Sunday, November 23, 2008

ความคิดถึงจากความหลัง

ความคิดถึงจากความหลัง-วิภพ ล้อมเขต

ความคิดถึงจากความหลังค่อยๆ เรียงตัวเป็นก้อนความทรงจำถึงเรื่องราวบางอย่างในเช้าของวันที่ 15 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

วันนั้น...ผมมีธุระต้องเดินทางผ่านจังหวัดชลบุรีแบบไม่ตั้งใจ และรู้ตัวว่าจะต้องไปที่นั่นก่อนออกเดินทางไม่กี่นาที จริงอยู่ว่าเรื่องแค่นี้อาจไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นอะไรมากมายนัก ถ้ามันไม่ใช่วันคล้ายวันเกิดของหญิงสาวคนหนึ่งที่ผมรัก และพยายามจะลืมไปจากความทรงจำ

เช้าวันนั้น ผมหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง กดหมายเลขของเธอซึ่งครั้งหนึ่งเคยแสดงที่หน้าจอของผมอยู่เป็นประจำ แต่ช่วงเวลานั้นก็ผ่านมาเนิ่นนานจนหมายเลขไม่ถูกบันทึกไว้ในการโทรออก

ถ้านับวันเวลาที่เราไม่ได้เจอกันแบบเข้าข้างตัวเอง มันก็น่าจะผ่านมาประมาณ 3 ปีแล้ว แต่ถ้าเอาแบบเข้าข้างตัวเองละก็ผมบอกได้เลยว่า ไม่รู้ว่าวันที่เราสองคนจะได้พบกันอีกครั้งนั้นจะสิ้นสุดเมื่อไร

เมื่อผมกดปุ่มโทรออก ชื่อของเธอปรากฏบนหน้าจอแสดงผล เสียงรอสายดังเป็นสัญญาณธรรมดา สลับกับใจผมที่เต้นรัวมากขึ้นเมื่อเสียงสัญญาณดังเพิ่มจำนวนทุกวินาที

ผมไม่รู้ว่าเธอจะรับสายหรือเปล่า เพราะก่อนหน้าที่จะหยุดการติดต่อกันไปก็เป็นเพราะถ้อยคำที่เธอบอกผมว่า “ต่อไปนี้ไม่ต้องส่ง sms หรือโทรมาหาแล้วนะ เพราะไม่อยากทะเลาะกับแฟน”

ผมไม่เคยคิดว่าคำพูดนี้จะหลุดออกมาจากปากของเธอนับตั้งแต่เราสองคนรู้จักกันมา ทั้งที่ในใจผมตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมากกว่าเพื่อนคนหนึ่งที่เป็นห่วงเพื่อน พอเจอแบบนี้เข้าจึงรู้สึกอึ้งและได้แต่บอกตัวเองว่า มันก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วหากเธอจะแคร์คนรักของเธอมากกว่าผม ซึ่งเป็นคนที่เธอไม่ได้รัก

ตอนนั้นหลังจากวางสาย ผมรู้สึกเหมือนหมาตัวหนึ่งที่วิ่งไปหาเจ้าของที่ไม่ได้เจอกันมานานแล้วถูกเจ้าของไล่ออกมาไม่มีผิดเพี้ยน

ผมไม่คิดจะหาคำแก้ตัวใดๆ มาแก้ต่างให้กับความรู้สึกดีๆ ที่เสียไป นอกจากทำตามที่เธอขอร้อง แม้ว่าวันต่อมาเธอจะบอกผมว่าเรายังคุยและเป็นเพื่อนกันได้ก็ตาม แต่หลังจากนั้นผมก็ไม่เคยติดต่อเธออีกเลย จนมาถึงวันนี้ที่มีเสียงสัญญาณรอสายคั่นกลางระหว่างการรอคอยของผม

เมื่อเธอรับโทรศัพท์ น้ำเสียงของเธอบ่งบอกว่าค่อนข้างแปลกใจเล็กน้อยที่ผมโทรมา เพราะว่ามันก็นานมากแล้วที่เราสองคนไม่ได้คุยหรือติดต่อกันเลย

“จำได้ด้วยเหรอว่าวันนี้เป็นวันเกิด” เธอเอ่ยถามขึ้นมา หลังจากผมอวยพรวันเกิดให้แก่เธอ

ผมบอกเธอว่านอกจากจะจำได้แล้ว ยังไม่เคยลืมเลยสักปีว่าวันนี้เป็นวันเกิดของเธอ แต่จะว่าไปทุกครั้งที่ถึงวันเกิด ผมก็ไม่เคยได้พบหรืออยู่ใกล้ๆ เธอเลยสักครั้ง ยกเว้นก็ครั้งนี้ที่ต่างจากทุกปีที่ผ่านมา เพราะผมอยู่ใกล้ๆ บ้านของเธอจึงลองถามว่าจะออกมาหาผมได้ไหม

“รู้จัก...กี่โมงละ”

“น่าจะไปถึงประมาณ 10 โมง แล้วคงอยู่ได้แค่ครึ่งชั่วโมง ก็ต้องเดินทางต่อ”

“10 โมงเหรอไม่ว่างอ่ะ ติดธุระพอดี ต้องรอเขาเอารถมาส่ง”

“ให้เขามาส่งตรงที่ผมไปไม่ได้เหรอ”

“ไม่ได้หรอก ยังไงก็ไม่ได้ แต่ถ้ามาถึงแล้วลองโทรมาอีกครั้งก็ได้”

ผมพยายามต่อรองเพื่อให้เกิดความเป็นไปได้มากที่สุดเพื่อจะได้พบเธอ แต่ก็เหมือนว่าความพยายามของผมจะสูญเปล่า และดูจะเป็นอีกครั้งที่ไม่ว่าจะพยายามพบเธอแค่ไหนก็ไม่ได้พบอยู่ดี หลังจากที่ก่อนหน้านี้จะได้พบแต่ก็ไม่ได้พบมาตลอด

เรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นกับผมบ่อยมาก บ่อยจนผมเริ่มท้อ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าการได้พบเธออีกสักครั้งเพื่อที่จะได้บอกลาเธอ

ตลอดระยะเวลาที่ผมรอคอยเพื่อจะพบเธออีกสักครั้ง จะเรียกว่าเป็นความเพ้อฝันเพียงลำพังข้างเดียวผมก็ยอมรับ

ทุกวันนี้ข้าวของรูปภาพต่างๆ ที่เธอส่งมาให้หรือเป็นของเธอ ยังคงวางอยู่ที่เดิมในห้องของผมไม่เคยขยับเขยื้อนไปไหน เพื่อนผมคนหนึ่งบอกว่าผมควรจะเก็บของพวกนี้ออกไปจากห้อง เพราะจะว่าไปผมก็ไม่ต่างอะไรกับคนบ้าที่ติดอยู่กับความหลัง ยิ่งนานวันเข้าก็เริ่มไม่เปิดรับใครหรือพยายามที่จะมีใครใหม่ หรือถ้ามีใครใหม่ก็ไม่ได้รู้สึกเต็มที่เหมือนกับที่รู้สึกกับเธอ

ผมเป็นคนรักใครยาก แต่ในทางกลับกันหากได้รู้สึกรักใครสักคนแล้วก็ยากที่จะลืมเช่นกัน

ทุกวันนี้ผมคงผิดเองที่ยังคงหลอกตัวเองไปวันๆ และเป็นเพราะทั้งหมดนี้ผมยังไม่มั่นใจในตัวเองเท่าไรนัก ว่าจะลบเธอออกไปจากความทรงจำได้เมื่อไร

ท้ายที่สุดผมเดินทางออกมาจากจังหวัดชลบุรีพร้อมกับความผิดหวังอีกครั้ง ได้แต่นึกถึงคำพูดของเธอที่บอกว่าไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เราจะอยู่เคียงข้างกันเสมอ และแน่นอนว่าผมคงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น

เพราะในยามที่โลกของความจริงแยกเราสองคนให้ห่างไกลกันมากกว่าเดิมนั้น บางทีอาจจะเป็นผมฝ่ายเดียวก็ได้ที่ยังคงยืนรอคอยเธอซึ่งเดินจากไป แล้วแบบนี้ผมจะไปโทษใครได้

นอกจากต้องโทษตัวเอง…

Wednesday, November 12, 2008

ตุ๊กตาหมีสีดำ


ตุ๊กตาหมีสีดำ – วิภพ ล้อมเขต

เสียงเพลงในผับยังคงดังกระแทกหู แต่เสียงของหญิงสาวข้างกายกลับดังมากกว่า
เมื่อหันไปมอง ภาพแรกที่พบเจอ คือภาพสร้อยคอของเธอที่ขาดออกจากกัน ในขณะที่สายตาเธอกำลังจ้องมองลงบนพื้นซึ่งถูกความมืดปกคลุม


“สร้อย...”


เธอพูดออกมาเพียงคำเดียวสั้นๆ แต่น้ำเสียงกลับสื่อถึงความรู้สึกได้เป็นอย่างดีว่าเธอรู้สึกอย่างไร และแน่นอนว่าเธอคงมองไม่เห็นว่าชิ้นส่วนที่เหลือของสร้อยกระเด็นกระดอนไปทางไหน


ห่างจากเธอไปไม่ไกล หญิงสาวอีกคนที่เป็นต้นเหตุกำลังยืนมองเธอด้วยสายตาที่ไม่ต่างกัน


ผมรีบก้มลงเก็บสร้อย พยายามควานหาทุกอย่างที่คิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของสร้อย หญิงสาวข้างกายก้มลงตามมาติดๆ ท่าทีของเธอไม่ต่างอะไรไปจากผม
“ขอโทษคะ” หญิงสาวต้นเหตุเอ่ยออกมาพร้อมกับยกมือไหว้ น้ำเสียงและแววตาของเธอเหมือนเป็นฝาแฝดของความรู้สึกผิด


“ไม่เป็นไรครับ”


ผมรีบออกตัวรับ เพราะรู้ว่าหญิงสาวข้างกายยังไม่อยู่ในอารมณ์จะรับฟังคำพูดใดๆ ในช่วงเวลาที่ในมือของผมกำชิ้นส่วนบางส่วนของสร้อยอยู่


“ขอโทษจริงๆ นะคะ ไม่ได้ตั้งใจเลยค่ะ” หญิงสาวต้นเหตุเน้นย้ำอีกครั้ง เพราะเธอเองก็คงไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้


ผมยืนคั่นกลางระหว่างคนที่สูญเสียและคนที่ทำให้สูญเสีย แต่เมื่อท่าทีของหญิงสาวข้างกายผมเริ่มผ่อนคลาย ทุกอย่างจึงดูผ่อนปรน จนเมื่อเห็นว่าคำขอโทษได้รับการยอมรับ เธอก็ขอตัวเดินจากเราสองคนออกไป


“เสียดายจังเลย...เพิ่งซื้อมาเองนะเนี่ย”


ผมมองดูสร้อยของเธอซึ่งไม่อยู่ในสภาพที่เรียกว่าสร้อยได้เลยสักนิด ก่อนที่เธอจะหยิบชิ้นส่วนที่เหลือของสร้อยซึ่งติดอยู่ตรงคอยื่นมาให้ผม


“เก็บไว้ก็คงใช้ไม่ได้แล้วล่ะ คุณทิ้งไปเลยก็ได้นะ”


แล้วค่ำคืนนั้นของเราสองคนก็จบลง โดยที่เธอไม่มีสร้อยของเธอกลับบ้านเหมือนทุกวันที่เคยเป็น


เมื่อพระอาทิตย์มาแทนที่พระจันทร์ ผมพลิกตัวลืมตาตื่นในตอนเช้าเพราะเสียงปลุกจากนาฬิกาไขลาน รู้สึกเจ็บที่หน้าอกด้านซ้ายคล้ายกำลังทับอะไรบางอย่าง
พอพลิกตัวกลับมาได้จึงเอามือล้วงออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เมื่อแบมือออก มีตุ๊กตาหมีสีดำอยู่ในมือผม ในช่วงเวลาเดียวกับที่ลมหนาวยามเช้าได้พัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง


เช้านี้หนาวจังเลย แล้วตุ๊กตาหมีสีดำตัวนี้มาได้อย่างไร


ยิ่งนึกย้อนกลับไปเมื่อคืนแลกกับภาพเหตุการณ์ที่ทำให้ตุ๊กตาหมีสีดำตัวนี้มาอยู่กับผม ฤทธิ์ของแอลกอฮอลด์ที่ยังคงคั่งค้างก็ส่งผลให้เกิดอาการปวดหัว
“เก็บไว้ก็คงใช้ไม่ได้แล้วล่ะ คุณทิ้งไปเลยก็ได้นะ”


จะทิ้งไปอย่างที่เธอบอก ถ้าเกิดมันมีหัวใจ ตุ๊กตาหมีสีดำก็คงเสียใจ อีกอย่างอะไรที่เป็นของของเธอ ถ้าเป็นไปได้ผมก็ไม่ค่อยอยากทิ้งมันไปเท่าไรนัก
ไม่ใช่ว่างกหรือเสียดายแทนเธอ หากเพียงแต่ผมรู้สึกว่า ถ้าเลือกได้ผมก็ไม่อยากที่จะทิ้งอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับเธอไปก็เท่านั้น


ผมวางตุ๊กตาหมีสีดำพร้อมชิ้นส่วนของสร้อยส่วนอื่นๆ ไว้บนหมอนที่หนุนนอน ลุกขึ้นเดินไปนั่งที่บาร์เล็กๆ ของตัวเองริมหน้าต่าง เปิดเพลง A Beautiful Mess ของ Jason Mraz


เปล่า...ผมไม่ได้ต้องการจะดื่มอะไร หากเพียงแค่ต้องการมานั่งผ่อนคลายสายตารับลมหนาวในยามเช้าที่มาเยือนอย่างเป็นทางการ พร้อมเสียงเพลงเพราะๆ สักเพลงหนึ่ง


ลมหนาวเวียนวนกลับมาอีกครั้ง ผมก็ยังเหมือนเดิม ไม่ได้ก้าวไปข้างหน้าหรือไปจากจุดเดิมที่ฝังลึกอยู่ในความรู้สึก


เสียงโมบายข้างหน้าต่างส่งเสียงกังวานคั่นจังหวะมากกว่าทุกวันที่สายลมเคยพัดผ่าน จะว่าทุกข์มันก็ทุกข์ จะว่าสุขมันก็สุข จะว่าไปก็เหมือนได้แต่อนุญาตให้ตัวเองได้หลอกตัวเองไปวันๆ ว่าเราพอใจในความเป็นไปของตัวเราเองที่เป็นอยู่ในตอนนี้


เมื่อยอมรับแล้วก็อย่าไปเรียกร้องอะไร ผมนึกถึงถ้อยคำนี้ของผู้ใหญ่คนหนึ่งที่นับถือ ในช่วงเวลาที่มองดูภาพถ่ายของคนในอดีตบางคนที่ส่งข้ามน้ำข้ามทะเลมาให้จากอีกทวีปหนึ่ง ซึ่งเริ่มลางเลือนไปตามกาลเวลา ไม่ต่างอะไรกันนักกับภาพถ่ายของเราสองคนที่ผมมี


ถึงแม้ว่ามันจะไม่ซีดหรือเลือนหายไปมากนัก แต่ทุกอย่างมันก็ไม่เหมือนเดิม


ใช่...มันไม่เหมือนเดิมมา 3 ปี แล้ว มีเพียงผมฝ่ายเดียวเท่านั้นที่ยังคิดว่าทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมมาตลอด


เมื่อความจริงเข้ามาโอบกอด ผมจึงหลุดออกมาจากการย่ำเท้าอยู่บนรอยอดีต หยิบตุ๊กตาหมีสีดำและชิ้นส่วนของสร้อยเส้นอื่นๆ ขึ้นมาพร้อมความรู้สึกที่ว่า ผมน่าจะซ่อมมันให้เธอได้


ผมไม่เคยทำอะไรแบบนี้ที่ค่อนข้างออกไปทางงานฝีมือ พอต้องลงมือทำเข้าจริงก็ได้แต่เงอะๆ งะๆ ก็ด้วยนิสัยที่เป็นผู้ชายที่ไม่ค่อยใส่ใจในรายละเอียดอะไรเล็กๆ น้อยๆ โดยเฉพาะเครื่องประดับของผู้หญิง อย่างเวลาที่ใครให้ผมตัดสินใจเลือกเครื่องประดับให้ ผมก็มักจะเลือกได้แต่ชิ้นที่เธอหรือเขาคนนั้นไม่ชอบทุกที


และตอนนี้ก็เช่นเดียวกัน ด้วยความที่ไม่รู้และไม่เคยได้สัมผัสสร้อยแบบนี้มาก่อน ผมจึงได้แต่ลองสลับตำแหน่งในแต่ละส่วนของสร้อยไปมา ผิดบ้างถูกบ้างก็ว่ากันไป และก็เป็นเพราะโชคดีที่ห่วงคล้องสร้อยยังคงอยู่ แต่เพื่อความแน่ใจจึงลองโทรถามเพื่อนดูว่าที่ผมทำไปนั้น มันถูกหรือเปล่า


“มันมี 3 ส่วนวะ มีตุ๊กตาหมีสีดำ ส่วนที่เป็นหลายเส้นห้อยรวมกัน แล้วก็สร้อย” ผมอธิบายให้เพื่อนฟังเพื่อให้เพื่อนนึกภาพออกมากที่สุด


“เข้าใจละ...เอางี้ทำตามที่บอกนะ เริ่มจากฯลฯ”


สุดท้ายผมจึงสามารถต่อตุ๊กตาหมีสีดำให้กลับมาเป็นสร้อยของเธอได้ดังเดิม หลังจากซ่อมเสร็จลองเอามาสวมดูก็ตลกตัวเอง เพราะนอกจากจะเป็นครั้งแรกที่ได้สวมสร้อยแบบนี้แล้ว มันยังทำให้ผมรู้สึกว่าไม่เหมาะกับผมเอามากๆ


คิดแล้วก็ได้แต่ขำตัวเอง แล้วมันก็เป็นครั้งแรกที่ตุ๊กตาหมีสีดำได้ใกล้ชิดกับผม จนได้กลิ่นน้ำหอมของเธอที่ติดมาในตอนที่ผมถอดออกจากคอ กลิ่นน้ำหอมจากตุ๊กตาหมีสีดำที่ได้กลิ่นทำให้ผมคิดถึงเธอ ป่านนี้เธอจะทำอะไรอยู่นะ


ลมหนาวยังคงพัดผ่าน ผมแขวนสร้อยตุ๊กตาหมีสีดำของเธอไว้ตรงโต๊ะหนังสือ ในช่วงเวลาที่เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นมาพอดี และเป็นเธอนั่นเองที่โทรมา


“ฮาโหล...ว่าไง”


“เมื่อคืนคุณเมาหรือเปล่า” เธอเอ่ยถามด้วยความสงสัยแทนคำทักทายในยามเช้า


“เปล่านี่...ไม่เมา”


“เหรอ...พอดีเพื่อนฉันบอกว่าพวกเราเมากันทุกคนเลย นี่ฉันตื่นมาก็รู้สึกปวดหัวมากเลยนะ”


เมื่อยืนยันกับเธอจนเธอเชื่อว่าผมไม่ได้เมา เราสองคนก็เปลี่ยนเป็นคุยกันเรื่องอื่น รวมถึงเรื่องบางเรื่องที่คงเป็นสาเหตุทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ แต่ในฐานะคนนอกสิ่งเดียวที่ผมพอจะทำได้ คือการเป็นผู้รับฟังที่ดี และคอยให้กำลังใจที่ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะช่วยอะไรเธอได้บ้างหรือเปล่า


ตอนที่น้ำเสียงของเธออาศัยสัญญาณโทรศัพท์เป็นช่องทางในการผ่านเข้าไปในรูหูของผมนั้น ใจหนึ่งก็อยากจะบอกเธอว่าสร้อยตุ๊กตาหมีสีดำของเธอนั้นยังอยู่
ผมไม่รู้ว่าถ้าเอาสร้อยไปคืนเธอ เธอจะดีใจหรือแปลกใจไหม แต่เท่าที่จำได้คือเธอบอกให้ผมทิ้งมันไป เพราะฉะนั้นผมจึงได้แต่เตรียมใจไว้เลยว่าเธออาจจะรู้สึกเฉยๆ ก็ได้


แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ ผู้ชายแบบผมมันเป็นคนประเภททิ้งหรือลืมอะไรได้ยาก ถ้าไม่ได้ลองพยายามจนสุดความตั้งใจของตัวเองจนถูกเขาไล่เป็นหมูเป็นหมาก็มักจะไม่ถอดใจเอาง่ายๆ และถึงอย่างไรซะ ผมก็ยังอยากเอาไปคืนเธออยู่ดี


เช้าวันต่อมา


ลมหนาวยังคงพัดผ่าน ผมเดินเข้าไปหาเธอในห้องทำงาน เธอมองผมด้วยสีหน้างงๆ ผมยิ้มให้เธอ หันไปทักทายเพื่อนของเธอที่นั่งอยู่ด้านข้าง
“มีอะไรเหรอ” เธอเอ่ยถาม ในตอนที่ผมเริ่มเอามือล้วงกระเป๋ากางเกง


ผมยังคงไม่ตอบคำถามเธอ ตุ๊กตาหมีสีดำอยู่ในมือผมอีกครั้ง และสีหน้าของเธอเอง ก็เริ่มมีแต่ความแปลกใจเพิ่มขึ้นทุกวินาที


“ว่าไงละคุณ มีอะไร”


ทั้งๆ ที่ตั้งใจจะพูดออกมาให้เธอรู้ แต่ตุ๊กตาหมีสีดำก็ดันติดอยู่ในกระเป๋ากางเกง ผมจึงต้องเบี่ยงตัวบังไว้ไม่ให้เธอเห็นว่าผมจะเอาอะไรออกมาให้เธอ
แต่ท่าที่เงอะๆ งะๆ ของผมคงไปสะดุดสายตาของเพื่อนเธอที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ซึ่งแน่นอนว่าเพื่อนของเธอก็เห็นอากับกิริยาของผมทุกอย่าง จนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะผมออกมา


ยิ่งพยายามเอาออกมามันก็ยิ่งติด ยิ่งติดก็ยิ่งรน ยิ่งดึงก็ยิ่งมีพิรุธ จะว่าเสียฟอร์มมันก็ใช่ ลองหันไปมองก็เห็นเธออยู่ในสีหน้าที่งงๆ ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่
ผมได้แต่นึกในใจ ทำไมต้องมาติดในตอนนี้ด้วยนะ แต่สุดท้ายตุ๊กตาหมีสีดำก็ยอมออกมาจากกระเป๋ากางเกงของผมจนได้ โดยมีด้ายสีดำจากกระเป๋ากางเกงตามติดออกมาด้วย


ก่อนที่ความเงียบจะโอบกอดเราสองคนนานกว่านี้ ผมก็ยื่นมือไปหาเธอ


“ผมเอาของของคุณมาคืน ลองซ่อมดู คิดว่ามันน่าจะยังใช้ได้นะ”


รอยยิ้มของเธอปรากฏออกมา เธอรับตุ๊กตาหมีสีดำกลับไปด้วยท่าทางที่ดีใจ ไม่ต่างอะไรกับเด็กคนหนึ่งที่ได้ของรักของตัวเองกลับคืน


“ฉันนึกว่าคุณทิ้งไปแล้วเสียอีก”


ผมยิ้มไม่ได้ตอบอะไร เพราะเริ่มทำตัวไม่ถูก ไม่บอกก็รู้ว่าเธอคงไม่คิดว่าจะได้มันกลับคืน ได้แต่หันไปทักทายเพื่อนของเธอเพื่อกลบเกลื่อน แล้วขอตัวออกมาจากห้องทำงานของเธอ


พร้อมกับรอยยิ้มของเธอที่ยิ้มส่งลาผม ก่อนที่บานประตูห้องทำงานของเธอจะปิดสนิท


หากเอ่ยถามว่าผมทำไปเพื่ออะไร ทั้งๆ ที่เธอก็ไม่ได้สั่งหรือคาดหวังว่าจะได้สร้อยตุ๊กตาหมีสีดำของเธอกลับคืน คำตอบเดียวที่ผมพอจะให้ได้ คือคำว่ารอยยิ้มจากเธอ และแน่นอนว่า


ดูเหมือนผมจะทำสำเร็จ...