Friday, July 04, 2008
คุณค่า
คุณค่า-วิภพ ล้อมเขต
อาจเป็นเพราะฟองเบียร์ที่ผุดประกายลอยล่องขึ้นมาจากก้นแก้วก็เป็นได้ จึงทำให้คำพูดของเพื่อนวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา จนเริ่มดูไร้คุณค่าน่ารำคาญขึ้นมาทันตาเห็น
“กูบอกพี่เขาไปแล้วว่าถ้าไม่ได้เงินตามที่ต้องการ กูไม่กลับมาทำ อีกอย่างหนึ่งกูก็เกรงใจมึงด้วย”
เหตุผลที่ทำให้เพื่อนลังเลใจและเกรงใจผม นั้นมาจากจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ของความเป็นเพื่อนระหว่างเราสองคน
เพราะในขณะที่เงินเดือนของผมเท่าเดิมและไม่มีท่าทีจะเพิ่มขึ้น เงินเดือนของเพื่อนเมื่อกลับมาทำงานที่เดิมนั้นมากกว่าผมถึง 2 เท่า แต่ทั้งหมดนี้ ทั้งตำแหน่งหน้าที่ รวมถึงความไว้เนื้อเชื่อใจที่เพื่อนได้มา ก็ขึ้นอยู่กับคุณค่าที่ถูกมองเห็นระหว่างเราสองคน
แรกก็เข้าใจดีว่ามันเกิดจากความเป็นห่วงด้านความรู้สึกของเพื่อน แต่บ่อยครั้งเข้าที่คำพูดนี้หลุดออกมาจากปากคล้ายแข่งกับฟองเบียร์ที่ผุดขึ้นมามากมายแบบไม่มีกำหนด ก็ได้แต่นึกถึงคำพูดที่รุ่นพี่คนหนึ่งเคยพูดไว้ว่า
“ถ้าต้องพูดเรื่องสำคัญ ควรพูดออกมาแค่ครั้งเดียว ถ้ามากกว่านั้นความสำคัญจะกลายเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญและเปลี่ยนเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายไปทันที เราต้องให้คุณค่ากับคำพูดและความรู้สึกนั้นไม่บ่อยเกินไป”
เปล่า…ผมไม่ได้โทษใครสักคนที่มีอำนาจในการตัดสิน หรือโทษโชคชะตาที่ขีดเส้นให้ทุกอย่างต้องดำเนินไปแบบนี้ หากจะโทษก็คงได้แต่โทษตัวเองที่พอใจจะอยู่นิ่งๆ เรื่อยๆ มากกว่า
เพราะการกลายเป็นคนไม่เก่งในสายตาของใครคนหนึ่งนั้น ไม่ได้เป็นข้อสรุปว่าเรากลายเป็นคนไม่เก่งของใครคนอื่น
ระหว่างนั่งคิดอะไรเพลินๆ และปล่อยให้คำพูดของเพื่อนซึมหายไปเหมือนฤทธิ์เบียร์ที่สะสมอยู่ในร่างกาย เจ้าของร้านก็เดินมาเสิร์ฟเบียร์ให้กับเราอีก 2 ขวด
ทุกคนต่างมองหน้ากันคล้ายเกิดคำถามว่าใครเป็นคนสั่ง แต่ก็ไม่มีใครเอ่ยถามออกมา ความเงียบเข้ามาปกคลุมวงดื่มของพวกเราครั้งใหญ่...
ผมมองดูขวดเบียร์ในมือของเจ้าของร้านซึ่งถูกเปิดมาเรียบร้อย ทั้งๆ ที่บนโต๊ะของเราก็มีที่เปิดขวดตั้งอยู่
ผมถามขึ้นมาว่ามีใครสั่งเบียร์เพิ่มหรือเปล่า...
เมื่อทุกคนส่ายหน้า ผมจึงหันไปถามเจ้าของร้านว่าใครสั่ง
เจ้าของร้านตอบเสียงตะกุกตะกัก แล้วก็ได้คำตอบว่า เขาเป็นคนเปิดและยกมาเองโดยที่ไม่มีใครสั่ง
เบียร์ 2 ขวดถูกวางลงบนโต๊ะพวกเราแบบเบาๆ คล้ายการรู้สึกผิดของเจ้าของร้าน โดยผมพูดทิ้งท้ายไปว่า
“ถ้าพี่ยกมาให้พวกผมเรื่อยๆ แบบนี้โดยที่ไม่มีใครสั่ง และทุกคนเข้าใจผิดว่ามีใครสั่งไป เกิดพวกผมไม่มีเงินจ่ายขึ้นมา พวกผมจะได้กินฟรีไหมครับ”
ผมไม่ได้เสียดายเงินค่าเบียร์ที่ต้องจ่ายเพิ่มอีก 2 ขวด หรือตั้งใจจะกวนเจ้าของร้าน แต่รู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกบีบบังคับให้ต้องยอมรับ และจ่ายให้กับสิ่งที่ไม่สมควรจ่าย คล้ายการถูกยัดเยียดให้ต้องเป็นในสิ่งๆ หนึ่งโดยที่เราไม่ได้เต็มใจจะเป็น
สุดท้ายเพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบ เจ้าของร้านจึงยกเบียร์ 2 ขวดนั้นให้เป็นผลประโยชน์ของพวกเราไปโดยปริยาย...
เบียร์ในขวดทุกขวดหมดแล้ว เหลือเพียงเบียร์ในบางแก้วที่วางอยู่บนโต๊ะ
หลังจบจากวงดื่ม พวกเราแวะไปเยี่ยมรุ่นพี่ที่ออฟฟิศคนหนึ่งซึ่งกำลังป่วย
อาการป่วยของรุ่นพี่เริ่มต้นจากการปวดหัว แรกๆ ก็กินยาแก้ปวดธรรมดา อาการปวดก็พอทุเลาลงบ้าง แต่เมื่อทนไม่ไหวเข้า จึงตัดสินใจไปหาหมอที่โรงพยาบาล พร้อมกับสิทธิ์ประกันสังคมที่ได้รับในฐานะของมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่ง
คำตอบของหมอที่มีต่อรุ่นพี่ที่ต้องอาศัยบัตรประกันสังคมนั้นมีไม่มากพอเท่ากับคนรวย ไปหาหมอครั้งใด รุ่นพี่จึงมักกลับมาพร้อมยาแก้ปวดเสมอเป็นระยะเวลาเกือบ 1 ปี
จนวันหนึ่งที่รุ่นพี่ตัดสินใจย้ายโรงพยาบาล ถ้าคิดในแง่ดีก็พอจะคิดได้ว่าเป็นโชคดีของรุ่นพี่ที่รู้ว่าตัวเองกำลังป่วยด้วยการเป็นโรคอะไร
สุดท้ายคำตอบที่ชัดเจนคือโรคเนื้องอกหลังหู แต่บนความโชคดีที่มีความโชคร้ายทับซ้อน อาการป่วยที่รุ่นพี่เป็นก็ลุกลามกลายเป็นโรคมะเร็ง
ผมมองดูรอยยิ้มบนใบหน้าของรุ่นพี่ ที่เริ่มผิดรูปเพราะอาการข้างเคียงของเนื้องอกหลังหู การให้กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ แต่เอาเข้าจริงก็มีเพียงรุ่นพี่คนเดียวเท่านั้นที่ต้องเผชิญหน้ากับโรคร้าย
จริงอยู่ว่าคนเราเมื่อพบกัน วันหนึ่งก็ต้องจาก แต่การจากกันโดยที่ไม่พร้อมจะจากไป ก็ดูจะโหดร้ายเกินกว่าจะยอมรับได้
“ออฟฟิศให้โบนัสพี่ 6 เดือนเลยนะ” ใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมา เพื่อหวังจะทำให้รุ่นพี่รู้สึกดี ที่มีค่ารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้นมาอีกจำนวนหนึ่ง แต่คำพูดของรุ่นพี่ก็ทำเอาทุกคนพูดอะไรไม่ออก
“แต่ถ้าต้องได้โบนัสเพราะสาเหตุแบบนี้ พี่ก็ไม่อยากได้”
สิ้นเสียงพูด น้ำตาของรุ่นพี่เริ่มเอ่อล้นออกมาจากดวงตาที่ไม่รู้จะอยู่มองดอกไม้บนโลกใบนี้ได้อีกนานเท่าไร
ผมกุมมือรุ่นพี่ บีบมือเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ ในช่วงเวลาที่พวกเราต่างให้กำลังใจรุ่นพี่ว่า ยังไงก็ต้องรักษาหายอยู่แล้ว
ตอนนั้นในใจผมนึกถึงพี่สาวที่เสียไป ไม่รู้ว่าเมื่อไรเราจะได้พบกัน ได้แต่ภาวนาให้ชาติหน้ามีจริง และขอให้เราเกิดมาเป็นพี่เป็นน้องกันอีก
ผมไม่รู้ว่าตอนนั้นรุ่นพี่จะรู้สึกอย่างไร แต่รอยยิ้มของรุ่นพี่ที่เผยออกมาอีกครั้งก็บ่งบอกว่า ชีวิตของรุ่นพี่คงไม่ยอมแพ้โรคมะเร็งเอาง่ายๆ
ดึกมากแล้ว พระจันทร์คืนเดือนหงายยังคงงดงาม ทอส่องแสงสกาวสดใสในยามค่ำคืน
ระหว่างนั่งรถแท็กซี่กลับบ้าน ผมนึกถึงคุณค่าในการมีอยู่ของคนเรา
คำพูด เงิน ตำแหน่งหน้าที่การงาน การถูกยอมรับจากใครสักคน หรือการขอแค่มีชีวิตอยู่ อะไรคือสิ่งสำคัญที่เรียกว่า
‘คุณค่า’ ไปมากกว่ากัน...
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
4 comments:
อ่านแล้ว น้ำตาจะไหล
"ผมไม่รู้ว่าตอนนั้นรุ่นพี่จะรู้สึกอย่างไร
แต่รอยยิ้มของรุ่นพี่ที่เผยออกมาอีกครั้ง
ก็บ่งบอกว่า
ชีวิตของรุ่นพี่คงไม่ยอมแพ้โรคมะเร็งเอาง่ายๆ"
เมื่อก่อนนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า คุณค่าของคนเรา จริงๆ แล้วมันอยู่ตรงไหนหรืออะไรมาเป็นสิ่งกำหนด
แต่เดี๋ยวนี้ คิดเพียงว่า "โลกนี้มีคนรักเรา เท่านี้ชีวิตของเราก็มีคุณค่าพอแล้ว"
ส่งกำลังใจให้ค่ะ ^^
ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรคือสิ่งที่มี
คุณค่ามากที่สุด
แต่คิดว่าทุกๆคนมีคุณค่าในตัวเอง
บางคนหาเจอแล้ว บางคนยังไม่เจอ
แต่ขอให้เชื่อว่ามันมี แล้วชีวิตก็คง
ไม่ว่างเปล่าจนเกินไป
กำลังใจคือยาขนานหนึ่ง
ฝากกำลังใจไปให้รุ่นพี่ด้วยครับ
เอาใจช่วยครับ เข้มแข็งครับ
PLANKTON
อ่านแล้วเศร้า
เราว่าการมีชีวิตจะมีคุณค่าที่สุดก็เมื่อเขาเห็นคุณค่าของเรา เราเห็นคุณค่าของเขา ในฐานะเพื่อนมนุษย์คนหนึ่ง...โดยไม่มียศตำแหน่ง ชื่อเสียง หรือเงินทองเข้ามาเกี่ยว
ฝากกำลังใจถึงพี่คนนั้นด้วยนะ
เศร้าจังครับ
Post a Comment