Saturday, March 07, 2009

คืนวันศุกร์




คืนวันศุกร์ /วิภพ ล้อมเขต

สำหรับมนุษย์ออฟฟิศ ผมเชื่อว่าคืนวันศุกร์ของทุกอาทิตย์คงเป็นวันที่ทุกคนรอคอยมากที่สุด


เหตุผลแรกคือพรุ่งนี้เป็นวันเสาร์ ถ้าใครทำงานหยุดเสาร์-อาทิตย์ จะไปลัลล้าหรือทำอะไรที่ไหนก็ได้เต็มที่ไม่ต้องห่วงสำหรับเรื่องเวลาในการนอนหรือต้องแหกขี้ตาตื่นแต่เช้าเพื่อไปทำงาน


ผมเองก็เป็นหนึ่งในผู้คนที่รอคอยวันศุกร์อย่างใจจดใจจ่อ ค่าที่มันมีความหมายถึงการได้สนุกสนานเฮฮากับใครสักคนหนึ่งที่เรารู้สึกดีด้วย หลังจากที่ตรากตรำงานมาหลายวัน


หลายคนใช้เวลาในคืนวันศุกร์หมดไปอย่างคุ้มค่า และเช่นกันว่ายังมีอีกหลายคนที่ไม่ได้ใช้เวลาในคืนวันศุกร์อย่างที่ตั้งใจไว้


คืนวันศุกร์วันนี้หลังจากปิดคอมพิวเตอร์ และเก็บของบนโต๊ะทำงานลงกระเป๋า ใจหนึ่งผมอยากใช้ชีวิตของค่ำคืนนี้ให้เต็มที่ แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่รู้ว่าจะไปหาใครมาร่วมสนองความรู้สึกที่คั่งค้างอยู่ ลองหยิบมือถือขึ้นมากดไล่ดูรายชื่อก็ไม่พบใครสักคนที่จะช่วยให้ความต้องการเป็นไปดั่งหวัง มีเพียงสิ่งเดียวที่ตอบสนองกลับมาคือความรู้สึกที่ว่า


ผมไม่เคยรู้สึกว่าคืนวันศุกร์มันช่างเหงาและน่าเบื่ออย่างนี้มาก่อน


เมื่อก่อนผมใช้เวลาในคืนวันศุกร์หมดไปกับการดื่มเหล้าเข้าสังคม และทุกครั้งต้องจบด้วยการพาตัวเองซมซานกลับบ้านพร้อมสภาพมึนเมาทุกครั้ง ตื่นเช้าขึ้นมาก็ต้องคอยรับมือกับอาการปวดหัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่พักหลังๆ เริ่มสำนึกได้ว่าไม่ควรให้รางวัลร่างกายแบบนี้จึงเริ่มเพลาๆ ลงบ้าง


แล้วคืนวันศุกร์คืนนี้ผมจะไปไหนดี


ตั้งใจว่าจะโทรหาเพื่อนคนหนึ่งก็กลัวจะไปรบกวนเวลาที่เพื่อนอยู่กับแฟน จึงได้แต่เก็บมือถือไว้ในกระเป๋า สุดท้ายตัดสินใจไปหาที่เดินเล่นคนเดียวสักที่ เพราะบางครั้งการได้ไปไหนมาไหนคนเดียวมันก็ทำให้เรามีเวลาได้คิดอะไรกับตัวเองมากขึ้น


ออกจากออฟฟิศ ผมนั่งรถเมล์เพื่อไปหาที่เดินเล่นฆ่าเวลาอย่างที่ตั้งใจไว้ แม้บริเวณนั้นจะมีผู้คนมากมาย แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้คืนวันศุกร์ของผมดีขึ้นมาอย่างที่คิดไว้ในตอนแรก


แต่บรรยากาศการอยู่คนเดียวท่ามกลางผู้คนที่แปลกหน้าแปลกตาก็เริ่มเป็นสิ่งที่ผมชาชิน มองในมุมกลับกันผมกลับรู้สึกว่า มันมีสเน่ห์มากสำหรับการให้เวลากับตัวเองแบบพอตัวเลยทีเดียว


คิดเข้าข้างตัวเองในแบบแง่ดีก็ต้องบอกว่า อย่างน้อยก็ไม่ต้องคอยตอบคำถามในสิ่งที่ตัวเองไม่ถนัด เช่น เสื้อตัวนี้ รองเท้าคู่นี้ หรือกระเป๋าใบนี้สวยหรือเปล่า เพราะส่วนใหญ่พอให้คำตอบไปก็มักจะไม่ตรงใจคนถามอยู่เสมอ


ไม่ใช่ว่าไม่รู้จักใส่ใจหรือเปิดรับอะไรสิ่งใหม่ๆ แต่บางครั้งการหลีกเลี่ยงในเรื่องบางเรื่องที่ไม่ถนัดก็ช่วยให้ตัวเราดูมีค่าขึ้นเมื่อไม่ได้ถูกคาดหวัง


เรื่องแบบนี้ทำให้ผมนึกถึงเพื่อนคนหนึ่ง


“กูว่าคนเป็นแฟนกัน ถ้าทำอาชีพเดียวกันได้ก็จะดีมาก”


เหตุผลที่มารองรับความคิดของเพื่อนคือความหมายของการเข้าใจกันและกัน รวมทั้งมองอะไรคล้ายๆ กัน


“มึงคิดดูนะ อย่างมึงทำงานหนังสือมันก็ต้องเลิกดึก ถ้าแฟนมึงทำงานหนังสือเหมือนกัน แม่งก็จะเข้าใจมึง ไม่ต้องมานั่งระแวงคอยโทรหาอยู่ตลอด แล้ววันศุกร์พอเลิกงานก็ไปเที่ยวด้วยกัน เป็นรางวัลให้กับตัวเองที่ทำงานมาทั้งอาทิตย์ สุขจะตาย อีกอย่างเวลาซื้อของก็ชอบอะไรคล้ายๆ กัน”


เพื่อนยังคงมีเหตุผลยกมาให้ผมฟังอีกเยอะแยะ แต่มันก็เข้าทำนองเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา
เพราะจะว่าไปแล้วคนรักเก่าของผมที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครทำอาชีพเดียวกับผมหรือเอาแค่ใกล้เคียงก็ยังแทบจะไม่มี ผมจึงไม่รู้ถึงความหมายคำว่าดีของเพื่อนนั้นเป็นอย่างไร


จะให้ไปหาแฟนที่ทำอาชีพเดียวกัน ก็คงไม่ไปลงทุนขนาดนั้น เพราะทุกวันนี้ที่เป็นเอาเข้าจริงอยู่ก็พอใจกับการใช้ชีวิตคนเดียวอยู่แล้วระดับหนึ่ง แม้ว่าจะเหงาบ้าง แต่ถ้าต้องมีใครสักคนแล้วแถมด้วยความไม่สบายใจ ผมว่ามันไม่คุ้ม


เวลาในแต่ละวันจึงถูกเฉลี่ยให้ไปกับการทำงาน อ่านหนังสือ เขียนหนังสือ ฟังเพลง ไปดูงานศิลปะ และนั่งกึ่มกับเพื่อนหรือกับตัวเองบ้างเสียเป็นส่วนใหญ่


จะผิดปกติไปจากเมื่อก่อนก็ตรงที่มือถือที่เคยดังอยู่เป็นประจำก่อนนอนทุกค่ำคืน พร้อมถ้อยคำว่า...ฝันดี ก็ไม่เคยดังและมีมาตั้งนานแล้ว



ระหว่างนั่งรถกลับบ้าน เงาของเสาไฟฟ้าที่ทอดผ่านผมไปครั้งแล้วครั้งเล่า และเสียงเพลงคืนหนึ่งในกรุงเทพของวง Friday กลับทำให้ผมรู้สึกว่า



คืนวันศุกร์วันนี้ มันช่างเป็นวันที่เหงาเปล่าเปลี่ยวอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนจริงๆ


แล้วคืนวันศุกร์ของพวกคุณละ...เป็นอย่างไรบ้าง