา แต่ก็รู้สึกว่าถ้ามีอาชีพแบบนี้อยู่จริงๆ ก็เริ่มชักอยากจะรู้อนาคตของตัวเอง แม้ว่าเอาเข้าจริงในชีวิตของคนเราจะมีเพลงเข้ามาให้ฟังกันหลากหลายก็ตาม จนไม่ต่างอะไรกับความหลากหลายของอนาคต

เรื่องราวของบทเพลงนั้นมีมากมาย จะว่าไปแล้วถ้าให้พูดกันจนหมดก็คงไม่ได้หลับได้นอน แต่ในทางกลับกันเพลงบางเพลงที่ได้ฟังก็อาจทำให้นอนหลับฝันดี

แต่ก็มีบางเช้าหรือบางค่ำคืนที่ผมไม่ฟังเพลงใดๆ เลย นอกเสียจากเสียงเพลงของความเงียบที่มีความรู้สึกของตัวเองเป็นท่วงทำนอง แล้วปล่อยให้ตัวกับหัวใจ

ต่างแยกย้ายกันไปพเนจร...

Tuesday, October 02, 2007

เราจากกันก็นาน


2/10/07
เราจากกันก็นาน

เราจากกันก็นาน
โดยมีกาลเวลา
เป็นสักขี

เข็มนาฬิกาเป็นผู้คล้อยตาม
เช่นเดียวกับ
พระอาทิตย์และพระจันทร์

ที่สลับหมุนวน
เปลี่ยนกันมาเยี่ยมเยียน

เช่นเดียวกับ
ความทรงจำของฉัน
ที่มีเธอตัดสลับปัจจุบัน
และเว้นอนาคตไว้ด้วยความว่างเปล่า

แน่นอน
ความคิดถึง
ไม่ใช่เรื่องผิด

แน่นอน
ความคิดถึง
ห้ามกันไม่ได้

เหมือนกับที่เธอห้าม
ความสัมพันธ์
จนคำว่า ‘รัก’
เป็นคำว่า ‘รก’

และฉัน
เป็นจำเลย…