Thursday, August 16, 2007

ทฤษฏีของความรัก


ทฤษฏีของความรัก/วิภพ ล้อมเขต
ตีพิมพ์ครั้งแรก/หากรักมาต้องหาที่ให้รักนั่ง สำนักพิมพ์ไม้ยมก ปี 2547

แด่…หญิงสาวแห่งโชคชะตา

ลมหนาวพัดมาครั้งที่เท่าไรผมจำไม่ได้ หน้าต่างสี่เหลี่ยมบานเล็กๆ ในห้อง ยังคงโอบกอดลมหนาวไว้อย่างสม่ำเสมอ ผมนึกถึงคำพูดของไอสไตน์ประโยคหนึ่งที่ผมได้อ่านเมื่อคืน

“แรงดึงดูดของโลกไม่ได้ทำให้คนเราตกหลุมรักกัน”

เช้าวันใหม่ก้าวเท้าเข้ามาหาผมทุกวันอย่างที่เคยเป็น ผมค่อยๆ เอื้อมมือไปปิดสวิตช์โคมไฟและเปิดแผ่น CD ที่เธอมอบให้ในเวลาไล่เลี่ยกัน เช้าๆ อย่างนี้ดอกกุหลาบสีแดงในแจกันทรงขวดเหล้ามือสองยังคงผลิบานอย่างเต่งตึง เพียงพอที่จะทำให้ผมส่งยิ้มให้กับแสงแดดยามเช้าได้อย่างสนิทใจ

โมบายที่แขวนไว้ข้างหน้าต่างส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งเมื่อต้องลม ผมนึกถึงคำพูดของผมที่พูดคุยกับเธอผ่านทางโลกไร้สาย

“นึกแล้วก็ตลกนะ ไม่น่าเชื่อว่าความผิดพลาดของผมจะทำให้เราสองคนได้เจอกัน”

“555 นั่นนะสิ มันเลยทำให้เราสองคนได้รู้จักกันเสียที”

ในโลกของความเป็นจริงนั้น หากไม่ใช่เพราะความผิดพลาด ก็คงเป็นเพราะโชคชะตาที่ทำให้เราสองคนได้รู้จักกัน ผมบังเอิญรู้จักเธอผ่านโปรแกรม MSN ด้วยการที่ผมพิมพ์ชื่อของเพื่อนเข้าไป แต่ผมดันพิมพ์ชื่อของเพื่อนตกไปหนึ่งคำ เลยกลายเป็นเธอเข้ามาอยู่ในลิสต์รายชื่อของเพื่อนผม

“ไอ้ต้น เงียบเลยนะมึง ไม่ยอมทักกู” ผมพิมพ์ทักทายเธอเพราะคิดว่าเป็นเพื่อนของผมที่ปกติมักจะเข้ามาทักผมเสมอ

“เอ่อ! ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าใครคะ” เธอพิมพ์ตอบกลับมา

“อะไรของมึง จำกูไม่ได้เหรอวะ”

“นี่ไม่ใช่ต้นนะคะ แล้วไม่ทราบว่าคุณคือใครคะ ทักคนผิดหรือเปล่า”

ผมหยุดคิดก่อนจะพิมพ์ตอบกลับไป คงไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่ๆ ที่อยู่ๆ ไอ้ต้นจะพูดจาดีๆ กับผม ผมรีบกดโทรศัพท์หามันทันที

“เฮ้ย! มึงออนไลน์อยู่หรือเปล่าวะ”

“ไม่ได้ออนวะ มีอะไร”

“เหรอวะ ไม่มีอะไร แค่นี้นะมึง”

เมื่อความจริงปรากฏ ผมปล่อยไก่เข้าซะแล้ว ผมเลยพิมพ์ตอบเธอกลับไปเพื่อขอโทษเธอ

“ขอโทษนะครับ ผมทักคนผิด คิดว่าเป็นเพื่อนของผม”

“ไม่เป็นไรคะ ว่าแต่คุณเอาเมล์ฉันมาจากไหนคะ”

“ผมก็คงพิมพ์เมล์เพื่อนผิดเป็นเมล์คุณอีกนั่นแหละครับ”

“555 จริงเหรอคะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”

“ครับ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ”

“ผมชื่อ…ครับ”

“ฉันชื่อ…คะ”

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผมและเธอจึงเริ่มคุยกันมากขึ้น ทั้งในโลกของMSN และโลกของการสื่อสารไร้สาย จนมาถึงวันหนึ่งที่ผมและเธอได้เจอหน้ากันเป็นครั้งแรก

“วันพฤหัสบดีที่จะถึงนี้คุณว่างมั๊ย” เธอถามผมในเช้าวันหนึ่ง

“ก็น่าจะว่างนะ ทำไมเหรอ”

“ฉันอยากชวนคุณมางานรับปริญญาของฉันที่มหา’ลัย คุณพอจะมีเวลาว่างมาได้มั๊ย”

“เดี๋ยวนะผมขอดูตารางสอบก่อน o.k. วันนั้นผมว่างไม่มีสอบ ผมจะไปงานรับปริญญาคุณก็แล้วกัน”

“คุณมาได้จริงๆ นะ” เธอถามผมย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

“ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ละ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด บัณฑิตใหม่ได้รับของขวัญจากผมแน่” ผมบอกย้ำกับเธอเพื่อให้เธอสบายใจก่อนจะวางสาย

บนรถตู้สายกรุงเทพ-ชลบุรีกับเงิน 100 บาทที่เหลืออยู่ บนความยาวนานของเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย 2 ชั่วโมงเต็มๆ แล้วที่ผมยังคงนั่งอยู่บนเบาะรถตู้ตัวหลังสุด ผมไม่เคยไปมหา’ลัยที่เธอรับปริญญา และกว่าผมจะได้เจอเธอก็เหลือเวลาไม่ถึง 30 นาที ที่รถตู้คันสุดท้ายจะพาผมกลับถึงบ้านที่กรุงเทพ

“ขอโทษนะครับ หอประชุมไปทางไหน” ทางนี้เหรอครับ ขอบคุณมากครับ”

เส้นทางที่ไม่คุ้นเคย ทำให้ผมต้องถามเอาจากคนแปลกหน้ามากมายที่เดินผ่านไปมา ในชั่วโมงของความเร่งรีบ บนเงื่อนไขของเวลา เงิน 100 บาทในกระเป๋ากางเกง ที่บีบรัดผมมากขึ้นทุกวินาที แต่ไหนๆ ก็ตั้งใจมาแล้ว อย่างน้อยผมจะต้องพบเธอให้ได้

“คุณอยู่ตรงไหนแล้ว” เธอถามผมผ่านทางโลกของการสื่อสารไร้สาย ยิ่งทำให้ผมรู้สึกอยากพบเธอมากขึ้น

“ผมอยู่ตรงหน้ากองอำนวยการหลังรถพยาบาล คุรอยู่ตรงไหน”

ผู้คนมากมายและบัณฑิตยังคงเดินผ่านไปมาวุ่นวายตามหาคนที่ตัวเองต้องการพบซึ่งกันและกัน ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ในขณะที่กำลังมองหา รถพยาบาลที่จอดอยู่ข้างๆ ผม ก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ เหลือเพียงภาพบัณฑิตสาวยืนคุยโทรศัพท์ สีหน้ากังวลคล้ายรอใครสักคน ปรากฏเข้ามาแทนที่

ทันที่ที่บัณฑิตสาวคนนั้นหันกลับมา ถ้อยคำทางโลกไร้สายกับริมฝีปากของเธอขยับเป็นท่วงทำนองเดียวกัน

“เจอแล้ว คุณอยู่ตรงนี้เองคุณนักเขียน”

ใช่! ผมและเธอต่างยืนหันหลังให้กันและกัน ต่างคนต่างเฝ้ามองไปข้างหน้า จนเมื่อหันหลังกลับมามองถึงได้รู้ว่า เราสองคนต่างยืนหันหลังให้กันคนละด้านของรถพยาบาลที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป

“สวัสดีครับ” ผมยิ้มและทักทายเธอ

“สวัสดีคะ คุณมาถึงนานหรือยัง” เธอยิ้มและทักทายผมบ้างจนผมอายที่จะพูดกับเธอ ยิ่งเมื่อได้เห็นเธอใกล้ๆ ผมคิดว่าเธอสวยมาก มากพอที่จะทำให้ผมหลงรักฤดูหนาวปีนี้ได้มากกว่าเดิม และรอยยิ้มของเธอก็ทำให้ผมลืมเรื่องรถตู้คันสุดท้ายที่จะพาผมกลับบ้านที่กรุงเทพไปเสียสนิทใจ

“ก็มาถึงได้สักพักแล้วละ พอดีผมเดินหลงๆ อยู่แถวนี้ นี่รูปผมวาดเอง กระดาษห่อรูปดูไม่เรียบร้อยหน่อยนะ ส่วนนี่หนังสือทำมือของผม ของขวัญที่ผมบอกว่าจะเอามาให้คุณ ยินดีด้วยนะครับ” ผมหยิบของขวัญและส่งยิ้มให้เธออีกครั้ง

“ขอบคุณคะ ถ่ายรูปด้วยกันก่อนนะคะ”

เสียงชัตเตอร์ลั่นขึ้นมา 3 ครั้งเพื่อบันทึกภาพและช่วงเวลาของค่ำคืนที่ผมและเธอได้พบกันครั้งแรกลงบนม้วนฟิล์ม

“คุณไม่รีบกลับใช่มั๊ยคะ ฉันอยากให้คุรอยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนนะคะ”

“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมากครับ พอดีผมมีงานที่ต้องทำค้างไว้ ผมคงต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้อยู่ทานข้าวกับครอบครัวของคุณ” ผมปฏิเสธเธอไป ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วผมอยากอยู่ทานข้าวกับครอบครัวของเธอมาก แต่เงิน 100 บาทที่อยู่ในกระเป๋าก็ทำให้ผมรู้สึกเจียมเนื้อเจียมตัว

น่าเสียดายจังที่คุณไม่ได้อยู่ทานข้าวด้วยกัน ไว้ฉันเข้าไปกรุงเทพเมื่อไรจะขอเลี้ยงข้าวคุณสักมื้อนะคะ”

“555 คุณไม่ต้องลำบากหรอก แต่ตอนนี้ผมคงต้องกลับแล้ว รถตู้คันสุดท้ายคงรอผมอยู่”

ผลกล่าวลาเธอ ก่อนที่จะยกมือไหว้พ่อกับแม่ของเธอ และยกมือไหว้เพื่อลาท่านทั้งสองอีกครั้ง แล้วผมก็วิ่งหายเข้าไปในฝูงชนที่แปลกหน้าบนเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย

“กรุงเทพครับกรุงเทพ เหลืออีกคนเดียวจะออกแล้วครับ” เสียงคนขับรถตะโกนเรียกผู้โดยสารในช่วงเวลาที่ผมวิ่งไปถึงแบบพอดิบพอดี

ผมควักเงิน 100 บาทในกระเป๋าออกมาจ่ายเป็นค่าโดยสาร ลมหนาวพัดมาวูบเดียวแล้วจากไปโดยไม่รู้ตัว ในช่วงเวลาที่ผมค่อยๆ เอนกายลงพิงเบาะรถตู้พลางถอนหายใจ

“เฮ้อ! ในที่สุดผมก็ได้เจอเธอซะที”

รถตู้ชลบุรี-กรุงเทพคันสุดท้ายที่กำลังมุ่งหน้าสู่กรุงเทพ ค่อยๆ เคลื่อนตัวพาผมไกลจากที่ๆ ผมและเธอได้พบหน้าและพูดคุยกันนอกโลกการสื่อสารไร้สายเป็นครั้งแรก

ผมเพียงแต่นั่งอมยิ้มให้กับลักยิ้มบุ๋มของเธอทั้งสองข้างเรื่องราวและเรื่องราวที่เพิ่งผ่านไป ในใจรู้สึกคล้ายๆ เหมือนผมเคยพบและรู้จักเธอมาก่อน แต่ผมจำไม่ได้ว่าเมื่อไรที่ไหนเท่านั้นเอง

คืนนั้นผมกลับถึงบ้าน 5 ทุ่มครึ่ง สรุปแล้วผมใช้เวลานั่งรถไป-กลับ 4 ชั่วโมง เพื่อเจอหน้าและพูดคุยกับเธอเพียง 5 นาที และมันก็เป็น 5 นาทีที่พอจะทำให้เธอก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผมมากขึ้น

แผ่น CD ที่เธอส่งมาให้ผมเป็นของขวัญวันปีใหม่ยังคงหมุนวนรอบตัวเองเป็นท่วงทำนองที่ผมคุ้นเคย ผมหยิบรูปที่ถ่ายคู่กับเธอที่เธอส่งมาให้ผมพร้อมกับ CD ขึ้นมาดู อ่านกระดาษแผ่นเล็กๆ ที่เธอแนบมาเขียนถึงผมว่า

“ส่งรูปมาให้แล้วนะ หน้าตาคุณนักเขียนแบบรีบร้อนมากๆ อ่ะนะ 555 แล้วก็ส่งรูปที่คนในรูปสวยๆ มาให้ดูเผื่อคิดถึง เอาเป็นว่า ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้งละกันคะ”

ผมค่อยๆ เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ ความคิดถึงผลักดันให้ผมอยากได้ยินเสียงเธอในเช้าวันใหม่ที่ลืมตาตื่น หมายเลขของเธอถูกทบทวนคำสั่งลงเครื่องอีกครั้ง

“086-151-01xx”

“ฮาโหล สวัสดี คุยได้มั๊ยครับ”

“ฮาโหล สวัสดี ได้คุยได้ ว่าไงคะ”

“คุณขับรถอยู่หรือเปล่า” ผมถามเธออีกครั้งเพื่อความแน่ใจ”

“เปล่าคะ กำลังจะออนไลน์ คุณจะออนไลน์หรือเปล่า”

“o.k. งั้นแค่นี้นะ” ผมตัดบทพูดกับเธอ

“อ้าว! คุณจะไปไหน” เธอถามผมเมื่อเห็นว่าผมจะวางสาย

“ไปเจอคุณใน MSN ไง”

บนหน้าต่างสนทนานของ MSN เธอใช้ชื่อว่า ‘เชื่อไหมโชคชะตา’

ผมพิมพ์ตอบเธอกลับไปว่า

“เชื่อสิ”

ลมหนาวพัดมาครั้งที่เท่าไรผมจำไม่ได้ หน้าต่างสี่เหลี่ยมบานเล็กๆ ในห้อง ยังคงโอบกอดลมหนาวไว้อย่างสม่ำเสมอ ผมนึกถึงคำพูดของไอสไตน์ประโยคหนึ่งที่ผมได้อ่านเมื่อคืน

“แรงดึงดูดของโลกไม่ได้ทำให้คนเราตกหลุมรักกัน…”

7 comments:

Anonymous said...

อ่านเรื่องสั้นนี้แล้ง รู้สึกว่าเป็นเรื่องรักที่ดีทีเดียว
แต่มันกลับทำให้คนอ่านรู้สึกเจ็บปวดไปด้วย เมื่อรู้เบี้ยงหลังว่า เขียนจากเรื่องจริง

Anonymous said...

โหยยย....เป็นเรื่องสั้นที่เกี่ยวกับโชคชะตาจริงๆ...ยังไงก็จะคอยเป็นกำลังใจให้พี่ชายคนนี้

Anonymous said...

ก็ไม่ได้ว่าอยากจะขัดคอหรอกนา.....แต่แค่นี้ยังพิสูจน์อะไรไม่ได้หรอกว่าเค้ามีใจไหม ยังไงก็อย่าให้เป็นมึงข้างเดียวที่เพ้อ เพราะเดี๋ยวจะหาว่าหล่อไม่เตือน 555 แต่ถ้ามันเป็นไปตามที่นายคิด ก็ไม่มีอะไรจะพูดนอกจาก....."ยินดีด้วยนะครับ"

Anonymous said...

จ๊ากกกกกก....น้องกูเอาอีกแล้ว

Anonymous said...

ด้วยการที่ผมพิมพ์ชื่อของเพื่อนเข้าไป แต่ผมดันพิมพ์ชื่อของเพื่อนตกไปหนึ่งคำ - หนึ่งตัวอักษรน่าจะเหมาะกว่าเน้อ

เลยกลายเป็นเธอเข้ามาอยู่ในลิสต์รายชื่อของเพื่อนผม
- ลิสต์รายชื่อของคุณไม่ใช่รึ? ใช้คำว่าแทนที่เพื่อนผมก็ได้น่อ

จริงๆ เรื่องนี้ไม่อยากตรวจแก้ให้เลยนะเนี่ย ไม่รู้คนเขียนจะอยากให้มันคงอยู่แบบเดิมไม่อยากไปแก้ไขหรือเปล่า อ่านจากคอมเมนท์ของคนอื่นแล้วพอเดาเรื่องได้เลย

ท่าจะเป็นเอามากใช่ย่อย หายาทาหน่อยก็ไม่เลวนะนาย

วิภพ ล้อมเขต said...

ก๊ากกกกกกกกกกกกก มันเป็นแค่เรื่องสั้น ที่มีเค้าโครงมาจากเรื่องจริง ยาทงยาทา หรือน้องกูเอาอีกแล้ว มันไม่เกี่ยวกันเลย 5555 ยังอยู่สบายดี (แต่ตอนนี้หัวใจมันแห้งแล้งเหลือเกิน555)เพียงแต่เห็นว่ามันเป็นงานเก่าที่เคยตีพิมพ์ก็เลยเอามาลงในบล็อกเท่านั้นเอง 555 ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้แล้ว

Anonymous said...

แรงดึงดูดของโลกไม่ได้ทำให้คนเราตกหลุมรักกัน^_^

อ่านแล้วก็อมยิ้มตามน่ารักจังคะ
ยืนหันหลังให้กัน รถพยาบาลค่อยๆเคลื่อนที่ออกไปแหม...นึกภาพตามแล้วก็น่ะ อิจฉา น่ารักดีคะ
ยิ่งอ่านไปด้วยฟังเพลงไปด้วยยิ่งได้อารมณ์น่ารัก รักแบบใสๆ สดใสดีคะ