Friday, November 06, 2009

ผมกับเธอ



ผมถูกทิ้งขว้างและห่างเหินการดูแลใครสักคนอย่างจริงจังมานานหลายปี…นานพอที่พอจะทำให้ผมดูเหมือนคนเฉื่อยชาหรือไม่เอาใจใส่ความรู้สึกของคนๆ หนึ่งได้อย่างไม่ยากเย็น


ทุกครั้งที่เธอโกรธหรืองอนผม นอกจากเสียงตัดสาย ความรู้สึกเดียวที่หลงเหลืออยู่เป็นเพื่อนกัน คือความรู้สึกที่ไม่ดีและไม่สบายใจเมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก


จะว่าไปแล้ว 3-4 วันที่ผ่านมานี้ เธอมักจะเอาแต่ใจตัวเองมากเป็นพิเศษ ซึ่งปกติก็มากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพราะไม่ว่าเหตุผลหรือสิ่งที่ผมทำจะถูกเพียงใด แต่มันก็มักจะผิดเสมอในสายตาเธอ

เพื่อนๆ ผมบอกว่า อาการที่เธอเป็นคือโรคชนิดหนึ่งที่ได้รับการจำกัดความว่า ‘เหวี่ยง’ และถ้าเป็นแบบนั้นจริง ผมเองก็มั่นใจว่า ผมคงโดนเธอเหวี่ยงวันละหลายๆ รอบ เหมือนกับว่าผมเป็นแค่ลูกตุ้มลูกหนึ่งที่ไม่มีความรู้สึก

เธอมักจะโทรมาหาผมแล้วถามผมเสมอว่า ผมมีคนอื่นใช่ไหม ทำให้แค่นี้ทำให้ไม่ได้เหรอ จะกลับถึงบ้านกี่โมง นั่นเสียงผู้หญิงที่ไหน ฯลฯ แต่ในทางกลับกันพอผมถามบ้างว่าเธออยู่ที่ไหนกลับถึงบ้านหรือยัง ฯลฯ เธอก็มักจะตอบผมมาว่า อยู่ที่ไหนแล้วทำไม อยู่กับคนอื่น มีอะไรหรือเปล่า เรื่องมากนักเดี๋ยวก็หาใหม่ซะหรอก

…ข้างในผมสะเทือนทุกครั้งที่ได้ยินประโยคนี้จากปากของเธอ

ผมรู้ว่าที่เธอพูดแบบนี้เพราะเธออยากให้ผมหึง แสดงความเป็นเจ้าของกับเธอ ok ถ้ามันเป็นเรื่องจริงขึ้นมา ถามว่าผมจะหึงเธอไหม คำตอบคือแน่นอนที่ผมจะต้องหึงเธอ

แต่เปล่าเลยที่ผมจะเป็นแบบนั้น เพราะในเมื่อมันไม่เป็นความจริง ผมจึงรู้สึกเสียดายช่วงเวลาดีๆ ที่เราสองคนจะมีให้ต่อกันมากกว่า

แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ได้คิดแบบเดียวกับผมเลยสักนิดเดียว

“ฮาโหล…อ้วน”

“แปบนะไม่ว่างติดประชุม เดี๋ยวโทรกลับ”

“มึงลองวางสิ ถ้ากล้าก็ลอง…” คือหนึ่งในถ้อยคำที่เธอยื่นข้อเสนอให้กับผม และพอผมวางเพราะต้องประชุมงานจริงๆ สิ่งที่ตามมาก็คือการโทรไปแล้วเธอไม่รับสายอยู่เป็นประจำ

ผมโทรจนเลิกโทร และพอผมไม่โทรไปหา เธอก็จะโทรมาต่อว่าผม ว่าผมไม่เคยแคร์เธอเลยจริงๆ

ในทางกลับกัน…ถ้าผมโทรไปแล้วเธอบอกว่าไม่ว่าง ผมก็จะยอมเข้าใจแต่โดยดี แล้วรอช่วงเวลาที่เธอว่างโทรกลับไป เพื่อพูดคุยกับเธอ เพราะความคิดถึง โดยไม่มีคำถามใดๆ เกิดขึ้น ว่าทำไมเธอถึงไม่ว่างที่จะคุยกับผม

ผมไม่เคยจะสงสัยติดใจอะไรในตัวเธอหรือมีคำถามอะไรที่คอยจับผิดเธอมากนัก แน่นอนว่าสำหรับบางคนนั้น การคอยมานั่งจับผิดคนที่คบกัน การหวาดระแวงซึ่งกันและกันมันอาจหมายถึงการมีคุณค่า การใส่ใจ และหนักเข้ามันก็ถูกเรียกว่า ‘ความรัก’

แต่ผมเองอาจจะเป็นผู้ชายที่ผิดแปลกหรือค่อนข้างแปลกประหลาดจากคนอื่นเขา เพราะผมไม่เคยมีความคิดแบบนั้นอยู่ในหัว ผมไม่เคยเอามันเก็บมาคิดว่า ทำไมๆๆๆ และทำไม

ผมไม่รู้ว่าทำไมตัวเองจะต้องหวาดระแวงคนที่ตัวเองตัดสินใจจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน เพราะถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ แทนที่ผมจะมีคนที่มาใช้ชีวิตอยู่ด้วย ก็เหมือนกับว่า ผมมีศัตรูเพิ่มมาอีกหนึ่งคนมากว่า

ครั้งหนึ่ง… ผมเคยหลุดปากพูดแทนตัวเองว่ากู และแทนตัวเธอว่ามึงออกไป โดยไม่ตั้งใจ เมื่อเธอได้ฟังเธอก็ต่อว่าผมว่าทำไมถึงพูดกับเธอแบบนี้

แน่นอนว่าผมรู้สึกผิด และหลังจากนั้นเธอก็มักจะพุดคำว่ามึงกูกับผมอยู่เป็นประจำ จนคำว่า ‘เค้า’ และ ‘ตัวเอง’ที่ผมเคยได้ยินนั้นแทบจะนับคำได้

คิดในแง่ปลอบใจตัวเองมากที่สุด นี่คงเป็นเวรกรรมจากการที่ผมได้เผลอพูดไปโดยไม่ยั้งคิด และผมก็ต้องมาทนนั่งแบกรับความรู้สึกไม่ดีที่ครั้งหนึ่งเธอเองก็เคยรู้สึกจากคำพูดของผม และถ้าย้อนเวลากลับไปได้ วันนั้นผมจะไม่พูดมึงกูกับเธอเด็ดขาด

ผมเข้างาน 9 โมงเช้า เลิกงานในช่วงเวลา 18.30 ตามเวลาที่กำหนด แต่ทุกวันก็มักเลยเถิด จนต้องเลิกเอาประมาณเกือบเที่ยงคืนโดยเฉลี่ย นอกจากงานที่ผมต้องทำให้ผมเหนื่อย กลับถึงห้องสิ่งที่ผมอยากรู้สึกและได้ยินจากเธอ คือคำพูดกับความรู้สึกดีๆ ที่ไม่ใช่เป็นเรื่องของการทะเลาะหรือระบายอารมณ์ใส่กัน
แต่มันก็ไม่เคยเป็นไปอย่างที่ผมคิด

ผมเหนื่อยกับงานทุกวันและแน่นอนว่าผมก็อยากจะมีความสุขกับเธอ

หรือจริงๆ แล้วผมอาจจะไม่เข้าใจเธอจริงๆ ก็ได้ หนักเข้าเธอก็มักจะบอกผมให้ไปหาคนอื่น เพราะคนอื่นคงทำให้ผมมีความสุขอย่างที่ผมต้องการได้ และคงจะดีกว่านี้มาก ถ้าผมฉลาดอย่างที่เธอเคยว่า และไม่ทำอะไรที่ขัดใจเธอเหมือนทุกวันที่เป็นอยู่

ผมถูกทิ้งขว้างและห่างเหินการดูแลใครสักคนอย่างจริงจังมานานหลายปี…นานพอที่พอจะทำให้ผมดูเหมือนคนเฉื่อยชาหรือไม่เอาใจใส่ความรู้สึกของคนๆ หนึ่งได้อย่างไม่ยากเย็น

แต่ตอนนี้ผมไม่อยากกลับไปเป็นคนเดิม

เพราะผมอยากอยู่กับเธอมากกว่า…




Saturday, July 04, 2009

เหมือนฝัน





เหมือนฝัน/วิภพ ล้อมเขต


เรื่องราวบางอย่างนั้นช่างห่างไกลจากตัวเรา เช่นเดียวกันกับใครบางคนที่เราเองก็ไม่เคยคิดฝันว่าจะได้เคียงชิดใกล้…


ผมพบเธอครั้งแรกในบ่ายวันหนึ่งที่โรงอาหารประจำคณะ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นครั้งแรกของเธอหรือเปล่าที่พบเจอผม


ภาพหญิงสาวผมยาวรวบผมในชุดนักศึกษา ใบหน้าสะดุดตาที่เผยรอยยิ้ม พร้อมแก้มเจือสีเลือดฝาด ตุ้มหูห่วงสีชมพูที่ขยับทุกครั้งยามสายตาของเธอหันมามอง


คือเธอในตอนนั้นที่ผมยังคงจดจำได้จนกลายเป็นภาพติดตา แต่ภาพติดตาที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันก็ดูเหมือนจะถูกกาลเวลากลืนหายไปโดยที่ผมไม่รู้ตัวเช่นกัน และถ้าให้นับเวลากันแบบจริงจัง อย่างน้อยที่สุดมันก็หายไปจากผมถึง 4 ปี


และเป็น 4 ปีที่ต่างฝ่ายก็แยกย้ายไปเติบโตตามเส้นทางเดินของตัวเอง

ดึกมากแล้วผมนอนไม่หลับ

ได้แต่ขยับพลิกตัวไปมาอยู่บนที่นอน หยิบมือถือขึ้นมากดไล่รายชื่อที่บันทึกไว้ในตัวเครื่องก็ไม่พบใครสักคนที่อยากคุยด้วยในช่วงเวลานี้ และที่สำคัญส่วนใหญ่ก็คงนอนหลับกันหมดแล้ว

สุดท้ายจึงตัดสินใจเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อพึ่งพาโปรแกรม MSN ในการหาเพื่อนคุยสักคนหนึ่งสำหรับการฆ่าเวลาที่นอนไม่หลับ เพราะอย่างน้อยที่สุดแล้วคนที่ออนไลน์อยู่ก็คงเป็นคนที่นอนไม่หลับเหมือนกัน

แต่ยังไม่ทันจะจับเมาท์กดดูลิสต์รายชื่อคนที่ออนไลน์ ประโยคทักทายจากหน้าต่างสนทนาของเพื่อนคนหนึ่งก็เด้งขึ้นมาทันทีที่กระบวนการ Sign in ของผมเสร็จสมบูรณ์

ตึ๊ง ตึง…

“เฮ้ย! แก…ยังไม่นอนเหรอวะ”

ผมมองดูแป้นพิมพ์ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการพูดคุยของผมกับเพื่อน แล้วนิ้วมือทั้ง 10 ก็ค่อยๆ ขยับไปทีละตัวอักษรเพื่อทดแทนถ้อยคำที่อยากสื่อ

“ยังวะ…พอดีนอนไม่หลับ”

“เป็นอะไรหรือเปล่าแก”

“เปล่าๆ ไม่ได้เป็นอะไร แค่ออนไลน์เข้ามาหาเพื่อนคุยนิดหน่อย”

“อ่อ…เออ แกออนไลน์ก็ดีแล้ว ตอนนี้ยังทำงานที่เดิมใช่ไหม”

“ใช่ มีอะไรหรือเปล่า”

ประโยคคำถามของเพื่อน ทำให้ผมนึกถึงเรื่องการฝากงานที่ผมมักจะโดนอยู่บ่อยๆ และลางสังหรณ์ของผมก็คลาดเคลื่อนไปเพียงนิดเดียว เมื่อได้ฟังคำตอบของเพื่อน

“เยี่ยมเลย ที่ออฟฟิศแกรับเด็กฝึกงานหรือเปล่าวะ พอดีรุ่นน้องของเพื่อนฉันกำลังหาที่ฝึกงาน”

“อ๋อ…รับนะ ลองให้น้องเข้ามาคุยดูสิ”

“เหรอ ฉันก็ไม่รู้รายละเอียดอะไรมากนักหรอก เอางี้…เดี๋ยวฉันให้เพื่อนแอดเมลไปหาแกแล้วกัน เพื่อนฉันจะได้คุยเรื่องฝึกงานของรุ่นน้องคนนั้นกับแกโดยตรง ไม่ต้องผ่านฉันอยู่”

ไม่นานเกินรอ บนหน้าจออิเล็กทรอนิกส์บริเวณมุมซ้ายของจอ ก็ปรากฏกล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่แสดงถึงการถูกขอเพิ่มรายชื่อเข้ามาในลิสต์ของโปรแกรม MSN และพอผมกด ok เพื่อเป็นการยืนยันว่ายินดีรับเข้าเป็นเพื่อน กล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ก็หายไปในทันที

ตึ๊ง…ตึง ไม่นานหลังจากนั้นเสียงหน้าต่างสนทนา MSN อีกบานดังขึ้นมาพร้อมไฟที่กระพริบ เป็นสัญญาณว่ามีใครสักคนส่งข้อความถึงผม

มองดูจากชื่อที่ปรากฏอยู่ด้านบนไม่คุ้นนัก จึงพอเดาได้ว่าอาจเป็นเพื่อนของเพื่อนที่เพิ่งขอแอดเข้ามาก็เป็นได้…และมันก็เป็นอย่างที่ผมคิดจริงๆ

“สวัสดี ^_^”

“…”

“สวัสดีเช่นกัน ว่าไงครับ”

“เอ่อ…คือว่าเรามีเรื่องจะรบกวนเธอนิดหน่อย”

หลังจากทักทายกันพอเป็นพิธี ถ้อยคำสนทนาต่อจากนั้นจึงเริ่มเข้าสู่เรื่องราวที่ดูจะเป็นธุระจนทำให้เธอคุยกับผมมากขึ้น ระหว่างที่คุยก็ผลัดกันอำไปอำมาอยู่ตลอด และยิ่งคุยก็ยิ่งกลายเป็นการต่อล้อต่อเถียง

เหมือนเราสองคนเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อนที่จะมีโอกาสได้รู้จักและพูดคุยกันในวันนี้

จนเมื่อผมเปลี่ยนรูปภาพดิสเพลที่หน้าต่าง MSN เป็นรูปผม ประโยคถ้อยคำสนทนาของเธอก็แสดงถึงความตกใจและรีบถามกลับมาทันที

“เฮ้ย!...นี่เธอเองเหรอ โห…ฉันก็นึกว่าใคร คุยกันมาตั้งนาน มิน่าละกวนเชียว 555”

ประโยคคำพูดของเธอทำให้ผมงง จนต้องรีบพิมพ์ถามกลับไปเช่นกัน

“หือ…เรารู้จักกันก่อนหน้านี้ด้วยเหรอ”

“อ้าว!...เธอจำฉันไม่ได้หรือไง นี่เธอเอาดีๆ สิอย่าเพิ่งกวน พักรบก่อน”

“เปล่า…ผมไม่ได้กวนแต่ผมจำคุณไม่ได้จริง”

“เอางี้ งั้นเธอลองดูรูปที่ดิสเพลฉัน”

ว่าแล้วเธอก็เปลี่ยนรูปที่ดิสเพลสลับไปเรื่อยๆ เพื่อให้ผมจำได้

ภาพดิสเพลที่ค่อยๆ สลับกันปรากฏขึ้นมา ไม่ได้ให้คำตอบแก่ความจำของผมมากนัก

“จำได้หรือยัง”

“เอ่อ…ขอโทษนะ จำไม่ได้จริงๆ”

คืนนั้น…ช่วงเวลาที่ดึกเกินไปทำให้การสนทนาในวันนั้นจบลง โดยที่ผมยังคงจำไม่ได้ว่าเราเคยเจอกันมาก่อนตอนไหน แต่เธอนั้นยังคงย้ำกับผมว่า

เราเคยเจอกันมาก่อนจริงๆ…

หลังจากวันนั้น…

เมื่อเปิดโปรแกรม MSN ทุกครั้งที่เจอเธอออนไลน์ เราสองคนก็จะคุยกันตลอด ถามสารทุกข์สุขดิบกันบ้าง พูดคุยแลกเปลี่ยนในหลายๆ เรื่อง และแน่นอนว่าต้องตบท้ายด้วยคำถามของเธอที่ว่า

“นี่เธอ…จำฉันได้หรือยัง”

ให้ตายสิ…ผมนึกในใจ…ผมยังจำเธอไม่ได้จริงๆ

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผมยังคงใช้ชีวิตเพียงลำพัง แม้จะมีบ้างบางเวลาที่ปล่อยให้ความรู้สึกของตัวเองจมหายไปในวันเก่าๆ แต่ในขณะเดียวกันจะว่าไปแล้วตั้งแต่ได้รู้จักเธอแบบไม่ตั้งใจ ก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ในวันนี้ ได้มีเธอเพิ่มขึ้นมาเป็นเพื่อนอีกหนึ่งคน

เพื่อนที่พูดคุยกัน ปรึกษากันได้ทุกเรื่อง แม้จะยังไม่เคยเห็นหน้ากันก็ตาม

ไม่สิต้องบอกว่าแม้ว่าเราจะเคยเห็นหน้ากัน แต่ผมเองกลับจำเธอไม่ได้มากกว่า

“เธอ…ฉันจะไปเที่ยวทะเลที่ปราณบุรีสัก 2-3 วันนะ เราคงไม่ได้คุยกันสักพัก”

“อ้าว…เหรอ ยังไงก็อย่าลืมของฝากฉันละ”

หลังจากอำเธอเสร็จ ผมเพิ่งรู้สึกว่าสรรพนามเรียกแทนตัวเองระหว่างผมและเธอ ได้ถูกปรับให้คุ้นเคยสนิทกันมากขึ้นโดยที่ผมเองก็ไม่รู้ตัว คล้ายดั่งการยืนยันถึงความรู้สึกเชื่อใจในอะไรบางอย่าง

“ได้ แล้วฉันจะกำทรายมาฝากเธอหนึ่งกำ”

“นี่เธอเอาจริงเหรอ”

“แน่นอน คนอย่างฉันพูดจริงทำจริงย่ะ 555”

เธอยังคงกวนในแบบของเธอ และเช่นเดียวกันที่ผมเองก็ยังกวนในแบบของผมกลับไป

“ฉันว่ามันคงเป็นของฝากที่แปลกดีนะ ทรายจากทะเลปราณบุรีเนี่ย”

“แน่นอน เธอรอรับได้เลย”

คืนนั้นหลังจากปิดโปรแกรมสนทนา MSN ก่อนหลับตานอน ในขณะที่หัวของผมเพิ่งแตะถึงหมอน ภาพหญิงสาวในชุดนักศึกษาผมยาวที่รวบผม จนเผยให้เห็นใบหน้าสะดุดสายตาพร้อมรอยยิ้มและแก้มเจือสีเลือดฝาด กับตุ้มหูห่วงสีชมพูที่ขยับทุกครั้งยามสายตาเธอหันมามองผม ก็พลันปรากฏแวบขึ้นมาจากกรุความทรงจำที่ผมหลงลืมไปนาน

เหมือนดั่งม้วนภาพยนตร์ที่ถูกกรอกลับไปยังจุดเริ่มต้น

ผมจำเธอได้แล้วว่าเธอคือใคร…เธอคือหญิงสาวคนนั้นนั่นเอง ใช่เธอจริงๆ ด้วย
(ยังมีต่อ...)

Saturday, March 07, 2009

คืนวันศุกร์




คืนวันศุกร์ /วิภพ ล้อมเขต

สำหรับมนุษย์ออฟฟิศ ผมเชื่อว่าคืนวันศุกร์ของทุกอาทิตย์คงเป็นวันที่ทุกคนรอคอยมากที่สุด


เหตุผลแรกคือพรุ่งนี้เป็นวันเสาร์ ถ้าใครทำงานหยุดเสาร์-อาทิตย์ จะไปลัลล้าหรือทำอะไรที่ไหนก็ได้เต็มที่ไม่ต้องห่วงสำหรับเรื่องเวลาในการนอนหรือต้องแหกขี้ตาตื่นแต่เช้าเพื่อไปทำงาน


ผมเองก็เป็นหนึ่งในผู้คนที่รอคอยวันศุกร์อย่างใจจดใจจ่อ ค่าที่มันมีความหมายถึงการได้สนุกสนานเฮฮากับใครสักคนหนึ่งที่เรารู้สึกดีด้วย หลังจากที่ตรากตรำงานมาหลายวัน


หลายคนใช้เวลาในคืนวันศุกร์หมดไปอย่างคุ้มค่า และเช่นกันว่ายังมีอีกหลายคนที่ไม่ได้ใช้เวลาในคืนวันศุกร์อย่างที่ตั้งใจไว้


คืนวันศุกร์วันนี้หลังจากปิดคอมพิวเตอร์ และเก็บของบนโต๊ะทำงานลงกระเป๋า ใจหนึ่งผมอยากใช้ชีวิตของค่ำคืนนี้ให้เต็มที่ แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่รู้ว่าจะไปหาใครมาร่วมสนองความรู้สึกที่คั่งค้างอยู่ ลองหยิบมือถือขึ้นมากดไล่ดูรายชื่อก็ไม่พบใครสักคนที่จะช่วยให้ความต้องการเป็นไปดั่งหวัง มีเพียงสิ่งเดียวที่ตอบสนองกลับมาคือความรู้สึกที่ว่า


ผมไม่เคยรู้สึกว่าคืนวันศุกร์มันช่างเหงาและน่าเบื่ออย่างนี้มาก่อน


เมื่อก่อนผมใช้เวลาในคืนวันศุกร์หมดไปกับการดื่มเหล้าเข้าสังคม และทุกครั้งต้องจบด้วยการพาตัวเองซมซานกลับบ้านพร้อมสภาพมึนเมาทุกครั้ง ตื่นเช้าขึ้นมาก็ต้องคอยรับมือกับอาการปวดหัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่พักหลังๆ เริ่มสำนึกได้ว่าไม่ควรให้รางวัลร่างกายแบบนี้จึงเริ่มเพลาๆ ลงบ้าง


แล้วคืนวันศุกร์คืนนี้ผมจะไปไหนดี


ตั้งใจว่าจะโทรหาเพื่อนคนหนึ่งก็กลัวจะไปรบกวนเวลาที่เพื่อนอยู่กับแฟน จึงได้แต่เก็บมือถือไว้ในกระเป๋า สุดท้ายตัดสินใจไปหาที่เดินเล่นคนเดียวสักที่ เพราะบางครั้งการได้ไปไหนมาไหนคนเดียวมันก็ทำให้เรามีเวลาได้คิดอะไรกับตัวเองมากขึ้น


ออกจากออฟฟิศ ผมนั่งรถเมล์เพื่อไปหาที่เดินเล่นฆ่าเวลาอย่างที่ตั้งใจไว้ แม้บริเวณนั้นจะมีผู้คนมากมาย แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้คืนวันศุกร์ของผมดีขึ้นมาอย่างที่คิดไว้ในตอนแรก


แต่บรรยากาศการอยู่คนเดียวท่ามกลางผู้คนที่แปลกหน้าแปลกตาก็เริ่มเป็นสิ่งที่ผมชาชิน มองในมุมกลับกันผมกลับรู้สึกว่า มันมีสเน่ห์มากสำหรับการให้เวลากับตัวเองแบบพอตัวเลยทีเดียว


คิดเข้าข้างตัวเองในแบบแง่ดีก็ต้องบอกว่า อย่างน้อยก็ไม่ต้องคอยตอบคำถามในสิ่งที่ตัวเองไม่ถนัด เช่น เสื้อตัวนี้ รองเท้าคู่นี้ หรือกระเป๋าใบนี้สวยหรือเปล่า เพราะส่วนใหญ่พอให้คำตอบไปก็มักจะไม่ตรงใจคนถามอยู่เสมอ


ไม่ใช่ว่าไม่รู้จักใส่ใจหรือเปิดรับอะไรสิ่งใหม่ๆ แต่บางครั้งการหลีกเลี่ยงในเรื่องบางเรื่องที่ไม่ถนัดก็ช่วยให้ตัวเราดูมีค่าขึ้นเมื่อไม่ได้ถูกคาดหวัง


เรื่องแบบนี้ทำให้ผมนึกถึงเพื่อนคนหนึ่ง


“กูว่าคนเป็นแฟนกัน ถ้าทำอาชีพเดียวกันได้ก็จะดีมาก”


เหตุผลที่มารองรับความคิดของเพื่อนคือความหมายของการเข้าใจกันและกัน รวมทั้งมองอะไรคล้ายๆ กัน


“มึงคิดดูนะ อย่างมึงทำงานหนังสือมันก็ต้องเลิกดึก ถ้าแฟนมึงทำงานหนังสือเหมือนกัน แม่งก็จะเข้าใจมึง ไม่ต้องมานั่งระแวงคอยโทรหาอยู่ตลอด แล้ววันศุกร์พอเลิกงานก็ไปเที่ยวด้วยกัน เป็นรางวัลให้กับตัวเองที่ทำงานมาทั้งอาทิตย์ สุขจะตาย อีกอย่างเวลาซื้อของก็ชอบอะไรคล้ายๆ กัน”


เพื่อนยังคงมีเหตุผลยกมาให้ผมฟังอีกเยอะแยะ แต่มันก็เข้าทำนองเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา
เพราะจะว่าไปแล้วคนรักเก่าของผมที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครทำอาชีพเดียวกับผมหรือเอาแค่ใกล้เคียงก็ยังแทบจะไม่มี ผมจึงไม่รู้ถึงความหมายคำว่าดีของเพื่อนนั้นเป็นอย่างไร


จะให้ไปหาแฟนที่ทำอาชีพเดียวกัน ก็คงไม่ไปลงทุนขนาดนั้น เพราะทุกวันนี้ที่เป็นเอาเข้าจริงอยู่ก็พอใจกับการใช้ชีวิตคนเดียวอยู่แล้วระดับหนึ่ง แม้ว่าจะเหงาบ้าง แต่ถ้าต้องมีใครสักคนแล้วแถมด้วยความไม่สบายใจ ผมว่ามันไม่คุ้ม


เวลาในแต่ละวันจึงถูกเฉลี่ยให้ไปกับการทำงาน อ่านหนังสือ เขียนหนังสือ ฟังเพลง ไปดูงานศิลปะ และนั่งกึ่มกับเพื่อนหรือกับตัวเองบ้างเสียเป็นส่วนใหญ่


จะผิดปกติไปจากเมื่อก่อนก็ตรงที่มือถือที่เคยดังอยู่เป็นประจำก่อนนอนทุกค่ำคืน พร้อมถ้อยคำว่า...ฝันดี ก็ไม่เคยดังและมีมาตั้งนานแล้ว



ระหว่างนั่งรถกลับบ้าน เงาของเสาไฟฟ้าที่ทอดผ่านผมไปครั้งแล้วครั้งเล่า และเสียงเพลงคืนหนึ่งในกรุงเทพของวง Friday กลับทำให้ผมรู้สึกว่า



คืนวันศุกร์วันนี้ มันช่างเป็นวันที่เหงาเปล่าเปลี่ยวอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนจริงๆ


แล้วคืนวันศุกร์ของพวกคุณละ...เป็นอย่างไรบ้าง

Sunday, November 23, 2008

ความคิดถึงจากความหลัง

ความคิดถึงจากความหลัง-วิภพ ล้อมเขต

ความคิดถึงจากความหลังค่อยๆ เรียงตัวเป็นก้อนความทรงจำถึงเรื่องราวบางอย่างในเช้าของวันที่ 15 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

วันนั้น...ผมมีธุระต้องเดินทางผ่านจังหวัดชลบุรีแบบไม่ตั้งใจ และรู้ตัวว่าจะต้องไปที่นั่นก่อนออกเดินทางไม่กี่นาที จริงอยู่ว่าเรื่องแค่นี้อาจไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นอะไรมากมายนัก ถ้ามันไม่ใช่วันคล้ายวันเกิดของหญิงสาวคนหนึ่งที่ผมรัก และพยายามจะลืมไปจากความทรงจำ

เช้าวันนั้น ผมหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง กดหมายเลขของเธอซึ่งครั้งหนึ่งเคยแสดงที่หน้าจอของผมอยู่เป็นประจำ แต่ช่วงเวลานั้นก็ผ่านมาเนิ่นนานจนหมายเลขไม่ถูกบันทึกไว้ในการโทรออก

ถ้านับวันเวลาที่เราไม่ได้เจอกันแบบเข้าข้างตัวเอง มันก็น่าจะผ่านมาประมาณ 3 ปีแล้ว แต่ถ้าเอาแบบเข้าข้างตัวเองละก็ผมบอกได้เลยว่า ไม่รู้ว่าวันที่เราสองคนจะได้พบกันอีกครั้งนั้นจะสิ้นสุดเมื่อไร

เมื่อผมกดปุ่มโทรออก ชื่อของเธอปรากฏบนหน้าจอแสดงผล เสียงรอสายดังเป็นสัญญาณธรรมดา สลับกับใจผมที่เต้นรัวมากขึ้นเมื่อเสียงสัญญาณดังเพิ่มจำนวนทุกวินาที

ผมไม่รู้ว่าเธอจะรับสายหรือเปล่า เพราะก่อนหน้าที่จะหยุดการติดต่อกันไปก็เป็นเพราะถ้อยคำที่เธอบอกผมว่า “ต่อไปนี้ไม่ต้องส่ง sms หรือโทรมาหาแล้วนะ เพราะไม่อยากทะเลาะกับแฟน”

ผมไม่เคยคิดว่าคำพูดนี้จะหลุดออกมาจากปากของเธอนับตั้งแต่เราสองคนรู้จักกันมา ทั้งที่ในใจผมตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมากกว่าเพื่อนคนหนึ่งที่เป็นห่วงเพื่อน พอเจอแบบนี้เข้าจึงรู้สึกอึ้งและได้แต่บอกตัวเองว่า มันก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วหากเธอจะแคร์คนรักของเธอมากกว่าผม ซึ่งเป็นคนที่เธอไม่ได้รัก

ตอนนั้นหลังจากวางสาย ผมรู้สึกเหมือนหมาตัวหนึ่งที่วิ่งไปหาเจ้าของที่ไม่ได้เจอกันมานานแล้วถูกเจ้าของไล่ออกมาไม่มีผิดเพี้ยน

ผมไม่คิดจะหาคำแก้ตัวใดๆ มาแก้ต่างให้กับความรู้สึกดีๆ ที่เสียไป นอกจากทำตามที่เธอขอร้อง แม้ว่าวันต่อมาเธอจะบอกผมว่าเรายังคุยและเป็นเพื่อนกันได้ก็ตาม แต่หลังจากนั้นผมก็ไม่เคยติดต่อเธออีกเลย จนมาถึงวันนี้ที่มีเสียงสัญญาณรอสายคั่นกลางระหว่างการรอคอยของผม

เมื่อเธอรับโทรศัพท์ น้ำเสียงของเธอบ่งบอกว่าค่อนข้างแปลกใจเล็กน้อยที่ผมโทรมา เพราะว่ามันก็นานมากแล้วที่เราสองคนไม่ได้คุยหรือติดต่อกันเลย

“จำได้ด้วยเหรอว่าวันนี้เป็นวันเกิด” เธอเอ่ยถามขึ้นมา หลังจากผมอวยพรวันเกิดให้แก่เธอ

ผมบอกเธอว่านอกจากจะจำได้แล้ว ยังไม่เคยลืมเลยสักปีว่าวันนี้เป็นวันเกิดของเธอ แต่จะว่าไปทุกครั้งที่ถึงวันเกิด ผมก็ไม่เคยได้พบหรืออยู่ใกล้ๆ เธอเลยสักครั้ง ยกเว้นก็ครั้งนี้ที่ต่างจากทุกปีที่ผ่านมา เพราะผมอยู่ใกล้ๆ บ้านของเธอจึงลองถามว่าจะออกมาหาผมได้ไหม

“รู้จัก...กี่โมงละ”

“น่าจะไปถึงประมาณ 10 โมง แล้วคงอยู่ได้แค่ครึ่งชั่วโมง ก็ต้องเดินทางต่อ”

“10 โมงเหรอไม่ว่างอ่ะ ติดธุระพอดี ต้องรอเขาเอารถมาส่ง”

“ให้เขามาส่งตรงที่ผมไปไม่ได้เหรอ”

“ไม่ได้หรอก ยังไงก็ไม่ได้ แต่ถ้ามาถึงแล้วลองโทรมาอีกครั้งก็ได้”

ผมพยายามต่อรองเพื่อให้เกิดความเป็นไปได้มากที่สุดเพื่อจะได้พบเธอ แต่ก็เหมือนว่าความพยายามของผมจะสูญเปล่า และดูจะเป็นอีกครั้งที่ไม่ว่าจะพยายามพบเธอแค่ไหนก็ไม่ได้พบอยู่ดี หลังจากที่ก่อนหน้านี้จะได้พบแต่ก็ไม่ได้พบมาตลอด

เรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นกับผมบ่อยมาก บ่อยจนผมเริ่มท้อ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าการได้พบเธออีกสักครั้งเพื่อที่จะได้บอกลาเธอ

ตลอดระยะเวลาที่ผมรอคอยเพื่อจะพบเธออีกสักครั้ง จะเรียกว่าเป็นความเพ้อฝันเพียงลำพังข้างเดียวผมก็ยอมรับ

ทุกวันนี้ข้าวของรูปภาพต่างๆ ที่เธอส่งมาให้หรือเป็นของเธอ ยังคงวางอยู่ที่เดิมในห้องของผมไม่เคยขยับเขยื้อนไปไหน เพื่อนผมคนหนึ่งบอกว่าผมควรจะเก็บของพวกนี้ออกไปจากห้อง เพราะจะว่าไปผมก็ไม่ต่างอะไรกับคนบ้าที่ติดอยู่กับความหลัง ยิ่งนานวันเข้าก็เริ่มไม่เปิดรับใครหรือพยายามที่จะมีใครใหม่ หรือถ้ามีใครใหม่ก็ไม่ได้รู้สึกเต็มที่เหมือนกับที่รู้สึกกับเธอ

ผมเป็นคนรักใครยาก แต่ในทางกลับกันหากได้รู้สึกรักใครสักคนแล้วก็ยากที่จะลืมเช่นกัน

ทุกวันนี้ผมคงผิดเองที่ยังคงหลอกตัวเองไปวันๆ และเป็นเพราะทั้งหมดนี้ผมยังไม่มั่นใจในตัวเองเท่าไรนัก ว่าจะลบเธอออกไปจากความทรงจำได้เมื่อไร

ท้ายที่สุดผมเดินทางออกมาจากจังหวัดชลบุรีพร้อมกับความผิดหวังอีกครั้ง ได้แต่นึกถึงคำพูดของเธอที่บอกว่าไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เราจะอยู่เคียงข้างกันเสมอ และแน่นอนว่าผมคงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น

เพราะในยามที่โลกของความจริงแยกเราสองคนให้ห่างไกลกันมากกว่าเดิมนั้น บางทีอาจจะเป็นผมฝ่ายเดียวก็ได้ที่ยังคงยืนรอคอยเธอซึ่งเดินจากไป แล้วแบบนี้ผมจะไปโทษใครได้

นอกจากต้องโทษตัวเอง…

Wednesday, November 12, 2008

ตุ๊กตาหมีสีดำ


ตุ๊กตาหมีสีดำ – วิภพ ล้อมเขต

เสียงเพลงในผับยังคงดังกระแทกหู แต่เสียงของหญิงสาวข้างกายกลับดังมากกว่า
เมื่อหันไปมอง ภาพแรกที่พบเจอ คือภาพสร้อยคอของเธอที่ขาดออกจากกัน ในขณะที่สายตาเธอกำลังจ้องมองลงบนพื้นซึ่งถูกความมืดปกคลุม


“สร้อย...”


เธอพูดออกมาเพียงคำเดียวสั้นๆ แต่น้ำเสียงกลับสื่อถึงความรู้สึกได้เป็นอย่างดีว่าเธอรู้สึกอย่างไร และแน่นอนว่าเธอคงมองไม่เห็นว่าชิ้นส่วนที่เหลือของสร้อยกระเด็นกระดอนไปทางไหน


ห่างจากเธอไปไม่ไกล หญิงสาวอีกคนที่เป็นต้นเหตุกำลังยืนมองเธอด้วยสายตาที่ไม่ต่างกัน


ผมรีบก้มลงเก็บสร้อย พยายามควานหาทุกอย่างที่คิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของสร้อย หญิงสาวข้างกายก้มลงตามมาติดๆ ท่าทีของเธอไม่ต่างอะไรไปจากผม
“ขอโทษคะ” หญิงสาวต้นเหตุเอ่ยออกมาพร้อมกับยกมือไหว้ น้ำเสียงและแววตาของเธอเหมือนเป็นฝาแฝดของความรู้สึกผิด


“ไม่เป็นไรครับ”


ผมรีบออกตัวรับ เพราะรู้ว่าหญิงสาวข้างกายยังไม่อยู่ในอารมณ์จะรับฟังคำพูดใดๆ ในช่วงเวลาที่ในมือของผมกำชิ้นส่วนบางส่วนของสร้อยอยู่


“ขอโทษจริงๆ นะคะ ไม่ได้ตั้งใจเลยค่ะ” หญิงสาวต้นเหตุเน้นย้ำอีกครั้ง เพราะเธอเองก็คงไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้


ผมยืนคั่นกลางระหว่างคนที่สูญเสียและคนที่ทำให้สูญเสีย แต่เมื่อท่าทีของหญิงสาวข้างกายผมเริ่มผ่อนคลาย ทุกอย่างจึงดูผ่อนปรน จนเมื่อเห็นว่าคำขอโทษได้รับการยอมรับ เธอก็ขอตัวเดินจากเราสองคนออกไป


“เสียดายจังเลย...เพิ่งซื้อมาเองนะเนี่ย”


ผมมองดูสร้อยของเธอซึ่งไม่อยู่ในสภาพที่เรียกว่าสร้อยได้เลยสักนิด ก่อนที่เธอจะหยิบชิ้นส่วนที่เหลือของสร้อยซึ่งติดอยู่ตรงคอยื่นมาให้ผม


“เก็บไว้ก็คงใช้ไม่ได้แล้วล่ะ คุณทิ้งไปเลยก็ได้นะ”


แล้วค่ำคืนนั้นของเราสองคนก็จบลง โดยที่เธอไม่มีสร้อยของเธอกลับบ้านเหมือนทุกวันที่เคยเป็น


เมื่อพระอาทิตย์มาแทนที่พระจันทร์ ผมพลิกตัวลืมตาตื่นในตอนเช้าเพราะเสียงปลุกจากนาฬิกาไขลาน รู้สึกเจ็บที่หน้าอกด้านซ้ายคล้ายกำลังทับอะไรบางอย่าง
พอพลิกตัวกลับมาได้จึงเอามือล้วงออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เมื่อแบมือออก มีตุ๊กตาหมีสีดำอยู่ในมือผม ในช่วงเวลาเดียวกับที่ลมหนาวยามเช้าได้พัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง


เช้านี้หนาวจังเลย แล้วตุ๊กตาหมีสีดำตัวนี้มาได้อย่างไร


ยิ่งนึกย้อนกลับไปเมื่อคืนแลกกับภาพเหตุการณ์ที่ทำให้ตุ๊กตาหมีสีดำตัวนี้มาอยู่กับผม ฤทธิ์ของแอลกอฮอลด์ที่ยังคงคั่งค้างก็ส่งผลให้เกิดอาการปวดหัว
“เก็บไว้ก็คงใช้ไม่ได้แล้วล่ะ คุณทิ้งไปเลยก็ได้นะ”


จะทิ้งไปอย่างที่เธอบอก ถ้าเกิดมันมีหัวใจ ตุ๊กตาหมีสีดำก็คงเสียใจ อีกอย่างอะไรที่เป็นของของเธอ ถ้าเป็นไปได้ผมก็ไม่ค่อยอยากทิ้งมันไปเท่าไรนัก
ไม่ใช่ว่างกหรือเสียดายแทนเธอ หากเพียงแต่ผมรู้สึกว่า ถ้าเลือกได้ผมก็ไม่อยากที่จะทิ้งอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับเธอไปก็เท่านั้น


ผมวางตุ๊กตาหมีสีดำพร้อมชิ้นส่วนของสร้อยส่วนอื่นๆ ไว้บนหมอนที่หนุนนอน ลุกขึ้นเดินไปนั่งที่บาร์เล็กๆ ของตัวเองริมหน้าต่าง เปิดเพลง A Beautiful Mess ของ Jason Mraz


เปล่า...ผมไม่ได้ต้องการจะดื่มอะไร หากเพียงแค่ต้องการมานั่งผ่อนคลายสายตารับลมหนาวในยามเช้าที่มาเยือนอย่างเป็นทางการ พร้อมเสียงเพลงเพราะๆ สักเพลงหนึ่ง


ลมหนาวเวียนวนกลับมาอีกครั้ง ผมก็ยังเหมือนเดิม ไม่ได้ก้าวไปข้างหน้าหรือไปจากจุดเดิมที่ฝังลึกอยู่ในความรู้สึก


เสียงโมบายข้างหน้าต่างส่งเสียงกังวานคั่นจังหวะมากกว่าทุกวันที่สายลมเคยพัดผ่าน จะว่าทุกข์มันก็ทุกข์ จะว่าสุขมันก็สุข จะว่าไปก็เหมือนได้แต่อนุญาตให้ตัวเองได้หลอกตัวเองไปวันๆ ว่าเราพอใจในความเป็นไปของตัวเราเองที่เป็นอยู่ในตอนนี้


เมื่อยอมรับแล้วก็อย่าไปเรียกร้องอะไร ผมนึกถึงถ้อยคำนี้ของผู้ใหญ่คนหนึ่งที่นับถือ ในช่วงเวลาที่มองดูภาพถ่ายของคนในอดีตบางคนที่ส่งข้ามน้ำข้ามทะเลมาให้จากอีกทวีปหนึ่ง ซึ่งเริ่มลางเลือนไปตามกาลเวลา ไม่ต่างอะไรกันนักกับภาพถ่ายของเราสองคนที่ผมมี


ถึงแม้ว่ามันจะไม่ซีดหรือเลือนหายไปมากนัก แต่ทุกอย่างมันก็ไม่เหมือนเดิม


ใช่...มันไม่เหมือนเดิมมา 3 ปี แล้ว มีเพียงผมฝ่ายเดียวเท่านั้นที่ยังคิดว่าทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมมาตลอด


เมื่อความจริงเข้ามาโอบกอด ผมจึงหลุดออกมาจากการย่ำเท้าอยู่บนรอยอดีต หยิบตุ๊กตาหมีสีดำและชิ้นส่วนของสร้อยเส้นอื่นๆ ขึ้นมาพร้อมความรู้สึกที่ว่า ผมน่าจะซ่อมมันให้เธอได้


ผมไม่เคยทำอะไรแบบนี้ที่ค่อนข้างออกไปทางงานฝีมือ พอต้องลงมือทำเข้าจริงก็ได้แต่เงอะๆ งะๆ ก็ด้วยนิสัยที่เป็นผู้ชายที่ไม่ค่อยใส่ใจในรายละเอียดอะไรเล็กๆ น้อยๆ โดยเฉพาะเครื่องประดับของผู้หญิง อย่างเวลาที่ใครให้ผมตัดสินใจเลือกเครื่องประดับให้ ผมก็มักจะเลือกได้แต่ชิ้นที่เธอหรือเขาคนนั้นไม่ชอบทุกที


และตอนนี้ก็เช่นเดียวกัน ด้วยความที่ไม่รู้และไม่เคยได้สัมผัสสร้อยแบบนี้มาก่อน ผมจึงได้แต่ลองสลับตำแหน่งในแต่ละส่วนของสร้อยไปมา ผิดบ้างถูกบ้างก็ว่ากันไป และก็เป็นเพราะโชคดีที่ห่วงคล้องสร้อยยังคงอยู่ แต่เพื่อความแน่ใจจึงลองโทรถามเพื่อนดูว่าที่ผมทำไปนั้น มันถูกหรือเปล่า


“มันมี 3 ส่วนวะ มีตุ๊กตาหมีสีดำ ส่วนที่เป็นหลายเส้นห้อยรวมกัน แล้วก็สร้อย” ผมอธิบายให้เพื่อนฟังเพื่อให้เพื่อนนึกภาพออกมากที่สุด


“เข้าใจละ...เอางี้ทำตามที่บอกนะ เริ่มจากฯลฯ”


สุดท้ายผมจึงสามารถต่อตุ๊กตาหมีสีดำให้กลับมาเป็นสร้อยของเธอได้ดังเดิม หลังจากซ่อมเสร็จลองเอามาสวมดูก็ตลกตัวเอง เพราะนอกจากจะเป็นครั้งแรกที่ได้สวมสร้อยแบบนี้แล้ว มันยังทำให้ผมรู้สึกว่าไม่เหมาะกับผมเอามากๆ


คิดแล้วก็ได้แต่ขำตัวเอง แล้วมันก็เป็นครั้งแรกที่ตุ๊กตาหมีสีดำได้ใกล้ชิดกับผม จนได้กลิ่นน้ำหอมของเธอที่ติดมาในตอนที่ผมถอดออกจากคอ กลิ่นน้ำหอมจากตุ๊กตาหมีสีดำที่ได้กลิ่นทำให้ผมคิดถึงเธอ ป่านนี้เธอจะทำอะไรอยู่นะ


ลมหนาวยังคงพัดผ่าน ผมแขวนสร้อยตุ๊กตาหมีสีดำของเธอไว้ตรงโต๊ะหนังสือ ในช่วงเวลาที่เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นมาพอดี และเป็นเธอนั่นเองที่โทรมา


“ฮาโหล...ว่าไง”


“เมื่อคืนคุณเมาหรือเปล่า” เธอเอ่ยถามด้วยความสงสัยแทนคำทักทายในยามเช้า


“เปล่านี่...ไม่เมา”


“เหรอ...พอดีเพื่อนฉันบอกว่าพวกเราเมากันทุกคนเลย นี่ฉันตื่นมาก็รู้สึกปวดหัวมากเลยนะ”


เมื่อยืนยันกับเธอจนเธอเชื่อว่าผมไม่ได้เมา เราสองคนก็เปลี่ยนเป็นคุยกันเรื่องอื่น รวมถึงเรื่องบางเรื่องที่คงเป็นสาเหตุทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ แต่ในฐานะคนนอกสิ่งเดียวที่ผมพอจะทำได้ คือการเป็นผู้รับฟังที่ดี และคอยให้กำลังใจที่ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะช่วยอะไรเธอได้บ้างหรือเปล่า


ตอนที่น้ำเสียงของเธออาศัยสัญญาณโทรศัพท์เป็นช่องทางในการผ่านเข้าไปในรูหูของผมนั้น ใจหนึ่งก็อยากจะบอกเธอว่าสร้อยตุ๊กตาหมีสีดำของเธอนั้นยังอยู่
ผมไม่รู้ว่าถ้าเอาสร้อยไปคืนเธอ เธอจะดีใจหรือแปลกใจไหม แต่เท่าที่จำได้คือเธอบอกให้ผมทิ้งมันไป เพราะฉะนั้นผมจึงได้แต่เตรียมใจไว้เลยว่าเธออาจจะรู้สึกเฉยๆ ก็ได้


แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ ผู้ชายแบบผมมันเป็นคนประเภททิ้งหรือลืมอะไรได้ยาก ถ้าไม่ได้ลองพยายามจนสุดความตั้งใจของตัวเองจนถูกเขาไล่เป็นหมูเป็นหมาก็มักจะไม่ถอดใจเอาง่ายๆ และถึงอย่างไรซะ ผมก็ยังอยากเอาไปคืนเธออยู่ดี


เช้าวันต่อมา


ลมหนาวยังคงพัดผ่าน ผมเดินเข้าไปหาเธอในห้องทำงาน เธอมองผมด้วยสีหน้างงๆ ผมยิ้มให้เธอ หันไปทักทายเพื่อนของเธอที่นั่งอยู่ด้านข้าง
“มีอะไรเหรอ” เธอเอ่ยถาม ในตอนที่ผมเริ่มเอามือล้วงกระเป๋ากางเกง


ผมยังคงไม่ตอบคำถามเธอ ตุ๊กตาหมีสีดำอยู่ในมือผมอีกครั้ง และสีหน้าของเธอเอง ก็เริ่มมีแต่ความแปลกใจเพิ่มขึ้นทุกวินาที


“ว่าไงละคุณ มีอะไร”


ทั้งๆ ที่ตั้งใจจะพูดออกมาให้เธอรู้ แต่ตุ๊กตาหมีสีดำก็ดันติดอยู่ในกระเป๋ากางเกง ผมจึงต้องเบี่ยงตัวบังไว้ไม่ให้เธอเห็นว่าผมจะเอาอะไรออกมาให้เธอ
แต่ท่าที่เงอะๆ งะๆ ของผมคงไปสะดุดสายตาของเพื่อนเธอที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ซึ่งแน่นอนว่าเพื่อนของเธอก็เห็นอากับกิริยาของผมทุกอย่าง จนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะผมออกมา


ยิ่งพยายามเอาออกมามันก็ยิ่งติด ยิ่งติดก็ยิ่งรน ยิ่งดึงก็ยิ่งมีพิรุธ จะว่าเสียฟอร์มมันก็ใช่ ลองหันไปมองก็เห็นเธออยู่ในสีหน้าที่งงๆ ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่
ผมได้แต่นึกในใจ ทำไมต้องมาติดในตอนนี้ด้วยนะ แต่สุดท้ายตุ๊กตาหมีสีดำก็ยอมออกมาจากกระเป๋ากางเกงของผมจนได้ โดยมีด้ายสีดำจากกระเป๋ากางเกงตามติดออกมาด้วย


ก่อนที่ความเงียบจะโอบกอดเราสองคนนานกว่านี้ ผมก็ยื่นมือไปหาเธอ


“ผมเอาของของคุณมาคืน ลองซ่อมดู คิดว่ามันน่าจะยังใช้ได้นะ”


รอยยิ้มของเธอปรากฏออกมา เธอรับตุ๊กตาหมีสีดำกลับไปด้วยท่าทางที่ดีใจ ไม่ต่างอะไรกับเด็กคนหนึ่งที่ได้ของรักของตัวเองกลับคืน


“ฉันนึกว่าคุณทิ้งไปแล้วเสียอีก”


ผมยิ้มไม่ได้ตอบอะไร เพราะเริ่มทำตัวไม่ถูก ไม่บอกก็รู้ว่าเธอคงไม่คิดว่าจะได้มันกลับคืน ได้แต่หันไปทักทายเพื่อนของเธอเพื่อกลบเกลื่อน แล้วขอตัวออกมาจากห้องทำงานของเธอ


พร้อมกับรอยยิ้มของเธอที่ยิ้มส่งลาผม ก่อนที่บานประตูห้องทำงานของเธอจะปิดสนิท


หากเอ่ยถามว่าผมทำไปเพื่ออะไร ทั้งๆ ที่เธอก็ไม่ได้สั่งหรือคาดหวังว่าจะได้สร้อยตุ๊กตาหมีสีดำของเธอกลับคืน คำตอบเดียวที่ผมพอจะให้ได้ คือคำว่ารอยยิ้มจากเธอ และแน่นอนว่า


ดูเหมือนผมจะทำสำเร็จ...











Tuesday, October 28, 2008

ค่ำคืนหนึ่ง

click to comment



ค่ำคืนหนึ่ง- วิภพ ล้อมเขต

ฝนตกไม่ขาดสายและไม่มีท่าทีจะหยุดตก นานมากแล้วที่ผมไม่ได้ใช้เวลาหลังเลิกงานไปกับใครแบบสองต่อสอง

ก้มมองดูในกระเป๋าสะพายของตัวเอง ด้วยนิสัยไม่ค่อยชอบพกร่มติดตัวเป็นทุนเดิม บวกกับร่มคันที่ชอบเป็นสีขาวซึ่งไม่สามารถพับเก็บได้ เรื่องต้องตากฝนเวลากลับบ้านจึงกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่ผมพบเจออยู่บ่อยๆ

“ตอนเย็นไปไหนหรือเปล่า”

ข้อความหนึ่งที่ส่งเข้ามาสะกิดความรู้สึก ทำให้ผมต้องถามตัวเองว่า ที่ผ่านมาช่วงเวลาหลังเลิกงานของผมหมดไปกับอะไรบ้าง เล่นฟิตเนต เคลียงาน หรือไม่ก็นั่งอยู่ในรถที่ติดอยู่กลางถนน

ตารางชีวิตหลังเลิกงานผมหมุนวนอยู่แค่นี้ เพื่อนสนิทแบบรู้ใจก็อยู่ไกล กว่าจะได้เจอกันก็ต้องฝ่าด่านแฟนเพื่อนก่อนทุกครั้ง ชีวิตหลังเลิกงานของผมจึงมักอยู่กับตัวเองเสียส่วนใหญ่ ลองนั่งนึกอีกรอบก็ยังนึกไม่ออก แต่เป็นเพราะเธอ ช่วงเวลาหลังเลิกงานของผมวันนี้กลับเปลี่ยนไปจากวันเดิมๆ ที่ผ่านมา

ผมและเธอก้าวเท้าเป็นจังหวะเดียวกันภายใต้ร่มคันเดียวกันซึ่งทำหน้าที่ป้องกันสายฝน มุ่งหน้าไปสู้รถของเธอท่ามกลางสายฝนที่ยังคงทิ้งตัวลงมาอย่างไม่ขาดสาย จนก่อกำเนิดเป็นเม็ดฝนพร่างพราวอยู่หน้ากระจกรถ ประตูรถสองบานถูกเปิดและปิดในเวลาไล่เลี่ยกัน

“รถติดแน่เลย จะไปหาอะไรนั่งทานกันชิวๆ ไหวไหมเนี่ย” เธอพูดออกมา สายตามองหาช่องเสียบกุญแจเพื่อสตาร์ทรถ ในขณะที่ผมเริ่มดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดที่เอว

ที่ปัดน้ำฝนหน้ากระจกเริ่มทำงาน วงแขนของเธอหมุนวนไปทางซ้ายเป็นวงกลมเมื่อเท้าของเธอเริ่มสัมผัสคันเร่งอย่างบางเบา เหมือนกับลมหายใจของผมและเธอที่สัมผัสกันอย่างเบาบางลอยอบอวลอยู่ภายในรถ

ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังตกอยู่ในความฝัน ไม่คิดว่านี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นระหว่างผมและเธอ ไม่มีวันเป็นไปได้หรอก ผมบอกตัวเองในใจ ในช่วงเวลาที่เธอเริ่มชวนผมคุยมากขึ้น

“คิดดูนะว่าเวลากลับบ้านฉันต้องเจอรถติดแบบนี้ทุกวัน ค่อยๆ ขยับเป็นอยู่อย่างนี้ตลอด น่าเบื่อมาก คุณว่าไหม”

“อือ” ผมเออออตามเธอ เม็ดฝนที่หน้ารถของเธอเริ่มเจือจาง

ครั้งแรกที่เราพบกัน ตอนนั้นผมกำลังนั่งอยู่ในวงหมอดูที่มีเพื่อนของผมคนหนึ่งทำหน้าที่ดูดวงให้กับเพื่อนอีกคนอย่างเคร่งเครียด พอเพื่อนดูจบก็ถึงตาผมบ้าง
แน่นอนว่าถึงแม้ว่าผมจะไม่ใช่คนที่เชื่อเรื่องดวงมากมายเป็นพิเศษ แต่เรื่องราวบางอย่างก็มักจะเกิดขึ้นมาแบบไม่คาดคิดเสมอ เช่นเดียวกันกับตอนที่เธอเดินผ่านเข้ามา แล้วนั่งลงให้เพื่อนของผมดูดวง

หลังจากเธอดูจบ ผมพอจะจับใจความได้ว่าตอนนั้นเธอมีเรื่องไม่สบายใจเกี่ยวกับคนรักของเธอ และเช่นเดียวกับตอนนี้ที่เธอเองก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน

นับจากวันนั้นความสัมพันของเราสองคนก็ไม่เคยมีอะไรมากไปกว่า การทักทายกันทุกครั้งที่ได้พบเจอ อย่างมากก็แค่ยิ้ม หรือไม่ก็พูดคุยกันแทบจะนับคำได้

“หิวหรือเปล่า” เธอถามแล้วหันมายิ้ม คำถามของเธอดึงผมออกมาจากภาพของผมและเธอวันเก่าๆ

“นิดหน่อย”

“นี่คุณกลับบ้านแล้วทานข้าวอีกหรือเปล่า ถ้ามีคนรอที่บ้านก็ไม่ต้องทานเป็นเพื่อนก็ได้นะ”

ผมนึกถึงภาพตัวเองนั่งอยู่เพียงลำพังที่ร้านอาหารข้างทางในทุกค่ำคืน

“ไม่มีคนรอหรอก หาอะไรทานด้วยก็ดีเหมือนกัน”

“งั้นดีเลย เราไปหาที่เงียบๆ นั่งทานข้าวและคุยกันดีกว่า”

หลังจากรถของเธอจอดสนิท เราสองคนเดินลงจากรถเพื่อมุ่งหน้าสู่ร้านใดสักร้านหนึ่ง โดยที่ไม่รู้ว่าจะเป็นร้านไหน

“เอาร้านนี้แล้วกัน ขอนั่งนอกร้านนะ อากาศแบบนี้ตรงนี้คงเหมาะกว่า”

ผมมองดูที่นั่งที่เธอเลือก พยักหน้าเห็นด้วย สายตามองดูภายในร้าน คราวนี้เป็นผมที่ชวนเธอคุย

“ไปสั่งอะไรมาทานกันก่อนดีไหม”

“เอาสิ” เธอเดินนำหน้าผมเข้าไปในร้าน

“ขอชาเขียวที่หนึ่งค่ะ เฟร้นฟรายส์ เป๊บซี่ และก็นักเก็ต 1 ชุด คุณทานอะไรล่ะ”

ผมมองดูรายการอาหารบนฝาผนัง ไม่มีอะไรที่อยากทาน แต่จะนั่งอยู่กับเธอเฉยๆ โดยไม่ทานอะไรเลยก็ดูไม่เหมาะ จึงสั่งกาแฟมา 1 แก้ว แล้วเดินไปเติมซอสให้กับเธอ

“เอาซอสพริกด้วยนะ” เสียงเธอบอกตามหลังเมื่อผมเริ่มกดซอสมะเขือเทศ

ลมหนาวหลังฝนตกในยามค่ำคืนเริ่มพัดโชย ผมนั่งอยู่กับเธอแบบสองต่อสองโดยมีโต๊ะอลูมิเนียมทรงกลมคั่นกลางระหว่างเราสอง

ผมรู้ว่าค่ำคืนนี้เธอมีเรื่องไม่สบายใจ และคงอยากหาใครสักคนที่ไม่ได้รู้จักเธอหรือรู้เรื่องราวอะไรของเธอมากนักเป็นที่ระบาย แน่นอนว่าผมเป็นหนึ่งในนั้นที่เธอเลือก หลังจากก่อนหน้านี้ที่เพื่อนของเธอติดงานและมาตามนัดไม่ได้

ผมนึกถึงช่วงเวลาที่ตัวเองต้องเผชิญกับปัญหาโดยไม่รู้จะพึ่งพาใคร ผมไม่อยากให้เธอต้องเผชิญกับการอยู่คนเดียวและปัญหาที่ต้องเจอเหมือนตัวผม ผมจึงต้องอยู่ข้างๆ เธอแบบไม่เรียกร้องอะไร

ปัญหาของเธอเป็นปัญหาของคู่รักทั่วไปที่พบเห็นอยู่บ่อยๆ เท่าที่ผมจับใจความได้ดูเหมือนว่าคนรักของเธอกำลังแอบคบกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง และดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนั้นก็ดูท่าจะชอบคนรักของเธออย่างจริงจัง

“นี่ขนาดยังไม่แต่งงานกันยังทะเลาะกันขนาดนี้ ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าแต่งแล้วจะขนาดไหน ของแบบนี้ถ้าผู้ชายไม่เล่นด้วยผู้หญิงมันก็คงไม่กล้าพูดขนาดนี้หรอกคุณว่าไหม”

ผมยิ้มไม่ได้ตอบอะไรเธอไป ได้แต่อาศัยความเงียบกล่อมเธอให้ใจเย็น

“คิดแล้วก็เซ็ง น่าเบื่อมากๆ ว่าแต่คุณไม่มีแฟนเหรอ ถึงมากับฉันได้”

“แฟนเหรอ...ไม่มี”

“ก็ดีนะ อยู่คนเดียวก็ดีเหมือนกัน ไม่ต้องมีเรื่องให้ปวดหัว คุณเล่าเรื่องแฟนเก่าของคุณให้ฟังบ้างสิ ฉันอยากฟัง”

แล้วบทสนทนาของเราสองคนก็กลับกลายเป็นเรื่องความรักเก่าๆ ของผมเสียส่วนใหญ่ โดยมีเธอเป็นผู้รับฟังอย่างตั้งใจ

ตลอดเวลาผมพยายามเล่าสิ่งเลวร้ายที่เจอมาเพื่อให้เธอรู้สึกว่า สิ่งที่เธอเผชิญมันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายอย่างที่คิด และหลังจากเล่าจบก็ดูเหมือนเธอจะลืมความทุกข์ของตัวเองไปชั่วขณะ

แต่ใจที่ยังกังวลก็ยังเป็นใจที่ยังกังวลอยู่วันยังค่ำ เพราะแววตาของเธอนั้นซ่อนความรู้สึกลึกๆ ของเธอไว้ไม่หมด ความเศร้ายังคงโอบกอดเธอ โดยที่ผมไม่สามารถช่วยอะไรเธอได้มากนัก นอกจากนั่งอยู่เป็นเพื่อนเธอตราบเท่าเวลาที่เธอต้องการในค่ำคืนนี้

ฝนหยุดตกไปนานแล้วเหลือเพียงลมหนาวที่พัดผ่านมา เธอหยิบใบเซียมซีที่เสี่ยงได้ในวันที่เราสองคนไปทำบุญด้วยกันขึ้นมา และมันก็เป็นเรื่องแปลกที่ใบเซียมซีที่ผมเสี่ยงได้นั้นก็เป็นใบเดียวกับเธอ

“ยังเก็บไว้เหมือนกันเหรอ ว่าแต่นี่คุณทานนิดเดียวเองนะ จะอิ่มหรือเปล่า”

“วันนี้ผมทานข้าวเหนียวหมูปิ้งไปเยอะ มันก็เลยยังอิ่มๆ อยู่”

“โห…อยากทานบ้างจัง ฉันชอบข้าวเหนียวหมูปิ้งมากเลยนะ”

“งั้นพรุ่งนี้ซื้อมาฝากเอาไหม”

“เอาๆ ขอสัก 10 ไม้นะ”

“10 ไม้เลยเหรอ”

“ฉันล้อเล่น นั่นก็เว่อร์ไป คุณก็เชื่ออีก ฮ่าๆ”

นั่นเป็นเสียงหัวเราะครั้งแรกของเธอที่ผมได้ยิน ดูเหมือนเธอจะสบายใจขึ้น และห่วงของความกังวลที่รัดตัวเธอก็ดูเหมือนจะค่อยๆ คลายออก

“เดี๋ยวนี้ฉันเป็นอะไรไม่รู้ ไม่รู้สึกรักหรือตื่นเต้นกับใครเลย”

คำพูดของเธอสะกิดมิติความรู้สึกที่ซับซ้อนของผม เพราะผมเองก็รู้สึกไม่ต่างอะไรไปจากเธอนับตั้งแต่คนรักของผมลาจากผมไปเพื่อใช้ชีวิตกับคนอื่น

“กี่โมงแล้วละ อุ๊ย! คุณใส่นาฬิการุ่นเดียวกับแฟนฉันเลยนะ”

ผมมองดูนาฬิกาบนข้อมือ นึกในใจ แบบเดียวกันเลยเหรอ อะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้น

“เดี๋ยวคงต้องกลับแล้วล่ะ ไว้วันหลังมานั่งเล่นชิวๆ กันอีกนะ”

ผมยิ้มรับแทนคำตอบ ลุกขึ้นเดินออกมาจากร้านพร้อมกับเธอเพื่อกลับไปที่รถ เม็ดฝนหน้ากระจกรถแห้งหายจนเกือบหมด รอยยิ้มของเธอเริ่มปรากฏเมื่อเราสองคนนั่งพูดคุยกันถึงเรื่องอื่นที่พอจะเรียกเสียงหัวเราะออกมาได้

“จะให้ฉันส่งคุณตรงไหนถึงจะสะดวก”

“ผมว่าเอาที่คุณสะดวกแล้วกัน ตรงข้างหน้าก็ได้ จะได้ไม่ต้องจอดรถลำบาก”

“ได้ๆ กลับบ้านดีๆ ละคุณ”

ทันทีที่ประตูรถของเธอเปิดออก ผมรู้สึกถึงลมหนาววูบหนึ่งที่พัดผ่านเข้ามา รถของเธอค่อยๆ เคลื่อนห่างออกไปจากตัวผม

ผมนึกถึงเรื่องราวของเราสองคนที่เพิ่งเกิดขึ้นและผ่านไปไม่นาน นึกถึงถ้อยคำของเธอบางประโยค นึกถึงใบเซียมซีที่เธอและผมเสี่ยงได้ นึกถึงข้าวเหนียวหมูปิ้ง และได้แต่ยืนมองนาฬิกาบนข้อมือของตัวเองที่เธอบอกว่าเหมือนกับของแฟนเธอ

ผมเงยหน้ามองดูท้องฟ้าที่เริ่มมีดวงดาวปรากฎ หลังจากเมฆฝนเคลื่อนผ่านไป วันนี้ช่วงเวลาหลังเลิกงานของผมกลับเปลี่ยนไปจากวันเดิมๆ ที่ผ่านมา โดยเฉพาะค่ำคืนนี้ ต่างกันก็แค่เธอกลับบ้านไปหาคนรักของเธอ

ส่วนผมนั้นกลับบ้านไป
เพื่อพบเจอเพียงเงาของตัวเอง…



Friday, September 19, 2008

หรือเราอยู่ภายใต้ฝนเม็ดเดียวกัน

ครั้งแรกที่วิภพขอให้ผมเขียนคำนิยมให้เขา ผมนึกแปลกใจและย้อนถามกลับไปว่าจะให้เขียนนิยมเขาหรือนิยมหนังสือ ทั้งที่มีคำตอบในใจอยู่แล้วว่าควรเป็นคำนิยมหนังสือ

ผมให้เหตุผลไปว่าเพราะไม่ค่อยนิยมในตัวเขา แต่เป็นแค่เรื่องพูดเล่น ความจริงคือผมรู้จักตัวหนังสือของเขามากกว่า เราเคยเจอหน้ากันไม่ถึงสิบครั้ง หนักไปทางบทสนทนาผ่าน MSN เป็นหลัก เมื่อเขาชวนผมเขียนคำนิยมให้ ผมจึงรู้สึกแปลกใจว่าทำไมเขาเลือกนึกถึงคนไม่ค่อยคุ้นเคย แถมไม่มีชื่อเสียงเป็นแม่เหล็กดึงดูดคนอ่านอย่างผม

จากการสัมผัสด้วยตา ภายนอกเขาดูเซ่อๆ สงบเงียบ แต่ภายในกลับเปี่ยมด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน จากการสัมผัสด้วยหู เขาพูดน้อย ต่อยหนัก และกวนตีนชนิดหาตัวจับยาก จากการสัมผัสด้วยจมูก ผมเข้าใจว่าหนุ่มคนนี้เนื้อหอมใช่เล่น จากการสัมผัสด้วยปาก (เอ่อ อย่าคิดลึก หมายถึงความสามารถในการฟังของเขา)
วิภพเหมือนคนไม่ค่อยฟังใคร แต่เขารู้จักเก็บรายละเอียดรอบกายไปประมวลผลมากกว่าคนอื่น
จากการสัมผัสทุกส่วนรวมกัน ผมถือว่าวิภพเป็นคนน่าคบหาคนหนึ่ง

ก่อนส่งต้นฉบับให้ผมอ่าน วิภพบอกว่า ‘ฝนเม็ดแรก’ เป็นเรื่องของโชคชะตาและการรอคอย เมื่ออ่านจบ ผมรู้สึกว่าเขาให้น้ำหนักกับการรอคอยมากกว่า การรอคอยในโลกนี้แม้มีหลายรูปแบบ ทว่าแต่ละรูปแบบกลับมีข้อแตกต่างไม่มากนัก ไม่ว่าจะรอคอยแบบใดล้วนมีบุคคลสองฝ่าย ผู้รอกับผู้ถูกรอ เวลาของฝ่ายรอย่อมยาวนานกว่าฝ่ายถูกรอเสมอ

การรอคอยบางครั้งนำมาซึ่งความสุข บางครั้งก็แสนเศร้า และหลายครั้งที่การรอคอยเป็นความรู้สึกบอกไม่ถูก ผมเคยเขียนประโยคหนึ่งในสมุดบันทึกว่า “การรอคอยที่ทรมานที่สุดคือการรอคอยที่ไม่มีจุดหมาย” มันเกิดขึ้นจากการรอคอยครั้งหนึ่งในชีวิตผม การรอคอยครั้งนั้นพ้องกับเรื่องราวของ ‘ฉัน’ ใน ‘ฝนเม็ดแรก’ อย่างไม่น่าเชื่อ

การเป็นทั้งฝ่ายรอและฝ่ายถูกรอเป็นเรื่องยากลำบาก การบอกกล่าวให้บางคนไม่ต้องรอเราก็ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะเมื่อประกอบกับการรอคอยระยะไกลซึ่งเปิดโอกาสให้เราผิดพลาดไม่เว้นวินาที

ถ้าจะลองหาคำนิยามเพื่ออธิบาย ‘ฝนเม็ดแรก’ มันคือเรื่องรักธรรมดาซึ่งหลายคนเคยพบพาน เคยสัมผัส เคยผ่านพ้น และบางคนยังผ่านไม่พ้น ผ่านตัวอักษรลักษณะเดียวกับนิสัยหรือข้อเขียนชิ้นอื่นของวิภพ มองง่ายๆ จากภายนอก ทว่าลุ่มลึกอยู่ภายใน หลายครั้งคราวมันทำให้เราครุ่นคิด หวนคำนึง ระลึกถึง เสียน้ำตา แม้กระทั่งตั้งคำถามว่าเรื่องราวของฝนเม็ดแรกซึ่งคล้ายชีวิตเราเป็นโชคชะตาจริงไหม

ผมเป็นคนไม่เชื่อในโชคชะตา ไม่ค่อยเชื่อว่าคนเราเกิดมาเพื่อรักคนๆ หนึ่ง แม้จะเคยหลงคิดว่าใครบางคนคือคนพิเศษจนเฝ้าฝันถึงขั้นเพ้อ แล้วสุดท้ายก็พบว่ามันคือความฝันโง่ๆ ที่เสียเวลาเปล่า แต่ผมค่อนข้างมั่นใจว่าทุกคนมีสิทธิที่จะเลือก มีสิทธิที่จะตัดสิน และรอรับผลจากการตัดสินใจนั้น ไม่มีอำนาจเหนือฟ้าใดจะมากำหนดความเป็นไปในชีวิตเราได้ หญิงสาว (หรือชายหนุ่ม)อีกคนที่รู้จัก ระยะทางห่างไกลโดยไม่รู้ข่าวคราว เรื่องราวไม่เข้าใจเล็กๆ น้อยๆ และความสัมพันธ์เปราะบางทางเทคโนโลยี ล้วนเป็นเหตุปัจจัยให้เราเลือกเปลี่ยนเข็มทิศชีวิตได้ทั้งสิ้น

เพียงแต่มนุษย์บางประเภทนิยมเลือกการรอคอย เพราะการรอคอยทำให้เกิดความหวัง ชีวิตที่ไม่มีความหวังหรือไม่เคยเรียนรู้ที่จะหวังเป็นชีวิตที่หยาบกระด้างและโหดร้ายเกินไป

เช่นเดียวกับ ‘ฉัน’ การรอคอยของเขาเป็นการรอคอยที่ไม่มีจุดหมาย ไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่าจะออกดอกออกผลเมื่อไหร่ หรือแม้แต่อย่างน้อยกับคำถามง่ายๆ ว่ามันจะเป็นการรอคอยที่ออกดอกออกผลรึเปล่า ทว่าจากประสบการณ์ส่วนตัว ผมค่อนข้างเชื่อมั่นว่าหลังจากเรื่องราวใน ‘ฝนเม็ดแรก’ จบลง ‘ฉัน’ จะยังรอคอยชนาพรอยู่เงียบๆ แม้แทบไม่มีโอกาสที่ชนาพรจะกลับมาก็ตาม

นั่นแหล่ะ เหตุผลที่ผมบอกว่า ‘ฝนเม็ดแรก’ คือเรื่องของการรอคอย

ส่วน ‘โชคชะตา’ หากว่าจะมีในหนังสือเล่มนี้ คงเป็นโชคชะตาที่นำพาให้หนุ่มสาวผู้มีความรัก

ล้วนต้องตกอยู่ภายใต้ฝนเม็ดแรกเม็ดเดียวกัน


พลพงศ์ จันทร์อัมพร
08 กันยายน 2551
หน้าคอมพิวเตอร์เก่าๆ เครื่องหนึ่ง