Tuesday, August 21, 2007

นินทาแม่


นินทาแม่/วิภพ ล้อมเขต

อาจเป็นเพราะเป็นเด็กบ้านนอกตั้งแต่กำเนิด และต้องฝากปากท้องไว้กับชีวิตที่กรุงเทพฯ ทุกครั้งที่มีวันหยุดยาวหรือเทศกาล ผมกับพี่สาวจะซื้อตั๋วรถทัวร์เพื่อกลับบ้านที่ชุมพรมากกว่าไปเที่ยวทุกครั้ง จองทันบ้างไม่ทันบ้างก็ว่ากันไป แต่ทุกครั้งเราสองคนก็มักจะได้กลับบ้านเสมอ

ถึงบางครั้งต้องยืนเบียดกันไปหรือนั่งเก้าอี้พลาสติกจนถึงชุมพรก็ตาม แต่พอถึงบ้านได้เห็นหน้าแม่ ความอ่อนล้าจากการเดินทางก็เหมือนจะระเหยไปกับสายลม

ตั้งแต่จำความได้ครอบครัวของผมมีกันเพียง 3 คน คือ แม่ พี่สาวและตัวผม ส่วนพ่อนั้นอย่าถามผมเลยว่าอยู่ไหน ผมเพียงได้แต่คิดให้ตัวเองดูเป็นลูกที่กตัญญูได้เพียงว่า พ่อคงมีเหตุผลของพ่อ ที่ทิ้งพวกเราไปแบบไม่สนใจจะเหลียวแล แล้วปล่อยให้แม่ต้องทำหน้าที่แทนพ่อ โดยที่พ่อไปทำหน้าที่พ่อที่ดีให้กับคนอื่น

แต่ถึงครอบครัวของเราจะขาดพ่อที่ต้องทำหน้าที่ผู้นำ แต่แม่ก็ไม่เคยอายที่จะก้าวเข้ามาทำหน้าที่แทนพ่อ และทอดทิ้งผมกับพี่สาว ปล่อยให้เราสองคนอดๆ อยากๆ เลยสักครั้งเดียว

แม่เป็นต้นแบบของการเสียสละ เวลานั่งกินข้าวด้วยกัน 3 คนแม่ลูก แม่มักจะตักน้ำแกงมากกว่าเนื้อ และกินข้าวน้อยกว่าผมกับพี่สาว ทั้งๆ ที่แม่เองก็ทำงานหนักมาทั้งวัน เรื่องเรียนก็เหมือนกัน แม่ไม่เคยบังคับว่าจะต้องเรียนอะไร ไม่เคยมานั่งสอนการบ้านจ้ำจี้จ้ำไช ว่าทำไมโจทย์แค่นี้ ลูกถึงคิดไม่ได้

เหตุผลไม่ใช่เพราะแม่เรียนจบแค่ ป.4 แต่เป็นเพราะแม่คิดว่า เรื่องราวนอกห้องเรียนนั้นสำคัญกว่าเรื่องราวของโจทย์บนหน้ากระดาษ ตอนที่เอ็นทรานซ์วินาทีที่ผมบอกแม่ว่า ผมตัดสินใจเลือกเรียนคณะนิเทศศาสตร์ เอกวารสารศาสตร์ เพียงเพราะผมอยากรู้ว่าเขาเข้าสันหนังสือกันอย่างไร แม่ก็บอกผมกลับมาว่า

แล้วอย่าลืมเอาหนังสือที่ลูกทำ หรือไม่ก็งานเขียนของลูกมาให้แม่อ่านบ้างละ...

แต่ถ้าจะถามว่าถ้าต้องให้แม่สอนขึ้นมาแล้วแม่จะสอนอะไร ผมคิดว่าการอ่านหนังสือให้ลูกฟังตั้งแต่ผมกับพี่สาวยังอยู่ในท้องแม่จนถึงช่วงเวลาปัจจุบัน และนิสัยชอบฟังเพลงของแม่ 2 สิ่งนี้คือคำสอนที่เป็นมรดกที่แม่มอบให้ผมกับพี่สาว ที่เราสองคนดูจะรักและหวงมากเป็นพิเศษ

ปี 2545 ผมเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ด้วยเหตุผลของหน้าที่ทางการศึกษา ตามรอยเท้าของพี่สาวที่เข้ามาแสวงหาอนาคตอยู่ก่อนแล้ว จากที่เคยอยู่พร้อมหน้ากัน 3 คนแม่ลูก หลังจากพี่สาวต้องออกจากบ้านเพื่อเติบโต และตามด้วยผมที่ต้องเติบโตด้วยเช่นกัน ทุกเช้าในแต่ละวันของแม่จึงเปลี่ยนไปจากวันเก่าๆ

ผมรู้ว่าเวลาลืมตาตื่นขึ้นมา แม่ไม่รู้จะนั่งกินข้าวกับใคร ยังดีที่มี ‘ถุงเงิน’ อยู่เป็นเพื่อนแม่ ช่วยคลายความเหงาของแม่ได้บ้าง แต่พอวันหนึ่งที่ถุงเงินต้องจากไป เสียงที่สั่นเครือของแม่ที่ส่งผ่านมาทางคลื่นไร้สาย กลับทำให้ผมรับรู้ถึงความเหงาของแม่ที่กำลังจะเพิ่มขึ้นในเช้าวันใหม่ที่แม่ลืมตาตื่น

น้ำตาของผมไหลเมื่อรับรู้ว่าแม่กำลังร้องไห้ แต่แม่ก็ชิงตัดสายโทรศัพท์ เพียงเพราะไม่อยากให้ผมได้ยินเสียงร้องไห้ และคงลืมไปว่าที่จริงแล้ว ตัวเองก็คือผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่มีสิทธิ์ร้องไห้ และในฐานะที่แม่ต้องทำหน้าที่พ่อไปด้วย แม่จึงกลายเป็นคนที่ชอบรักษาฟอร์มของตัวเองอยู่เสมอ

ยิ่งเรื่องอะไรที่ดูจะเสียหน้าให้ลูก แม่ยิ่งรักษาฟอร์มมากเป็นพิเศษ วันเกิดของแม่ปีที่แล้ว ผมเคยลองใจแม่ด้วยการไม่โทรหาแม่เลยเป็นเวลาเกือบ 1 เดือน แล้วนั่งรถกลับบ้านที่ชุมพรเพื่อถือเค้กวันเกิดไปให้แม่

วินาทีที่แม่เห็นผมเดินถือเค้กวันเกิดเข้ามาหา แม่โวยวายตามประสาคนฟอร์มเยอะ ถามผมว่าจะนั่งรถมาทำไมให้เปลืองค่ารถเดี๋ยวก็ต้องกลับแล้ว แต่ตอนที่แม่พูดแม่ได้มองหน้าผม พูดจบแม่ก็เดินหายเข้าไปในครัว แอบยืนเช็ดน้ำตาไม่ให้ผมเห็น

วันเกิดของแม่ปีนี้เวียนมาอีกครั้งเป็นรอบที่ 62 แต่รอยยิ้มของแม่ยังเหมือนเดิมทุกครั้งที่เห็นหน้าผมกับพี่สาว การได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันกับลูกๆ และได้ลุกขึ้นมาเพื่อทำกับข้าวให้ผมกับพี่สาวกินตั้งแต่เช้า จึงนับเป็นของขวัญที่แม่ต้องการและมีความหมายกับแม่มากเป็นพิเศษ และแน่นอนว่าผมกับพี่สาวก็กินกับข้าวฝีมือแม่เหมือนตายอดตายอยากมาเป็นปีๆ

หนึ่งในพรสวรรค์ของแม่ที่นอกจากจะเป็นคนอารมณ์ดีขี้อำแล้ว คือการเป็นคนมือเขียว ที่ปลูกต้นอะไรก็ขึ้น ออกดอกงอกงาม จนกลายเป็นความภาคภูมิใจของแม่อยู่เสมอ จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ถ้าสวนหย่อมที่แม่จัดจะกลายสภาพเป็นป่ามากกว่าสวนหย่อมเพียงในระยะเวลาไม่กี่เดือน

แม่เป็นคนชอบปลูกต้นไม้ระดับถ้าติดยาคงต้องส่งไปเลิกที่ถ้ำกระบอก ตอนที่ต้นโป๊ยเซียนกำลังเป็นที่นิยม แม่เองก็ไม่พลาดที่จะมีต้นโป๊ยเซียนเป็นร้อยๆ ต้น กระจุกอัดกันอยู่ในพื้นที่สวนหย่อมเล็กๆ ของแม่ จนเซียนโป๊ยเซียนแถวบ้านทั้งหลาย ยังต้องมาขอดูต้นโป๊ยเซียนของแม่อยู่บ่อยๆ แต่ผมกับพี่สาวกลับไม่ได้กลายเป็นคนมือเขียวเหมือนกับแม่ จะปลูกอะไรทีก็ตายมากกว่ารอดเกือบทุกครั้ง

ตอนที่แม่ขึ้นมาหาผมกับพี่สาวที่กรุงเทพฯ แม่ทนไม่ได้ที่บ้านเช่าไม้สีเขียวที่สะพานใหม่ของผมกับพี่สาวไม่มีต้นไม้วางอยู่เลยสักต้นเดียว แม่จึงไปซื้อต้นไม้ชื่อเดียวกับตัวแม่มาไว้ให้ผมกับพี่สาว 1 ต้น จัดการย้ายต้นไม้จากกระถางเล็กไปกระถางใหญ่ แล้ววางไว้ตรงหน้าบ้านให้ผมกับพี่สาวได้คอยรดน้ำ

ความเป็นคนมือเขียวของแม่ ทำให้ผมกับพี่สาวมั่นใจว่า เปอร์เซ็นรอดของต้นไม้ต้นนี้ต้องมีมากกว่าเปอร์เซ็นไม่รอดแน่นอน และทุกครั้งที่รดน้ำไม่ผมหรือพี่สาวก็จะโทรศัพท์ไปหาแม่ทุกครั้ง

พี่สาวของผมบอกว่านี่อาจเป็นกลยุทธ์รักษาฟอร์มของแม่ ที่ช่วยสะกิดให้เราคิดถึงแม่อยู่บ่อยๆ มากกว่าการให้แม่โทรศัพท์มาหาก็เป็นไปได้ แต่ผมกลับกลัวว่าหากรู้สึกคิดถึงแม่ขึ้นมามากๆ ในช่วงเวลาที่ชีวิตเหนื่อยล้าจากการฝากปากท้องและอนาคตไว้กับกรุงเทพฯ น้ำตาของลูกแม่อาจจะไหลเอาง่ายๆ และอาจทำให้แม่รู้สึกเป็นห่วงจนนอนไม่หลับ

ครั้งหนึ่งพี่สาวนักเขียนที่เป็นพี่เลี้ยงชีวิตของผมตลอดชีวิตเคยบอกกับแม่ว่า ผมชอบเขียนอะไรถึงแม่อยู่บ่อยๆ แต่แม่เองคงไม่เคยได้อ่าน

ถูกต้องอย่างที่พี่สาวนักเขียนที่เป็นพี่เลี้ยงชีวิตผมพูดทุกประการ หลายคนอาจสงสัยว่าทำไม ผมบอกให้ก็ได้ว่า เพราะในฐานะที่เป็นลูกของแม่

ผมเองก็ต้องรักษาฟอร์มไว้เช่นเดียวกัน…






Thursday, August 16, 2007

ทฤษฏีของความรัก


ทฤษฏีของความรัก/วิภพ ล้อมเขต
ตีพิมพ์ครั้งแรก/หากรักมาต้องหาที่ให้รักนั่ง สำนักพิมพ์ไม้ยมก ปี 2547

แด่…หญิงสาวแห่งโชคชะตา

ลมหนาวพัดมาครั้งที่เท่าไรผมจำไม่ได้ หน้าต่างสี่เหลี่ยมบานเล็กๆ ในห้อง ยังคงโอบกอดลมหนาวไว้อย่างสม่ำเสมอ ผมนึกถึงคำพูดของไอสไตน์ประโยคหนึ่งที่ผมได้อ่านเมื่อคืน

“แรงดึงดูดของโลกไม่ได้ทำให้คนเราตกหลุมรักกัน”

เช้าวันใหม่ก้าวเท้าเข้ามาหาผมทุกวันอย่างที่เคยเป็น ผมค่อยๆ เอื้อมมือไปปิดสวิตช์โคมไฟและเปิดแผ่น CD ที่เธอมอบให้ในเวลาไล่เลี่ยกัน เช้าๆ อย่างนี้ดอกกุหลาบสีแดงในแจกันทรงขวดเหล้ามือสองยังคงผลิบานอย่างเต่งตึง เพียงพอที่จะทำให้ผมส่งยิ้มให้กับแสงแดดยามเช้าได้อย่างสนิทใจ

โมบายที่แขวนไว้ข้างหน้าต่างส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งเมื่อต้องลม ผมนึกถึงคำพูดของผมที่พูดคุยกับเธอผ่านทางโลกไร้สาย

“นึกแล้วก็ตลกนะ ไม่น่าเชื่อว่าความผิดพลาดของผมจะทำให้เราสองคนได้เจอกัน”

“555 นั่นนะสิ มันเลยทำให้เราสองคนได้รู้จักกันเสียที”

ในโลกของความเป็นจริงนั้น หากไม่ใช่เพราะความผิดพลาด ก็คงเป็นเพราะโชคชะตาที่ทำให้เราสองคนได้รู้จักกัน ผมบังเอิญรู้จักเธอผ่านโปรแกรม MSN ด้วยการที่ผมพิมพ์ชื่อของเพื่อนเข้าไป แต่ผมดันพิมพ์ชื่อของเพื่อนตกไปหนึ่งคำ เลยกลายเป็นเธอเข้ามาอยู่ในลิสต์รายชื่อของเพื่อนผม

“ไอ้ต้น เงียบเลยนะมึง ไม่ยอมทักกู” ผมพิมพ์ทักทายเธอเพราะคิดว่าเป็นเพื่อนของผมที่ปกติมักจะเข้ามาทักผมเสมอ

“เอ่อ! ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าใครคะ” เธอพิมพ์ตอบกลับมา

“อะไรของมึง จำกูไม่ได้เหรอวะ”

“นี่ไม่ใช่ต้นนะคะ แล้วไม่ทราบว่าคุณคือใครคะ ทักคนผิดหรือเปล่า”

ผมหยุดคิดก่อนจะพิมพ์ตอบกลับไป คงไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่ๆ ที่อยู่ๆ ไอ้ต้นจะพูดจาดีๆ กับผม ผมรีบกดโทรศัพท์หามันทันที

“เฮ้ย! มึงออนไลน์อยู่หรือเปล่าวะ”

“ไม่ได้ออนวะ มีอะไร”

“เหรอวะ ไม่มีอะไร แค่นี้นะมึง”

เมื่อความจริงปรากฏ ผมปล่อยไก่เข้าซะแล้ว ผมเลยพิมพ์ตอบเธอกลับไปเพื่อขอโทษเธอ

“ขอโทษนะครับ ผมทักคนผิด คิดว่าเป็นเพื่อนของผม”

“ไม่เป็นไรคะ ว่าแต่คุณเอาเมล์ฉันมาจากไหนคะ”

“ผมก็คงพิมพ์เมล์เพื่อนผิดเป็นเมล์คุณอีกนั่นแหละครับ”

“555 จริงเหรอคะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”

“ครับ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ”

“ผมชื่อ…ครับ”

“ฉันชื่อ…คะ”

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผมและเธอจึงเริ่มคุยกันมากขึ้น ทั้งในโลกของMSN และโลกของการสื่อสารไร้สาย จนมาถึงวันหนึ่งที่ผมและเธอได้เจอหน้ากันเป็นครั้งแรก

“วันพฤหัสบดีที่จะถึงนี้คุณว่างมั๊ย” เธอถามผมในเช้าวันหนึ่ง

“ก็น่าจะว่างนะ ทำไมเหรอ”

“ฉันอยากชวนคุณมางานรับปริญญาของฉันที่มหา’ลัย คุณพอจะมีเวลาว่างมาได้มั๊ย”

“เดี๋ยวนะผมขอดูตารางสอบก่อน o.k. วันนั้นผมว่างไม่มีสอบ ผมจะไปงานรับปริญญาคุณก็แล้วกัน”

“คุณมาได้จริงๆ นะ” เธอถามผมย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

“ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ละ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด บัณฑิตใหม่ได้รับของขวัญจากผมแน่” ผมบอกย้ำกับเธอเพื่อให้เธอสบายใจก่อนจะวางสาย

บนรถตู้สายกรุงเทพ-ชลบุรีกับเงิน 100 บาทที่เหลืออยู่ บนความยาวนานของเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย 2 ชั่วโมงเต็มๆ แล้วที่ผมยังคงนั่งอยู่บนเบาะรถตู้ตัวหลังสุด ผมไม่เคยไปมหา’ลัยที่เธอรับปริญญา และกว่าผมจะได้เจอเธอก็เหลือเวลาไม่ถึง 30 นาที ที่รถตู้คันสุดท้ายจะพาผมกลับถึงบ้านที่กรุงเทพ

“ขอโทษนะครับ หอประชุมไปทางไหน” ทางนี้เหรอครับ ขอบคุณมากครับ”

เส้นทางที่ไม่คุ้นเคย ทำให้ผมต้องถามเอาจากคนแปลกหน้ามากมายที่เดินผ่านไปมา ในชั่วโมงของความเร่งรีบ บนเงื่อนไขของเวลา เงิน 100 บาทในกระเป๋ากางเกง ที่บีบรัดผมมากขึ้นทุกวินาที แต่ไหนๆ ก็ตั้งใจมาแล้ว อย่างน้อยผมจะต้องพบเธอให้ได้

“คุณอยู่ตรงไหนแล้ว” เธอถามผมผ่านทางโลกของการสื่อสารไร้สาย ยิ่งทำให้ผมรู้สึกอยากพบเธอมากขึ้น

“ผมอยู่ตรงหน้ากองอำนวยการหลังรถพยาบาล คุรอยู่ตรงไหน”

ผู้คนมากมายและบัณฑิตยังคงเดินผ่านไปมาวุ่นวายตามหาคนที่ตัวเองต้องการพบซึ่งกันและกัน ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ในขณะที่กำลังมองหา รถพยาบาลที่จอดอยู่ข้างๆ ผม ก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ เหลือเพียงภาพบัณฑิตสาวยืนคุยโทรศัพท์ สีหน้ากังวลคล้ายรอใครสักคน ปรากฏเข้ามาแทนที่

ทันที่ที่บัณฑิตสาวคนนั้นหันกลับมา ถ้อยคำทางโลกไร้สายกับริมฝีปากของเธอขยับเป็นท่วงทำนองเดียวกัน

“เจอแล้ว คุณอยู่ตรงนี้เองคุณนักเขียน”

ใช่! ผมและเธอต่างยืนหันหลังให้กันและกัน ต่างคนต่างเฝ้ามองไปข้างหน้า จนเมื่อหันหลังกลับมามองถึงได้รู้ว่า เราสองคนต่างยืนหันหลังให้กันคนละด้านของรถพยาบาลที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป

“สวัสดีครับ” ผมยิ้มและทักทายเธอ

“สวัสดีคะ คุณมาถึงนานหรือยัง” เธอยิ้มและทักทายผมบ้างจนผมอายที่จะพูดกับเธอ ยิ่งเมื่อได้เห็นเธอใกล้ๆ ผมคิดว่าเธอสวยมาก มากพอที่จะทำให้ผมหลงรักฤดูหนาวปีนี้ได้มากกว่าเดิม และรอยยิ้มของเธอก็ทำให้ผมลืมเรื่องรถตู้คันสุดท้ายที่จะพาผมกลับบ้านที่กรุงเทพไปเสียสนิทใจ

“ก็มาถึงได้สักพักแล้วละ พอดีผมเดินหลงๆ อยู่แถวนี้ นี่รูปผมวาดเอง กระดาษห่อรูปดูไม่เรียบร้อยหน่อยนะ ส่วนนี่หนังสือทำมือของผม ของขวัญที่ผมบอกว่าจะเอามาให้คุณ ยินดีด้วยนะครับ” ผมหยิบของขวัญและส่งยิ้มให้เธออีกครั้ง

“ขอบคุณคะ ถ่ายรูปด้วยกันก่อนนะคะ”

เสียงชัตเตอร์ลั่นขึ้นมา 3 ครั้งเพื่อบันทึกภาพและช่วงเวลาของค่ำคืนที่ผมและเธอได้พบกันครั้งแรกลงบนม้วนฟิล์ม

“คุณไม่รีบกลับใช่มั๊ยคะ ฉันอยากให้คุรอยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนนะคะ”

“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมากครับ พอดีผมมีงานที่ต้องทำค้างไว้ ผมคงต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้อยู่ทานข้าวกับครอบครัวของคุณ” ผมปฏิเสธเธอไป ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วผมอยากอยู่ทานข้าวกับครอบครัวของเธอมาก แต่เงิน 100 บาทที่อยู่ในกระเป๋าก็ทำให้ผมรู้สึกเจียมเนื้อเจียมตัว

น่าเสียดายจังที่คุณไม่ได้อยู่ทานข้าวด้วยกัน ไว้ฉันเข้าไปกรุงเทพเมื่อไรจะขอเลี้ยงข้าวคุณสักมื้อนะคะ”

“555 คุณไม่ต้องลำบากหรอก แต่ตอนนี้ผมคงต้องกลับแล้ว รถตู้คันสุดท้ายคงรอผมอยู่”

ผลกล่าวลาเธอ ก่อนที่จะยกมือไหว้พ่อกับแม่ของเธอ และยกมือไหว้เพื่อลาท่านทั้งสองอีกครั้ง แล้วผมก็วิ่งหายเข้าไปในฝูงชนที่แปลกหน้าบนเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย

“กรุงเทพครับกรุงเทพ เหลืออีกคนเดียวจะออกแล้วครับ” เสียงคนขับรถตะโกนเรียกผู้โดยสารในช่วงเวลาที่ผมวิ่งไปถึงแบบพอดิบพอดี

ผมควักเงิน 100 บาทในกระเป๋าออกมาจ่ายเป็นค่าโดยสาร ลมหนาวพัดมาวูบเดียวแล้วจากไปโดยไม่รู้ตัว ในช่วงเวลาที่ผมค่อยๆ เอนกายลงพิงเบาะรถตู้พลางถอนหายใจ

“เฮ้อ! ในที่สุดผมก็ได้เจอเธอซะที”

รถตู้ชลบุรี-กรุงเทพคันสุดท้ายที่กำลังมุ่งหน้าสู่กรุงเทพ ค่อยๆ เคลื่อนตัวพาผมไกลจากที่ๆ ผมและเธอได้พบหน้าและพูดคุยกันนอกโลกการสื่อสารไร้สายเป็นครั้งแรก

ผมเพียงแต่นั่งอมยิ้มให้กับลักยิ้มบุ๋มของเธอทั้งสองข้างเรื่องราวและเรื่องราวที่เพิ่งผ่านไป ในใจรู้สึกคล้ายๆ เหมือนผมเคยพบและรู้จักเธอมาก่อน แต่ผมจำไม่ได้ว่าเมื่อไรที่ไหนเท่านั้นเอง

คืนนั้นผมกลับถึงบ้าน 5 ทุ่มครึ่ง สรุปแล้วผมใช้เวลานั่งรถไป-กลับ 4 ชั่วโมง เพื่อเจอหน้าและพูดคุยกับเธอเพียง 5 นาที และมันก็เป็น 5 นาทีที่พอจะทำให้เธอก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผมมากขึ้น

แผ่น CD ที่เธอส่งมาให้ผมเป็นของขวัญวันปีใหม่ยังคงหมุนวนรอบตัวเองเป็นท่วงทำนองที่ผมคุ้นเคย ผมหยิบรูปที่ถ่ายคู่กับเธอที่เธอส่งมาให้ผมพร้อมกับ CD ขึ้นมาดู อ่านกระดาษแผ่นเล็กๆ ที่เธอแนบมาเขียนถึงผมว่า

“ส่งรูปมาให้แล้วนะ หน้าตาคุณนักเขียนแบบรีบร้อนมากๆ อ่ะนะ 555 แล้วก็ส่งรูปที่คนในรูปสวยๆ มาให้ดูเผื่อคิดถึง เอาเป็นว่า ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้งละกันคะ”

ผมค่อยๆ เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ ความคิดถึงผลักดันให้ผมอยากได้ยินเสียงเธอในเช้าวันใหม่ที่ลืมตาตื่น หมายเลขของเธอถูกทบทวนคำสั่งลงเครื่องอีกครั้ง

“086-151-01xx”

“ฮาโหล สวัสดี คุยได้มั๊ยครับ”

“ฮาโหล สวัสดี ได้คุยได้ ว่าไงคะ”

“คุณขับรถอยู่หรือเปล่า” ผมถามเธออีกครั้งเพื่อความแน่ใจ”

“เปล่าคะ กำลังจะออนไลน์ คุณจะออนไลน์หรือเปล่า”

“o.k. งั้นแค่นี้นะ” ผมตัดบทพูดกับเธอ

“อ้าว! คุณจะไปไหน” เธอถามผมเมื่อเห็นว่าผมจะวางสาย

“ไปเจอคุณใน MSN ไง”

บนหน้าต่างสนทนานของ MSN เธอใช้ชื่อว่า ‘เชื่อไหมโชคชะตา’

ผมพิมพ์ตอบเธอกลับไปว่า

“เชื่อสิ”

ลมหนาวพัดมาครั้งที่เท่าไรผมจำไม่ได้ หน้าต่างสี่เหลี่ยมบานเล็กๆ ในห้อง ยังคงโอบกอดลมหนาวไว้อย่างสม่ำเสมอ ผมนึกถึงคำพูดของไอสไตน์ประโยคหนึ่งที่ผมได้อ่านเมื่อคืน

“แรงดึงดูดของโลกไม่ได้ทำให้คนเราตกหลุมรักกัน…”

Tuesday, August 07, 2007

ที่นี่...ทะเลน้อย






ทะเลน้อยยามเช้า

ชีวิตของบางคนเริ่มตินที่นี่

ลุงเจ้าของเรือ



ก๊วนใหม่

ออกเดินทาง...







แมลงปอปีกสวย...



ทำงาน...



บัวตูม บัวบาน...

ทะเลน้อยของจริงจะต้องมีทุ่งดอกบัวอย่างที่เห็นนี่แหละ...
ปล.มาเยือนทะเลน้อยทีไร คิดถึงพี่กนกพงศ์กับพี่พูขึ้นมาทุกที...