อยู่คนเดียว-วิภพ ล้อมเขต
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ระหว่างนั่งกินข้าวอยู่ที่บ้านเพื่อนสนิทคนหนึ่ง อยู่ๆ แม่ของเพื่อนก็ถามผมว่า
“ชอบผู้หญิงแบบไหนละ เดี๋ยวแม่แนะนำให้สักคน”
สิ้นคำพูดของแม่เพื่อน ก็ต้องรีบออกตัวว่าไม่เป็นไร แล้วก็อดหัวเราะตัวเองไม่ได้ว่า เฮ้ย! นี่ภาพลักษณ์เราดูแย่หรือโหยหาใครสักคนมาเคียงข้างขนาดนั้นเลยเหรอ
หันไปมองดูเพื่อนสนิทที่กำลังนั่งหัวเราะผมเช่นกัน ก็ทำให้ต้องนึกเปรียบเทียบขึ้นมาว่า เราสองคนนี่มันช่างตรงกันข้ามเหลือเกิน เพราะในขณะที่แจกันของเธอไม่เคยขาดดอกไม้ แจกันของผมนั้นนานๆ ถึงจะมีดอกไม้มาปักสักดอก
“ว่าไงละ ตกลงเราชอบผู้หญิงแบบไหน” แม่ของเพื่อนสนิทยังคงไม่หยุดความหวังดี
“ไม่รู้สิแม่” ผมพูดคำนี้ออกมา ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วมีคำตอบที่ดีกว่า แล้วพูดต่อ “ตอนนี้อยู่คนเดียวก็สบายใจดี ไม่งั้นคงไม่ว่างมานั่งกินข้าวที่บ้านนี้บ่อยๆ ได้หรอก”
สิ้นคำพูด ทุกคนก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน แม้ลึกๆ ในใจของผมจะนึกย้อนไปถึงตารางชีวิตของตัวเองในแต่ละวัน
ที่เริ่มจากการเอาชนะนาฬิกาปลุกในตอนเช้า ด้วยการตั้งปลุกใหม่ทุกครั้งที่มันดังให้ห่างกัน 15 นาที เพื่อที่จะตื่นสายกว่าเวลาเดิมที่ตั้งไว้อีก 1 ชั่วโมง หลังจากนั้นก็จะไปอาบน้ำแต่งตัวใส่เสื้อผ้าที่ไม่ได้รีดออกไปทำงานเสมอ
ทุกๆ เช้าผมมักจะเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้คนที่ยืนต่อแถวรอขึ้นรถเพื่อไปทำงาน ขึ้นรถได้ก็ต้องนั่งเบียดกับผู้โดยสารคนอื่น วันไหนคนนั่งข้างๆ ตัวเล็กก็สบายตัวหน่อย แต่ถ้าวันไหนคนนั่งข้างๆ เป็นคนตัวอ้วน เช้าวันนั้นก็แทบจะไม่ต้องทำอะไรนอกจากนั่งอยู่ท่าเดิมจนกว่าจะถึงปลายทาง
ระหว่างทางที่รถเคลื่อนตัว ทั้งหูซ้ายและหูขวาจะมีหูฟังซาวเบาท์อุดอยู่ เพียงเพื่อให้เสียงดนตรีขับกล่อมผมให้เช้านี้ดูมีชีวิตชีวาขึ้น สำหรับผมแล้วภาพช่วงชีวิตตอนเช้าระหว่างนั่งรถไปทำงาน คือภาพเดิมซ้ำๆ ที่หมุนกรอกลับไปมา โดยมีเวลาเป็นตัวขับเคลื่อนแบบไม่รู้จักจบ
จะว่าไปยิ่งโตขึ้น ผมกลับยิ่งรู้สึกว่า กลไกบางอย่างทางสังคมทำให้เราเลือกที่จะทำอะไรไม่ได้อย่างใจหวังมากนัก โดยเฉพาะกับคนที่มีต้นทุนชีวิตน้อยอย่างผม
ผมไม่ได้เกิดมาในครอบครัวคนรวย แต่ในทางกลับกันกลับเกิดมาในครอบครัวที่มีรอยแยกของชีวิตคู่ ที่บ้านผมไม่มีธุรกิจเป็นของตัวเอง ผมจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาเข้าทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนตอกบัตร ผมไม่มีรถไว้ขับรับใครสักคน ทุกครั้งที่ทำได้จึงเป็นเพียงการจ่ายค่าโดยสารให้แทนเสมอ
พอสิ้นเดือนเงินเดือนออก เงินเดือนอันน้อยนิดกว่าครึ่งจะถูกจับจองโดยหน้าที่ประจำต่างๆ ที่ต้องจ่ายไป และที่แย่ไปกว่านั้นผมยังมีร่างกายที่ไม่ค่อยแข็งแรง พร้อมจะอ่อนแอเพื่อเจียดเงินเดือนมาเป็นค่ารักษาพยาบาลอยู่ตลอด
ฟังดูชีวิตของผมอาจไม่ค่อยมีอะไรดีนัก แต่อย่างน้อยถ้าคิดว่าตัวเองเป็นตัวละครในเรื่องสั้นเรื่องหนึ่ง ผมก็รู้สึกว่าชีวิตของตัวเองช่างเป็นตัวละครที่น่าติดตามเหลือเกินว่า ตอนจบชีวิตของตัวละครตัวนี้จะเป็นอย่างไร และคงจะดีไม่น้อยถ้าผมสามารถกำหนดชีวิตตัวเองได้เหมือนเรื่องสั้นที่ผมเขียน
แต่ชีวิตไม่ใช่เรื่องสั้นถึงแม้มันจะคล้ายนิยายก็ตามแต่ ผมจึงทำอะไรไม่ได้มากนัก นอกจากตั้งใจมีชีวิตต่อไปให้ดีที่สุด
ผมคิดอย่างนี้ของผมจริงๆ ไม่ได้ตั้งใจกวนตีนหรือประชดใครทั้งนั้น เพราะถ้าเมื่อไรที่รู้สึกว่าชีวิตตัวเองมันแย่อยู่แล้ว ผมก็จะพยายามทำอะไรไม่ให้มันแย่ไปกว่านี้อีก เพราะในแต่ละวัน การต้องอยู่คนเดียว ‘ความเงียบ’ ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผมต้องเผชิญเช่นกัน
ถ้าไม่นับชีวิตที่ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่เลี้ยงหมาไว้ที่บ้านหนึ่งตัว เพราะอะไรนะเหรอ ผมบอกให้ก็ได้ว่าอย่างน้อยมันก็ช่วยให้ผมไม่ต้องพูดกับตัวเองบ่อยเกินไปนัก ไม่ได้ช่วยให้ผมรู้สึกว่า กลับมาบ้านแล้วยังมีหมารออยู่อย่างที่หลายคนอาจใช้เป็นเหตุผล เพราะคงจะดีกว่านี้มากถ้าจะเปลี่ยนเป็นใครสักคนที่ผมรักรอผมอยู่ที่บ้าน มากกว่าหมาหนึ่งตัว
อีกเรื่องหนึ่งที่ผมถือเป็นเรื่องโชคดีแบบไม่ตั้งใจ คือการปล่อยให้ในบ้านมีนกกระจอกมาทำรังอยู่ ok ถึงแม้มันจะเป็นนกกระจอกไม่ใช่นกนางแอ่นที่มาทำรังไว้ให้เอารังไปขายกันจนรวยก็ตาม แต่คงไม่มีใครคิดหรอกว่า สำหรับผู้ชายโสดคนหนึ่งอย่างผมที่ต้องใช้ชีวิตคนเดียวเพียงลำพังเสียเป็นส่วนใหญ่ นอกจากการต้องซักผ้าและยืนตากผ้าเพียงลำพังคนเดียวตอนเที่ยงคืนแล้ว
การได้เดินไล่จับนกกระจอกที่เข้ามาหลงติดอยู่ในบ้าน แล้วเอามันไปปล่อยนอกบ้าน มันช่วยทำให้ผมเดินในบ้านเพียงลำพังได้อย่างทั่วถึง ไม่รู้สึกเหงาที่ต้องเผชิญหน้ากับความเงียบเหมือนเมื่อก่อน
เพราะนอกจากความเหงาที่มักจะมีขนาดตัวเท่าควายเหมือนเพลงของนักร้องวงหนึ่ง ‘ความเงียบ’ ที่ผมเปรยให้ฟังไว้ตอนต้นก็มีขนาดใหญ่แพ้กัน ไม่สิผมว่าน่าจะใหญ่กว่า คิดๆ ดู ถ้าจะให้เห็นภาพ ก็ต้องบอกว่าอาจจะตัวเท่าช้างเลยนะ และถ้านักร้องวงเดิมจะเอาไปแต่งเป็นเพลง ผมคิดว่าควรจะแต่งว่าแบบนี้ถึงจะเข้าท่า
“ความเงียบตัวเท่าช้าง ช้างๆๆ น้องเคยเห็นช้างหรือเปล่า”
พูดถึงความเงียบ ครั้งหนึ่งในร้านหนังสือร้านหนึ่ง ผมเคยตัดสินใจซื้อหนังสือเล่มหนึ่งเพราะประโยคของ ฟรานส์ คาฟก้า ที่ว่า
“คุณไม่จำเป็นต้องออกไปจากห้อง นั่งนิ่งๆ ที่โต๊ะแล้วฟัง ไม่ต้องฟังด้วยซ้ำ แค่รอเท่านั้น ไม่ต้องรอ ขอเพียงนั่งนิ่งๆ อยู่กับความวิเวก โลกจะเผยตนต่อคุณอย่างอิสระ”
ฟังดูแล้วอาจจะงงหรือไม่เข้าใจ แต่ผมมักบอกตัวเองอยู่เสมอว่า บางครั้งคนเราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าใจในเรื่องที่ไม่เข้าใจก็ได้ เพราะถ้าเกิดเข้าใจในเรื่องที่ไม่เข้าใจ ชีวิตก็คงหมดเรื่องที่เป็นคำถามไปอีกเรื่องหนึ่ง และถ้าเมื่อไรที่ชีวิตหมดคำถามกันขึ้นมา ความท้าทายก็คงลดน้อยลงไปเช่นกัน
ผมนึกถึงช่วงเวลาที่ตัวเองปั่นจักรยานกลับเข้าบ้านในทุกๆ วัน หลังจากเลิกทำงานเพียงลำพัง เพื่อที่จะเปิดประตูบ้านไปพบหมาหนึ่งตัวหรือนกกระจอกที่บินหลงอยู่ในบ้าน หรือจะเป็นความเหงาตัวเท่าควายและความเงียบตัวเท่าช้าง พร้อมกับคำถามที่ถามตัวเองอยู่เสมอว่า
นี่ถ้าเกิดไม่มีใครขึ้นมาจริงๆ ชีวิตตอนแก่ของผมคงเศร้าน่าดู หรือว่าตอนนี้กำลังซ้อมรับมือชีวิตตอนแก่อยู่ก็ได้ใครจะรู้ และถ้าใช่ขึ้นมาจริง อีก 25 ปี ข้างหน้า ผมอาจจะคว้าปืนมายิงสมองตัวเองตายหลังจากเขียนเรื่องสั้นงงๆ จบสักเรื่องหนึ่งในตอนอายุ 50 ปีก็ได้
หลังจากออกมาจากบ้านเพื่อน ระหว่างนั่งรถกลับบ้าน คำถามของแม่เพื่อนยังวิ่งวนอยู่ในความรู้สึก เช่นเดียวกับชีวิตที่ดูเลื่อนลอยก้าวย่างสู่ขวบปีที่ 25 ในตอนนี้ ที่ผมยังคงใช้ชีวิตอยู่คนเดียวเพียงลำพัง แม้ลึกๆ แล้วจะไม่ต้องการใช้ชีวิตแบบนี้ก็ตาม
แต่จะให้ต้องทำอย่างไร เมื่อตอนนี้สิ่งเดียวที่ผมพอจะทำได้
คือการอยู่คนเดียวให้ดีที่สุด…