Friday, November 06, 2009

ผมกับเธอ



ผมถูกทิ้งขว้างและห่างเหินการดูแลใครสักคนอย่างจริงจังมานานหลายปี…นานพอที่พอจะทำให้ผมดูเหมือนคนเฉื่อยชาหรือไม่เอาใจใส่ความรู้สึกของคนๆ หนึ่งได้อย่างไม่ยากเย็น


ทุกครั้งที่เธอโกรธหรืองอนผม นอกจากเสียงตัดสาย ความรู้สึกเดียวที่หลงเหลืออยู่เป็นเพื่อนกัน คือความรู้สึกที่ไม่ดีและไม่สบายใจเมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก


จะว่าไปแล้ว 3-4 วันที่ผ่านมานี้ เธอมักจะเอาแต่ใจตัวเองมากเป็นพิเศษ ซึ่งปกติก็มากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพราะไม่ว่าเหตุผลหรือสิ่งที่ผมทำจะถูกเพียงใด แต่มันก็มักจะผิดเสมอในสายตาเธอ

เพื่อนๆ ผมบอกว่า อาการที่เธอเป็นคือโรคชนิดหนึ่งที่ได้รับการจำกัดความว่า ‘เหวี่ยง’ และถ้าเป็นแบบนั้นจริง ผมเองก็มั่นใจว่า ผมคงโดนเธอเหวี่ยงวันละหลายๆ รอบ เหมือนกับว่าผมเป็นแค่ลูกตุ้มลูกหนึ่งที่ไม่มีความรู้สึก

เธอมักจะโทรมาหาผมแล้วถามผมเสมอว่า ผมมีคนอื่นใช่ไหม ทำให้แค่นี้ทำให้ไม่ได้เหรอ จะกลับถึงบ้านกี่โมง นั่นเสียงผู้หญิงที่ไหน ฯลฯ แต่ในทางกลับกันพอผมถามบ้างว่าเธออยู่ที่ไหนกลับถึงบ้านหรือยัง ฯลฯ เธอก็มักจะตอบผมมาว่า อยู่ที่ไหนแล้วทำไม อยู่กับคนอื่น มีอะไรหรือเปล่า เรื่องมากนักเดี๋ยวก็หาใหม่ซะหรอก

…ข้างในผมสะเทือนทุกครั้งที่ได้ยินประโยคนี้จากปากของเธอ

ผมรู้ว่าที่เธอพูดแบบนี้เพราะเธออยากให้ผมหึง แสดงความเป็นเจ้าของกับเธอ ok ถ้ามันเป็นเรื่องจริงขึ้นมา ถามว่าผมจะหึงเธอไหม คำตอบคือแน่นอนที่ผมจะต้องหึงเธอ

แต่เปล่าเลยที่ผมจะเป็นแบบนั้น เพราะในเมื่อมันไม่เป็นความจริง ผมจึงรู้สึกเสียดายช่วงเวลาดีๆ ที่เราสองคนจะมีให้ต่อกันมากกว่า

แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ได้คิดแบบเดียวกับผมเลยสักนิดเดียว

“ฮาโหล…อ้วน”

“แปบนะไม่ว่างติดประชุม เดี๋ยวโทรกลับ”

“มึงลองวางสิ ถ้ากล้าก็ลอง…” คือหนึ่งในถ้อยคำที่เธอยื่นข้อเสนอให้กับผม และพอผมวางเพราะต้องประชุมงานจริงๆ สิ่งที่ตามมาก็คือการโทรไปแล้วเธอไม่รับสายอยู่เป็นประจำ

ผมโทรจนเลิกโทร และพอผมไม่โทรไปหา เธอก็จะโทรมาต่อว่าผม ว่าผมไม่เคยแคร์เธอเลยจริงๆ

ในทางกลับกัน…ถ้าผมโทรไปแล้วเธอบอกว่าไม่ว่าง ผมก็จะยอมเข้าใจแต่โดยดี แล้วรอช่วงเวลาที่เธอว่างโทรกลับไป เพื่อพูดคุยกับเธอ เพราะความคิดถึง โดยไม่มีคำถามใดๆ เกิดขึ้น ว่าทำไมเธอถึงไม่ว่างที่จะคุยกับผม

ผมไม่เคยจะสงสัยติดใจอะไรในตัวเธอหรือมีคำถามอะไรที่คอยจับผิดเธอมากนัก แน่นอนว่าสำหรับบางคนนั้น การคอยมานั่งจับผิดคนที่คบกัน การหวาดระแวงซึ่งกันและกันมันอาจหมายถึงการมีคุณค่า การใส่ใจ และหนักเข้ามันก็ถูกเรียกว่า ‘ความรัก’

แต่ผมเองอาจจะเป็นผู้ชายที่ผิดแปลกหรือค่อนข้างแปลกประหลาดจากคนอื่นเขา เพราะผมไม่เคยมีความคิดแบบนั้นอยู่ในหัว ผมไม่เคยเอามันเก็บมาคิดว่า ทำไมๆๆๆ และทำไม

ผมไม่รู้ว่าทำไมตัวเองจะต้องหวาดระแวงคนที่ตัวเองตัดสินใจจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน เพราะถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ แทนที่ผมจะมีคนที่มาใช้ชีวิตอยู่ด้วย ก็เหมือนกับว่า ผมมีศัตรูเพิ่มมาอีกหนึ่งคนมากว่า

ครั้งหนึ่ง… ผมเคยหลุดปากพูดแทนตัวเองว่ากู และแทนตัวเธอว่ามึงออกไป โดยไม่ตั้งใจ เมื่อเธอได้ฟังเธอก็ต่อว่าผมว่าทำไมถึงพูดกับเธอแบบนี้

แน่นอนว่าผมรู้สึกผิด และหลังจากนั้นเธอก็มักจะพุดคำว่ามึงกูกับผมอยู่เป็นประจำ จนคำว่า ‘เค้า’ และ ‘ตัวเอง’ที่ผมเคยได้ยินนั้นแทบจะนับคำได้

คิดในแง่ปลอบใจตัวเองมากที่สุด นี่คงเป็นเวรกรรมจากการที่ผมได้เผลอพูดไปโดยไม่ยั้งคิด และผมก็ต้องมาทนนั่งแบกรับความรู้สึกไม่ดีที่ครั้งหนึ่งเธอเองก็เคยรู้สึกจากคำพูดของผม และถ้าย้อนเวลากลับไปได้ วันนั้นผมจะไม่พูดมึงกูกับเธอเด็ดขาด

ผมเข้างาน 9 โมงเช้า เลิกงานในช่วงเวลา 18.30 ตามเวลาที่กำหนด แต่ทุกวันก็มักเลยเถิด จนต้องเลิกเอาประมาณเกือบเที่ยงคืนโดยเฉลี่ย นอกจากงานที่ผมต้องทำให้ผมเหนื่อย กลับถึงห้องสิ่งที่ผมอยากรู้สึกและได้ยินจากเธอ คือคำพูดกับความรู้สึกดีๆ ที่ไม่ใช่เป็นเรื่องของการทะเลาะหรือระบายอารมณ์ใส่กัน
แต่มันก็ไม่เคยเป็นไปอย่างที่ผมคิด

ผมเหนื่อยกับงานทุกวันและแน่นอนว่าผมก็อยากจะมีความสุขกับเธอ

หรือจริงๆ แล้วผมอาจจะไม่เข้าใจเธอจริงๆ ก็ได้ หนักเข้าเธอก็มักจะบอกผมให้ไปหาคนอื่น เพราะคนอื่นคงทำให้ผมมีความสุขอย่างที่ผมต้องการได้ และคงจะดีกว่านี้มาก ถ้าผมฉลาดอย่างที่เธอเคยว่า และไม่ทำอะไรที่ขัดใจเธอเหมือนทุกวันที่เป็นอยู่

ผมถูกทิ้งขว้างและห่างเหินการดูแลใครสักคนอย่างจริงจังมานานหลายปี…นานพอที่พอจะทำให้ผมดูเหมือนคนเฉื่อยชาหรือไม่เอาใจใส่ความรู้สึกของคนๆ หนึ่งได้อย่างไม่ยากเย็น

แต่ตอนนี้ผมไม่อยากกลับไปเป็นคนเดิม

เพราะผมอยากอยู่กับเธอมากกว่า…




1 comment:

Anonymous said...

เป็นผู้ชายแสนดีนี่น่าสงสารเนอะ ^^

PLANKTON