นินทาแม่/วิภพ ล้อมเขต
อาจเป็นเพราะเป็นเด็กบ้านนอกตั้งแต่กำเนิด และต้องฝากปากท้องไว้กับชีวิตที่กรุงเทพฯ ทุกครั้งที่มีวันหยุดยาวหรือเทศกาล ผมกับพี่สาวจะซื้อตั๋วรถทัวร์เพื่อกลับบ้านที่ชุมพรมากกว่าไปเที่ยวทุกครั้ง จองทันบ้างไม่ทันบ้างก็ว่ากันไป แต่ทุกครั้งเราสองคนก็มักจะได้กลับบ้านเสมอ
อาจเป็นเพราะเป็นเด็กบ้านนอกตั้งแต่กำเนิด และต้องฝากปากท้องไว้กับชีวิตที่กรุงเทพฯ ทุกครั้งที่มีวันหยุดยาวหรือเทศกาล ผมกับพี่สาวจะซื้อตั๋วรถทัวร์เพื่อกลับบ้านที่ชุมพรมากกว่าไปเที่ยวทุกครั้ง จองทันบ้างไม่ทันบ้างก็ว่ากันไป แต่ทุกครั้งเราสองคนก็มักจะได้กลับบ้านเสมอ
ถึงบางครั้งต้องยืนเบียดกันไปหรือนั่งเก้าอี้พลาสติกจนถึงชุมพรก็ตาม แต่พอถึงบ้านได้เห็นหน้าแม่ ความอ่อนล้าจากการเดินทางก็เหมือนจะระเหยไปกับสายลม
ตั้งแต่จำความได้ครอบครัวของผมมีกันเพียง 3 คน คือ แม่ พี่สาวและตัวผม ส่วนพ่อนั้นอย่าถามผมเลยว่าอยู่ไหน ผมเพียงได้แต่คิดให้ตัวเองดูเป็นลูกที่กตัญญูได้เพียงว่า พ่อคงมีเหตุผลของพ่อ ที่ทิ้งพวกเราไปแบบไม่สนใจจะเหลียวแล แล้วปล่อยให้แม่ต้องทำหน้าที่แทนพ่อ โดยที่พ่อไปทำหน้าที่พ่อที่ดีให้กับคนอื่น
แต่ถึงครอบครัวของเราจะขาดพ่อที่ต้องทำหน้าที่ผู้นำ แต่แม่ก็ไม่เคยอายที่จะก้าวเข้ามาทำหน้าที่แทนพ่อ และทอดทิ้งผมกับพี่สาว ปล่อยให้เราสองคนอดๆ อยากๆ เลยสักครั้งเดียว
แม่เป็นต้นแบบของการเสียสละ เวลานั่งกินข้าวด้วยกัน 3 คนแม่ลูก แม่มักจะตักน้ำแกงมากกว่าเนื้อ และกินข้าวน้อยกว่าผมกับพี่สาว ทั้งๆ ที่แม่เองก็ทำงานหนักมาทั้งวัน เรื่องเรียนก็เหมือนกัน แม่ไม่เคยบังคับว่าจะต้องเรียนอะไร ไม่เคยมานั่งสอนการบ้านจ้ำจี้จ้ำไช ว่าทำไมโจทย์แค่นี้ ลูกถึงคิดไม่ได้
เหตุผลไม่ใช่เพราะแม่เรียนจบแค่ ป.4 แต่เป็นเพราะแม่คิดว่า เรื่องราวนอกห้องเรียนนั้นสำคัญกว่าเรื่องราวของโจทย์บนหน้ากระดาษ ตอนที่เอ็นทรานซ์วินาทีที่ผมบอกแม่ว่า ผมตัดสินใจเลือกเรียนคณะนิเทศศาสตร์ เอกวารสารศาสตร์ เพียงเพราะผมอยากรู้ว่าเขาเข้าสันหนังสือกันอย่างไร แม่ก็บอกผมกลับมาว่า
แล้วอย่าลืมเอาหนังสือที่ลูกทำ หรือไม่ก็งานเขียนของลูกมาให้แม่อ่านบ้างละ...
แต่ถ้าจะถามว่าถ้าต้องให้แม่สอนขึ้นมาแล้วแม่จะสอนอะไร ผมคิดว่าการอ่านหนังสือให้ลูกฟังตั้งแต่ผมกับพี่สาวยังอยู่ในท้องแม่จนถึงช่วงเวลาปัจจุบัน และนิสัยชอบฟังเพลงของแม่ 2 สิ่งนี้คือคำสอนที่เป็นมรดกที่แม่มอบให้ผมกับพี่สาว ที่เราสองคนดูจะรักและหวงมากเป็นพิเศษ
ปี 2545 ผมเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ด้วยเหตุผลของหน้าที่ทางการศึกษา ตามรอยเท้าของพี่สาวที่เข้ามาแสวงหาอนาคตอยู่ก่อนแล้ว จากที่เคยอยู่พร้อมหน้ากัน 3 คนแม่ลูก หลังจากพี่สาวต้องออกจากบ้านเพื่อเติบโต และตามด้วยผมที่ต้องเติบโตด้วยเช่นกัน ทุกเช้าในแต่ละวันของแม่จึงเปลี่ยนไปจากวันเก่าๆ
ผมรู้ว่าเวลาลืมตาตื่นขึ้นมา แม่ไม่รู้จะนั่งกินข้าวกับใคร ยังดีที่มี ‘ถุงเงิน’ อยู่เป็นเพื่อนแม่ ช่วยคลายความเหงาของแม่ได้บ้าง แต่พอวันหนึ่งที่ถุงเงินต้องจากไป เสียงที่สั่นเครือของแม่ที่ส่งผ่านมาทางคลื่นไร้สาย กลับทำให้ผมรับรู้ถึงความเหงาของแม่ที่กำลังจะเพิ่มขึ้นในเช้าวันใหม่ที่แม่ลืมตาตื่น
น้ำตาของผมไหลเมื่อรับรู้ว่าแม่กำลังร้องไห้ แต่แม่ก็ชิงตัดสายโทรศัพท์ เพียงเพราะไม่อยากให้ผมได้ยินเสียงร้องไห้ และคงลืมไปว่าที่จริงแล้ว ตัวเองก็คือผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่มีสิทธิ์ร้องไห้ และในฐานะที่แม่ต้องทำหน้าที่พ่อไปด้วย แม่จึงกลายเป็นคนที่ชอบรักษาฟอร์มของตัวเองอยู่เสมอ
ยิ่งเรื่องอะไรที่ดูจะเสียหน้าให้ลูก แม่ยิ่งรักษาฟอร์มมากเป็นพิเศษ วันเกิดของแม่ปีที่แล้ว ผมเคยลองใจแม่ด้วยการไม่โทรหาแม่เลยเป็นเวลาเกือบ 1 เดือน แล้วนั่งรถกลับบ้านที่ชุมพรเพื่อถือเค้กวันเกิดไปให้แม่
วินาทีที่แม่เห็นผมเดินถือเค้กวันเกิดเข้ามาหา แม่โวยวายตามประสาคนฟอร์มเยอะ ถามผมว่าจะนั่งรถมาทำไมให้เปลืองค่ารถเดี๋ยวก็ต้องกลับแล้ว แต่ตอนที่แม่พูดแม่ได้มองหน้าผม พูดจบแม่ก็เดินหายเข้าไปในครัว แอบยืนเช็ดน้ำตาไม่ให้ผมเห็น
วันเกิดของแม่ปีนี้เวียนมาอีกครั้งเป็นรอบที่ 62 แต่รอยยิ้มของแม่ยังเหมือนเดิมทุกครั้งที่เห็นหน้าผมกับพี่สาว การได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันกับลูกๆ และได้ลุกขึ้นมาเพื่อทำกับข้าวให้ผมกับพี่สาวกินตั้งแต่เช้า จึงนับเป็นของขวัญที่แม่ต้องการและมีความหมายกับแม่มากเป็นพิเศษ และแน่นอนว่าผมกับพี่สาวก็กินกับข้าวฝีมือแม่เหมือนตายอดตายอยากมาเป็นปีๆ
หนึ่งในพรสวรรค์ของแม่ที่นอกจากจะเป็นคนอารมณ์ดีขี้อำแล้ว คือการเป็นคนมือเขียว ที่ปลูกต้นอะไรก็ขึ้น ออกดอกงอกงาม จนกลายเป็นความภาคภูมิใจของแม่อยู่เสมอ จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ถ้าสวนหย่อมที่แม่จัดจะกลายสภาพเป็นป่ามากกว่าสวนหย่อมเพียงในระยะเวลาไม่กี่เดือน
แม่เป็นคนชอบปลูกต้นไม้ระดับถ้าติดยาคงต้องส่งไปเลิกที่ถ้ำกระบอก ตอนที่ต้นโป๊ยเซียนกำลังเป็นที่นิยม แม่เองก็ไม่พลาดที่จะมีต้นโป๊ยเซียนเป็นร้อยๆ ต้น กระจุกอัดกันอยู่ในพื้นที่สวนหย่อมเล็กๆ ของแม่ จนเซียนโป๊ยเซียนแถวบ้านทั้งหลาย ยังต้องมาขอดูต้นโป๊ยเซียนของแม่อยู่บ่อยๆ แต่ผมกับพี่สาวกลับไม่ได้กลายเป็นคนมือเขียวเหมือนกับแม่ จะปลูกอะไรทีก็ตายมากกว่ารอดเกือบทุกครั้ง
ตอนที่แม่ขึ้นมาหาผมกับพี่สาวที่กรุงเทพฯ แม่ทนไม่ได้ที่บ้านเช่าไม้สีเขียวที่สะพานใหม่ของผมกับพี่สาวไม่มีต้นไม้วางอยู่เลยสักต้นเดียว แม่จึงไปซื้อต้นไม้ชื่อเดียวกับตัวแม่มาไว้ให้ผมกับพี่สาว 1 ต้น จัดการย้ายต้นไม้จากกระถางเล็กไปกระถางใหญ่ แล้ววางไว้ตรงหน้าบ้านให้ผมกับพี่สาวได้คอยรดน้ำ
ความเป็นคนมือเขียวของแม่ ทำให้ผมกับพี่สาวมั่นใจว่า เปอร์เซ็นรอดของต้นไม้ต้นนี้ต้องมีมากกว่าเปอร์เซ็นไม่รอดแน่นอน และทุกครั้งที่รดน้ำไม่ผมหรือพี่สาวก็จะโทรศัพท์ไปหาแม่ทุกครั้ง
พี่สาวของผมบอกว่านี่อาจเป็นกลยุทธ์รักษาฟอร์มของแม่ ที่ช่วยสะกิดให้เราคิดถึงแม่อยู่บ่อยๆ มากกว่าการให้แม่โทรศัพท์มาหาก็เป็นไปได้ แต่ผมกลับกลัวว่าหากรู้สึกคิดถึงแม่ขึ้นมามากๆ ในช่วงเวลาที่ชีวิตเหนื่อยล้าจากการฝากปากท้องและอนาคตไว้กับกรุงเทพฯ น้ำตาของลูกแม่อาจจะไหลเอาง่ายๆ และอาจทำให้แม่รู้สึกเป็นห่วงจนนอนไม่หลับ
ครั้งหนึ่งพี่สาวนักเขียนที่เป็นพี่เลี้ยงชีวิตของผมตลอดชีวิตเคยบอกกับแม่ว่า ผมชอบเขียนอะไรถึงแม่อยู่บ่อยๆ แต่แม่เองคงไม่เคยได้อ่าน
ถูกต้องอย่างที่พี่สาวนักเขียนที่เป็นพี่เลี้ยงชีวิตผมพูดทุกประการ หลายคนอาจสงสัยว่าทำไม ผมบอกให้ก็ได้ว่า เพราะในฐานะที่เป็นลูกของแม่
ผมเองก็ต้องรักษาฟอร์มไว้เช่นเดียวกัน…