Friday, September 19, 2008

หรือเราอยู่ภายใต้ฝนเม็ดเดียวกัน

ครั้งแรกที่วิภพขอให้ผมเขียนคำนิยมให้เขา ผมนึกแปลกใจและย้อนถามกลับไปว่าจะให้เขียนนิยมเขาหรือนิยมหนังสือ ทั้งที่มีคำตอบในใจอยู่แล้วว่าควรเป็นคำนิยมหนังสือ

ผมให้เหตุผลไปว่าเพราะไม่ค่อยนิยมในตัวเขา แต่เป็นแค่เรื่องพูดเล่น ความจริงคือผมรู้จักตัวหนังสือของเขามากกว่า เราเคยเจอหน้ากันไม่ถึงสิบครั้ง หนักไปทางบทสนทนาผ่าน MSN เป็นหลัก เมื่อเขาชวนผมเขียนคำนิยมให้ ผมจึงรู้สึกแปลกใจว่าทำไมเขาเลือกนึกถึงคนไม่ค่อยคุ้นเคย แถมไม่มีชื่อเสียงเป็นแม่เหล็กดึงดูดคนอ่านอย่างผม

จากการสัมผัสด้วยตา ภายนอกเขาดูเซ่อๆ สงบเงียบ แต่ภายในกลับเปี่ยมด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน จากการสัมผัสด้วยหู เขาพูดน้อย ต่อยหนัก และกวนตีนชนิดหาตัวจับยาก จากการสัมผัสด้วยจมูก ผมเข้าใจว่าหนุ่มคนนี้เนื้อหอมใช่เล่น จากการสัมผัสด้วยปาก (เอ่อ อย่าคิดลึก หมายถึงความสามารถในการฟังของเขา)
วิภพเหมือนคนไม่ค่อยฟังใคร แต่เขารู้จักเก็บรายละเอียดรอบกายไปประมวลผลมากกว่าคนอื่น
จากการสัมผัสทุกส่วนรวมกัน ผมถือว่าวิภพเป็นคนน่าคบหาคนหนึ่ง

ก่อนส่งต้นฉบับให้ผมอ่าน วิภพบอกว่า ‘ฝนเม็ดแรก’ เป็นเรื่องของโชคชะตาและการรอคอย เมื่ออ่านจบ ผมรู้สึกว่าเขาให้น้ำหนักกับการรอคอยมากกว่า การรอคอยในโลกนี้แม้มีหลายรูปแบบ ทว่าแต่ละรูปแบบกลับมีข้อแตกต่างไม่มากนัก ไม่ว่าจะรอคอยแบบใดล้วนมีบุคคลสองฝ่าย ผู้รอกับผู้ถูกรอ เวลาของฝ่ายรอย่อมยาวนานกว่าฝ่ายถูกรอเสมอ

การรอคอยบางครั้งนำมาซึ่งความสุข บางครั้งก็แสนเศร้า และหลายครั้งที่การรอคอยเป็นความรู้สึกบอกไม่ถูก ผมเคยเขียนประโยคหนึ่งในสมุดบันทึกว่า “การรอคอยที่ทรมานที่สุดคือการรอคอยที่ไม่มีจุดหมาย” มันเกิดขึ้นจากการรอคอยครั้งหนึ่งในชีวิตผม การรอคอยครั้งนั้นพ้องกับเรื่องราวของ ‘ฉัน’ ใน ‘ฝนเม็ดแรก’ อย่างไม่น่าเชื่อ

การเป็นทั้งฝ่ายรอและฝ่ายถูกรอเป็นเรื่องยากลำบาก การบอกกล่าวให้บางคนไม่ต้องรอเราก็ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะเมื่อประกอบกับการรอคอยระยะไกลซึ่งเปิดโอกาสให้เราผิดพลาดไม่เว้นวินาที

ถ้าจะลองหาคำนิยามเพื่ออธิบาย ‘ฝนเม็ดแรก’ มันคือเรื่องรักธรรมดาซึ่งหลายคนเคยพบพาน เคยสัมผัส เคยผ่านพ้น และบางคนยังผ่านไม่พ้น ผ่านตัวอักษรลักษณะเดียวกับนิสัยหรือข้อเขียนชิ้นอื่นของวิภพ มองง่ายๆ จากภายนอก ทว่าลุ่มลึกอยู่ภายใน หลายครั้งคราวมันทำให้เราครุ่นคิด หวนคำนึง ระลึกถึง เสียน้ำตา แม้กระทั่งตั้งคำถามว่าเรื่องราวของฝนเม็ดแรกซึ่งคล้ายชีวิตเราเป็นโชคชะตาจริงไหม

ผมเป็นคนไม่เชื่อในโชคชะตา ไม่ค่อยเชื่อว่าคนเราเกิดมาเพื่อรักคนๆ หนึ่ง แม้จะเคยหลงคิดว่าใครบางคนคือคนพิเศษจนเฝ้าฝันถึงขั้นเพ้อ แล้วสุดท้ายก็พบว่ามันคือความฝันโง่ๆ ที่เสียเวลาเปล่า แต่ผมค่อนข้างมั่นใจว่าทุกคนมีสิทธิที่จะเลือก มีสิทธิที่จะตัดสิน และรอรับผลจากการตัดสินใจนั้น ไม่มีอำนาจเหนือฟ้าใดจะมากำหนดความเป็นไปในชีวิตเราได้ หญิงสาว (หรือชายหนุ่ม)อีกคนที่รู้จัก ระยะทางห่างไกลโดยไม่รู้ข่าวคราว เรื่องราวไม่เข้าใจเล็กๆ น้อยๆ และความสัมพันธ์เปราะบางทางเทคโนโลยี ล้วนเป็นเหตุปัจจัยให้เราเลือกเปลี่ยนเข็มทิศชีวิตได้ทั้งสิ้น

เพียงแต่มนุษย์บางประเภทนิยมเลือกการรอคอย เพราะการรอคอยทำให้เกิดความหวัง ชีวิตที่ไม่มีความหวังหรือไม่เคยเรียนรู้ที่จะหวังเป็นชีวิตที่หยาบกระด้างและโหดร้ายเกินไป

เช่นเดียวกับ ‘ฉัน’ การรอคอยของเขาเป็นการรอคอยที่ไม่มีจุดหมาย ไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่าจะออกดอกออกผลเมื่อไหร่ หรือแม้แต่อย่างน้อยกับคำถามง่ายๆ ว่ามันจะเป็นการรอคอยที่ออกดอกออกผลรึเปล่า ทว่าจากประสบการณ์ส่วนตัว ผมค่อนข้างเชื่อมั่นว่าหลังจากเรื่องราวใน ‘ฝนเม็ดแรก’ จบลง ‘ฉัน’ จะยังรอคอยชนาพรอยู่เงียบๆ แม้แทบไม่มีโอกาสที่ชนาพรจะกลับมาก็ตาม

นั่นแหล่ะ เหตุผลที่ผมบอกว่า ‘ฝนเม็ดแรก’ คือเรื่องของการรอคอย

ส่วน ‘โชคชะตา’ หากว่าจะมีในหนังสือเล่มนี้ คงเป็นโชคชะตาที่นำพาให้หนุ่มสาวผู้มีความรัก

ล้วนต้องตกอยู่ภายใต้ฝนเม็ดแรกเม็ดเดียวกัน


พลพงศ์ จันทร์อัมพร
08 กันยายน 2551
หน้าคอมพิวเตอร์เก่าๆ เครื่องหนึ่ง