Monday, March 26, 2007

คอนโด

คอนโด-วิภพ ล้อมเขต

ทันทีที่ประตูรถไฟฟ้า BTS เปิดออก ขบวนมนุษย์เงินเดือนก็กรูกันออกจากตู้โบกี้ จุดหมายแรกของทุกๆ เช้าอยู่ที่ช่องทางออกชั้นล่างเป็นอันดับแรกของชีวิตการทำงาน แม้จะรู้ว่าถึงจะรีบขนาดไหนท้ายที่สุดก็ต้องยืนรอคิวอยู่ดีก็ตาม แต่ไม่วายทุกคนก็ยังแย่งกันเป็นที่หนึ่งเสมอ

ชีวิตในกรุงเทพมีอะไรให้ต่อสู้กันมากมายแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่เป็นที่หนึ่งจะสบายกว่าที่สองสาม สี่ ห้า หก ฯลฯ ผมเป็นหนึ่งในขบวนมนุษย์เงินเดือนที่กรูออกมาจากตู้โบกี้ แต่มักจะเลือกแวะร้านหนังสือ ฟาสเตอร์บุ๊คบนรถไฟฟ้าเป็นจุดหมายแรกของทุกๆ เช้าก่อนเสมอ ผมมักจะยืนดูหนังสือหรือไม่ก็อ่านดวงชะตาของตัวเองจากหนังสือที่บรรดาเพื่อนผู้หญิงฟันธงว่าแม่นนักแม่นหนา ทั้งๆ ที่รู้ว่าคำทำนายที่เขียนไว้ไม่ได้แม่นหรือเป็นดวงชะตาของเราแต่เพียงผู้เดียว แต่การได้รู้อนาคตจากความไม่แน่นอนบ้างก่อนทำงาน ก็ช่วยให้ชีวิตมีรสชาติดีขึ้นระดับหนึ่ง และถ้าวันไหนหนังสือในดวงใจออกก็จะซื้อติดมือกลับไปอ่านที่บ้าน ก่อนจะเดินไปเสียบบัตรรถไฟฟ้าที่ประตูทางออกเพื่อเดินไปทำงานที่ออฟฟิศ

ออฟฟิศที่ผมทำงานอาศัยใบบุญหาอาหารให้ปากท้อง จัดว่าอยู่ในย่านที่พอจะเรียกเต็มปากเต็มคำได้ว่าในเมือง (วัดเอาจากบรรดาห้างสรรพสินค้าชั้นนำที่รายล้อมและรถไฟฟ้า BTS) ทุกครั้งที่เดินออกจากประตูรถไฟฟ้าตรงสถานีที่อยู่ใกล้ๆ กับออฟฟิศที่ทำงานอยู่ จึงมักจะมีคนมายืนแจกโบชัวร์อยู่หน้าทางออกเสมอ
บางวันเป็นโบชัวร์ประกันชีวิต บ้างเป็นโปรโมชั่นมือถือ หรือไม่ก็คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค ก็ว่ากันไปตามแต่กลุ่มเป้าหมายที่ต้องการฯลฯ แต่ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งเอื้ออำนวยความสะดวกของชีวิตคนในกรุงเทพแทบทั้งสิ้น และที่ดูจะได้รับความสนใจมากที่สุดในชั่วโมงนี้คงหนีไม่พ้นคอนโด

เพื่อนคนหนึ่งเคยบอกว่า ชีวิตคนกรุงเทพนั้นตอนนี้ไม่ต้องการอะไรมากกว่าความสะดวกสบายและการหลีกหนีรถติด ยิ่งวัยทำงานวัยสร้างตัวแล้วด้วยละก็ การมีคอนโดสักหลังอยู่ในย่านเมืองนั้นคือสวรรค์น้อยๆ เลยทีเดียว และแน่นอนว่าในฐานะของขาประจำรถไฟฟ้า BTS ผู้ร่วมสังเกตการณ์ความเปลี่ยนแปลงจากสองข้างทางเส้นทางเดินรถไฟฟ้า สิ่งหนึ่งนอกจากสังคมเมืองที่ผมเห็นว่าเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัดจากสองข้างทาง คือคอนโดที่เริ่มมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ขนาบไปทั้งสองข้าง

มุมมองใหม่ ความสุขพร้อมอยู่ในทุกองศา พร้อมสรรพด้วยสระว่ายน้ำ ฟิตเนส สวนสุขภาพลอยฟ้า ลานวิ่งจ๊อกกิ้ง และสวนดอกไม้นานาพันธุ์ สิ่งเหล่านี้คือคำโปรยบนโบชัวร์คอนโด สวรรค์ของคนในเมืองที่นักธุรกิจหัวใสพยายามปลอบปะโลมให้กลายเป็นปัจจัยสำคัญของการดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพ จนทำให้เกิดกรณีศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวกับคอนโด นักวิจัยคอนโดคนหนึ่งพูดถึงคอนโดในรายการโทรทัศน์ช่องหนึ่งว่า ความต้องการที่จะมีบ้านเป็นของตัวเองสักหลังของคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพดิ่งวูบลงอย่าน่ากลัว และผันเปลี่ยนมาเป็นคอนโดสักหลังที่อยู่ในย่านเมือง

ส่วนสาเหตุที่ตลาดคอนโดและความต้องการคอนโดมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นั้น เนื่องมาจากบ้านเดี่ยวหรือบ้านจัดสรรมีราคาแพงขึ้นจนแทบจะกลายเป็นเรื่องลำบากของคนระดับชั้นกลางที่อยากจะมีบ้านเป็นของตัวเอง เพราะราคาบ้านที่พอจะซื้อได้มักจะไปสร้างกันอยู่แถวชานเมืองเสียส่วนใหญ่ และถ้าตัดสินใจซื้อบ้านอยู่ชานเมืองก็ต้องซื้อรถ พอซื้อรถก็ต้องมีรายจ่ายเรื่องน้ำมันเข้ามา ประกอบกับราคาคอนโดที่ไม่ต่างกันเท่าไรกับราคาบ้าน และพื้นที่ที่อยู่ใกล้เมืองมากกว่า เงินที่จะเอาไปผ่อนรถผ่อนบ้านและจ่ายค่าน้ำมันนั้นก็เอามาผ่อนคอนโดดีกว่าเห็นๆ จนมาถึงช่วงสุดท้ายของรายการที่นักวิจัยสรุปสาเหตุสำคัญที่ฟังแล้วก็ต้องเห็นด้วยคล้อยตามว่า สิ่งสำคัญไปกว่านั้นคือไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร ทำเลที่อยู่ใกล้เมืองก็ไม่ทำให้ราคาขายของคอนโดตกลง

ผมมีเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งเป็นคนต่างจังหวัดที่เข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพเพราะเหตุผลทางด้านการศึกษาบ้านของเพื่อนทำธุรกิจส่งออกเกี่ยวกับผลไม้ คนในครอบครัวส่วนใหญ่จึงต้องช่วยธุรกิจครอบครัวอยู่ที่บ้านต่างจังหวัด แต่พอสิ้นสุดหน้าที่ทางการศึกษา เพื่อนคนนี้เลือกที่จะทำงานที่บ้านแต่ตัวยังอยู่ในกรุงเทพ และมีรถยนต์ที่ที่บ้านซื้อไว้ให้ใช้สอยยามต้องเดินทาง เธอเลือกที่จะซื้อคอนโดแห่งหนึ่งที่อยู่ในย่านเมืองและอยู่ติดรถไฟฟ้า รวมไปถึงสถานที่ท่องราตรีที่ระดับเด็กแว๊นคงได้แต่ยืนมองอยู่หน้าประตู

มุมมองใหม่ ความสุขพร้อมอยู่ในทุกองศา พร้อมสรรพด้วยสระว่ายน้ำ ฟิตเนส สวนสุขภาพลอยฟ้า ลานวิ่งจ๊อกกิ้ง และสวนดอกไม้นานาพันธุ์ สิ่งเหล่านี้คือองค์ประกอบชีวิตที่รายล้อมรอบตัวเธอ แต่วันดีคืนดีเธอก็มักจะขับรถไปตระเวนหาซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งกินอยู่เสมอ เสียค่าน้ำมันแค่ไหนไม่รู้ ขอแค่ให้ได้หมูปิ้ง 5 ไม้ กับข้าวเหนียว 1 ห่อติดมือกลับมาก็ถือว่าคุ้ม เธอบอกผมว่านอกจากจะนั่งคุยกับคนรักที่อยู่ต่างประเทศที่เธอยังไม่เคยเจอตัวจริงผ่านโปรแกรมแชทแล้ว นี่คือการผ่อนคลายจากการทำงานของเธออย่างหนึ่งหลังจากนั่งหลังขดหลังแข็งทำบัญชีรายรับรายจ่ายให้กับที่บ้านอยู่ในคอนโด

ในฐานะมนุษย์เงินเดือนตัวน้อยๆ คนหนึ่ง พินิจวิเคราะห์เงินเดือนของตัวเองบนสมมติฐานที่เข้าข้างตัวเองสุดๆ ดูแล้วก็แทบจะไม่มีความเป็นไปได้ ที่จะมีสวรรค์น้อยๆ อยู่ในเมืองอย่างเพื่อนคนนี้ แค่คิดว่าพรุ่งนี้ตื่นมาจะนั่งรถไฟฟ้าไปจองคอนโดสักหลังก็คล้ายกับการยืนอยู่ชั้นล่างแล้วตะโกนบอกรักหญิงสาวที่ตัวเองรักที่ยืนอยู่บนชั้น 27 และแน่นอนว่าความรักนั้นคงถูกลมพัดปลิวฟุ้งหายไปก่อนจะถึงเธอ

ลำพังค่ารถเมล์ยังจะลำบาก โบชัวร์คอนโดที่เคยเก็บไว้ตรงไหนก็เลยยังวางอยู่ตรงนั้นไม่เคยขยับ ก่อนจะเดินออกมาปิดประตูห้องเช่า ปั่นไอ้ดอกไม้ออกไปหน้าปากซอย

ซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งมากิน…

Tuesday, March 13, 2007

บันทึกจังหวะชีวิต



วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่ชีวิตตอนกลางคืนของผมเหมือนฉายหนังม้วนเก่า

เริ่มจากปิดคอมฯ ที่ออฟฟิศแล้วเดินผ่านซอยคาวบอยมาขึ้นรถไฟฟ้า พอถึงช่องขายตั๋วโดยสารก็แลกเหรียญ 40 บาท จุดหมายคือสถานีปลายทางหมอชิต เมื่อเอามือรับบัตรที่เครื่องขายบัตรอัตโนมัติหลังจากที่หย่อนเหรียญไปจนครบ 4 เหรียญแล้ว ก็พาตัวเองไปให้บันไดเลื่อนพาเดินขึ้นไปรอรถไฟฟ้าที่ชั้นสองของชานชะลา (ที่ไม่เคยจะได้นั่งแถมต้องเบียดกันตอนเดินเข้าไปในโบกี้อีกต่างหาก) ถ้าไม่ได้นั่งจริงๆ เข้าไปถึงก็จะเดินไปยืนที่ประจำตรงริมหน้าต่างประตูตลอด ไม่ว่าจะขบวนไหนๆ ผมก็มักจะยืนอยู่แถวริมหน้าต่างประตูเสมอ นานๆ ถึงจะหันไปดูจอโทรทัศน์ในตู้โบกี้ และพอถึงหมอชิต ผมก็มักจะเป็นคนท้ายๆ ที่เดินออกจากตู้โบกี้
ภาพที่เห็นจนชินตาจึงเป็นภาพฝูงชนแย่งกันออกจากตู้โดยสารหรือไม่ก็การลุกขึ้นไปยืนอออยู่หน้าประตูตั้งแต่รถไฟฟ้ายังไม่จอด พอประตูเปิดผู้โดยสารก็เบียดเสียดกันออกไปเหลือไว้เพียงความว่างเปล่า จนพี่ยามเดินเข้ามาตรวจตราความเรียบร้อยนั่นแหละ ผมถึงค่อยก้าวเดินออกจากโบกี้

พูดถึงการฆ่าเวลาระหว่างเดินทางในกรุงเทพ เมื่อก่อนผมเคยอาศัยวิธีควักมือถือโทรหาใครสักคน แต่ยิ่งโตขึ้นกลับยิ่งรู้สึกว่าอยากอยู่คนเดียว และใช้เวลาทำในสิ่งที่อยากทำมากขึ้นทุกวัน เพราะเร็วๆ นี้ผมกำลังจะแต่งงาน และเมียของผมก็ท้องได้สามเดือนแล้ว

ใช่! ผมกำลังจะมีลูก ผมกำลังจะหมดสิ้นแล้วซึ่งอิสรภาพ ผมไม่มีทางเลือกและต้องเดินเข้าวงจรของหัวหน้าครอบครัว อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่สามารถเดินทางเพียงลำพัง ไม่มีเวลานอนอ่านหนังสือดีๆ สักเล่ม หรือไปดูงานศิลปะตามแกลเลอรี่ต่างๆ ได้อีก เพราะในฐานะของชายอกสามศอกผมไม่ควรปล่อยให้คนในครอบครัวต้องพบกับความลำบากและเผชิญกับการถูกทอดทิ้ง แต่ความจริงแล้วไม่ใช่

ผมเป็นโสด ไม่มีเมีย ไม่มีลูก ไม่มีแฟน และผมก็มีอิสรภาพมากมาย แต่กลับเลือกขังตัวเองเงียบๆ อยู่กับอดีตบางอย่าง บางอย่างที่พอจะทำให้ผมรีบผลักความรู้สึกนั้นออกไป หากว่าเธอคนนั้นก้าวล้ำเส้นวงที่ผมเรียกว่า เพื่อน

พอลงจากสถานีหมอชิต ผมจะต้องเดินไปขึ้นรถตู้ต่อกลับบ้านอีกที ถ้าใครเคยผ่านไปแถวย่านจตุจักรจนไปถึงย่านเกษตรคงจะรู้ดีว่า นรกที่เกิดจากรถติดนั้นเป็นยังไง และทรมานแค่ไหน ผมเกลียดการนั่งติดแหงกอยู่บนรถตู้นานนับชั่วโมงโดยที่ล้อรถตู้ไม่ได้ขยับไปไหนไกล ผมเกลียดช่วงเวลานี้ที่สุดของกรุงเทพ แม้ว่าจะเตรียมแผนรับมือมาด้วยการพกหนังสือมาอ่าน แต่พี่คนขับก็มักจะมีใจรักประเทศชาติร่วมรณรงค์ประหยัดไฟขึ้นมากะทันหันปิดไฟในรถทุกที ได้แต่อาศัยไฟจากเสาไฟฟ้าที่รถวิ่งผ่านในการอ่านอยู่เสมอ หรือไม่ก็ต้องอาศัยวิธีหลับในรถตู้ฆ่าเวลา ก่อนที่จะสะดุ้งตื่นขึ้นมาทุกครั้งที่จะถึงจุดหมายปลายทางย่านสะพานใหม่

ทันทีที่ลงจากรถตู้ ความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่มักจะสร้างขึ้นมาเองเสมอคือ หาซื้อน้ำผลไม้อะไรก็ได้สักขวด (ที่พักนี้กินแต่น้ำลูกสำรองจนแม่เตือนว่าไม่ค่อยสะอาดจึงเลิกกิน) แล้วก็เดินข้ามสะพานลอยที่คนแก่เห็นแล้วต้องน้ำตาไหลกันทุกคนไปอีกฝั่งหนึ่ง ไหนๆ ก็ต้องขึ้นสะพานลอยชันๆ อยู่แล้วเลยอาศัยบันได 19 ขั้นของสะพานลอย เป็นที่ออกกำลังกายด้วยการวิ่งขึ้นไป แต่เจ้ากรรมนายเวรที่ชื่อโน๊ตบุ๊คที่แบกอยู่กลางหลัง กลับทำให้โลกกลมใบนี้มีแรงดึงดูดเพิ่มขึ้น จนต้องไปยืนขาสั่นอยู่บนสะพานลอยด้วยความเหนื่อยเสมอ

ลงจากสะพานลอยก็จะผ่านร้านวีดีโอ ด้วยนิสัยที่ไม่ใช่คอหนัง ถ้าไม่เต็มที่จริงๆ ก็จะไม่ย่างกายเข้าไปเลยสักนิดเดียว ยิ่งไม่มีหนังที่อยากดูมากเป็นพิเศษร้านวีดีโอก็ไม่ต่างอะไรจากทางผ่าน และวันไหนเกิดคิดถึงมาวิน(ลูกบุญธรรมที่อยู่เดนมาร์กขึ้นมาจับใจ) ผมก็จะเดินไปร้านเน็ตทันที ได้คุยบ้างได้เจอบ้างก็แล้วแต่ตามโชคชะตาและการอนุญาตของแม่เขา

คืนไหนได้คุยได้เจอลูกชาย คืนนั้นจะกลับเข้าบ้านด้วยอารมณ์ดีเป็นพิเศษ แต่พักหลังๆ ก็ได้คุยน้อยลง ทำได้เพียงนั่งมองหน้ามาวินแล้วยิ้มให้ด้วยความคิดถึง แรกเริ่มเดิมทีที่รู้จักกัน ผมไม่เคยคิดว่าจะรู้สึกผูกพันกับมาวินมากเป็นพิเศษ ยิ่งมาวินเรียก “ป๊า” และสะกิดบอกแม่เขาที่เห็นหน้าผมว่า “แม่ นั่นป๊านี่” ผมกลับยิ่งรักมาวินมากขึ้นเป็นพิเศษ หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะความสูญเสียบางอย่างที่มาวินต้องเผชิญเหมือนกับผมก็เป็นได้ที่ทำให้ผมรู้สึกแบบนี้ มาวินทำให้ผมได้รู้ว่าถ้าผมมีลูกขึ้นมาจริงๆ ผมจะรักเขามากแค่ไหน และที่เป็นเช่นนี้อาจเพราะผมไม่เคยมีโอกาสสัมผัสและได้รับความรู้สึกจากคำว่า พ่อกับลูก

หลังจากคุยกับมาวิน จุดหมายสุดท้ายคือการกลับบ้านทุกครั้ง พร้อมๆ กับไก่ทอดกระเทียมพริกไทยสูตรเด็ดหน้าปากซอยพร้อมข้าวเหนียวที่ผมจะซื้อเอาไว้ตุนยามค่ำคืนระหว่างนั่งเขียนหนังสือเสมอ

ซื้อไก่เสร็จวันไหนไม่ได้เอาไอ้ดอกไม้มาผมก็จะนั่งมอเตอร์ไซด์รับจ้างเข้าบ้าน แต่ถ้าวันไหนเอาไอ้ดอกไม้มาก็จะเดินเข้าไปในซอยหาไอ้ดอกไม้ที่ร้านรับฝากรถ บางครั้งป้าเจ้าของร้านมักจะร้องทุกข์แทนดอกไม้อยู่เสมอว่าถ้าเป็นคนหรือเป็นแฟน ดอกไม้คงน้อยใจและทิ้งผมไปแล้วแน่ๆ เหตุเพราะบางครั้งผมเอาดอกไม้มาจอดไว้ที่ร้านของป้า 2-3 วัน ที่เป็นแบบนี้ไม่ใช่ว่าผมลืม แต่บางครั้งกว่าจะกลับมาถึงบ้านก็ห้าทุ่มกว่าๆ เข้าไปแล้ว และร้านป้าก็ปิดตั้งแต่ห้าทุ่ม

ทุกครั้งที่ป้าแกร้องทุกข์แทนไอ้ดอกไม้ ผมจะบอกแกไปเสมอว่า ไม่ทิ้งหรอกป้า อยู่กันจนแก่นั่นแหละ รักจะตาย ตำรวจมาขอซื้อยังไม่ขายเลย แล้วก็ปั่นไอ้ดอกไม้กลับบ้าน พร้อมเบียร์สองขวดยี่ห้อใหม่ที่ยังไม่เคยชิม

ผมชอบช่วงเวลาที่ปั่นไอ้ดอกไม้กลับบ้าน โดยมีลมเย็นๆ ยามค่ำคืนที่โชยมานั่งซ้อนท้าย ยิ่งค่ำคืนไหนที่พระจันทร์เต็มดวงก็จะชอบจินตนาการว่าตัวเองกำลังปั่นไอ้ดอกไม้เดินทางไปเรื่อยๆ จนเสียงแตรรถยนต์ที่บีบไล่ดังขึ้นก็จะหลุดออกมาจากภวังค์นั้นแล้วหลบเข้าข้างทางสุดๆ

พอถึงบ้านและเอาไอ้ดอกไม้เข้านอนก็ไขกุญแจเข้าบ้าน (ที่บางวันก็ลืมจนต้องปีนเข้าบ้าน) เปิดประตูได้ก็ยิ้มให้รูปของพี่สาวที่ยืนอยู่อีกโลกหนึ่ง วางเป้ที่สะพายอยู่บนหลังไว้บนโซฟา ถอดถุงเท้าที่ซื้อมายกโหลจากสำเพ็ง ปลดนาฬิกาที่ข้อมือซ้าย ถอดสร้อยหลวงปู่สงฆ์กับกรมหลวงที่แม่ให้ไว้แขวนติดตัวมาตั้งเด็กๆ ยามที่อยู่ห่างสายตา ปลดสร้อยข้อมือหนังที่ใส่ทุกวันของรุ่นน้องคนหนึ่งที่ซื้อให้วางไว้ใกล้นาฬิกา หยิบกระเป๋าตังค์ออกมาจากกางเกงโดยไม่คิดจะเปิดดูว่าเหลือตังค์เท่าไรอยู่ในกระเป๋า เพราะกลัวว่าถ้ามันน้อยเกินไปเดี๋ยวจะทุกข์ขึ้นมาอีก และพอถอดเสื้อได้ก็นั่งลงนิ่งๆ ตรงโซฟามองดูโทรทัศน์ที่ยังไม่ได้ถูกเปิดอยู่นานเท่านาน เห็นเพียงเงาสะท้อนของตัวเองอยู่ในจอแก้ว

ผมอาศัยช่วงเวลานี้นั่งอยู่นิ่งๆ พูดคุยกับตัวเองอยู่เสมอ หลังจากที่วันนี้ทั้งวันต้องเผชิญอะไรมามากมาย South of the border, west of the sun ของ มูราคามิ ที่อยู่ในเป้ยังคงนอนแน่นิ่งอยู่ที่เดิม ไม่มีวี่แววที่จะถูกหยิบขึ้นมาอ่าน หากมีเพียงแต่เรื่องราวของคนในอดีตบางคนที่ยังวิ่งวนอยู่ในความทรงจำ
หยิบผ้าเช็ดตัวได้ก็อาบน้ำ พออาบเสร็จก็กุลีกุจอเดินขึ้นไปบนห้องนอน กองหนังสือข้างที่นอนยังก่ายกองอยู่เหมือนเดิม คืนไหนนอนดิ้นแล้วไปชนเข้า กองหนังสือก็จะทลายลงมาให้ได้รู้สึกตัวตื่นกันกลางค่ำกลางคืนตลอด แต่ก่อนจะล้มตัวลงนอนก็จะต้องหยิบโน๊ตบุ๊คออกมาวางบนโต๊ะที่ตั้งอยู่ตรงริมหน้าต่าง เปิดเครื่องขึ้นมาอีกครั้ง และทันทีที่เสียงเปียโนจากไฟล์เพลงดังขึ้น นิ้วทั้ง 10 ก็ค่อยๆ ร่ายระบำไปบนเวทีของแป้นพิมพ์

“ฝึกให้เป็นนิสัย แม้ไม่มีปากกาก็ให้ใช้ตาเขียนลงไปบนสมอง” คือถ้อยคำที่ ชาติ กอบจิตติ สอนผม จนเวลาเที่ยงคืนล่วงเลยผ่าน ในช่วงเวลาที่เบียร์ทั้งสองขวดหลอมรวมกับร่างกายกลายเป็นขวดที่ว่างเปล่า ผมลุกจากโต๊ะเขียนหนังสือมานั่งบนที่นอนมองดูพระจันทร์ตรงหน้าต่าง เปิดไฟจากโคมไฟกระดาษสีม่วง แล้วค่อยๆ เอนตัวลงนอนในช่วงเวลาที่สมองมีแต่เรื่องอะไรมากมายให้ได้ขบคิด
ก่อนที่จะอาศัยช่องว่างของความว้าวุ่นหนีโลกใบนี้ไปอีกค่ำคืน…