Tuesday, October 28, 2008
ค่ำคืนหนึ่ง
ค่ำคืนหนึ่ง- วิภพ ล้อมเขต
ฝนตกไม่ขาดสายและไม่มีท่าทีจะหยุดตก นานมากแล้วที่ผมไม่ได้ใช้เวลาหลังเลิกงานไปกับใครแบบสองต่อสอง
ก้มมองดูในกระเป๋าสะพายของตัวเอง ด้วยนิสัยไม่ค่อยชอบพกร่มติดตัวเป็นทุนเดิม บวกกับร่มคันที่ชอบเป็นสีขาวซึ่งไม่สามารถพับเก็บได้ เรื่องต้องตากฝนเวลากลับบ้านจึงกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่ผมพบเจออยู่บ่อยๆ
“ตอนเย็นไปไหนหรือเปล่า”
ข้อความหนึ่งที่ส่งเข้ามาสะกิดความรู้สึก ทำให้ผมต้องถามตัวเองว่า ที่ผ่านมาช่วงเวลาหลังเลิกงานของผมหมดไปกับอะไรบ้าง เล่นฟิตเนต เคลียงาน หรือไม่ก็นั่งอยู่ในรถที่ติดอยู่กลางถนน
ตารางชีวิตหลังเลิกงานผมหมุนวนอยู่แค่นี้ เพื่อนสนิทแบบรู้ใจก็อยู่ไกล กว่าจะได้เจอกันก็ต้องฝ่าด่านแฟนเพื่อนก่อนทุกครั้ง ชีวิตหลังเลิกงานของผมจึงมักอยู่กับตัวเองเสียส่วนใหญ่ ลองนั่งนึกอีกรอบก็ยังนึกไม่ออก แต่เป็นเพราะเธอ ช่วงเวลาหลังเลิกงานของผมวันนี้กลับเปลี่ยนไปจากวันเดิมๆ ที่ผ่านมา
ผมและเธอก้าวเท้าเป็นจังหวะเดียวกันภายใต้ร่มคันเดียวกันซึ่งทำหน้าที่ป้องกันสายฝน มุ่งหน้าไปสู้รถของเธอท่ามกลางสายฝนที่ยังคงทิ้งตัวลงมาอย่างไม่ขาดสาย จนก่อกำเนิดเป็นเม็ดฝนพร่างพราวอยู่หน้ากระจกรถ ประตูรถสองบานถูกเปิดและปิดในเวลาไล่เลี่ยกัน
“รถติดแน่เลย จะไปหาอะไรนั่งทานกันชิวๆ ไหวไหมเนี่ย” เธอพูดออกมา สายตามองหาช่องเสียบกุญแจเพื่อสตาร์ทรถ ในขณะที่ผมเริ่มดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดที่เอว
ที่ปัดน้ำฝนหน้ากระจกเริ่มทำงาน วงแขนของเธอหมุนวนไปทางซ้ายเป็นวงกลมเมื่อเท้าของเธอเริ่มสัมผัสคันเร่งอย่างบางเบา เหมือนกับลมหายใจของผมและเธอที่สัมผัสกันอย่างเบาบางลอยอบอวลอยู่ภายในรถ
ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังตกอยู่ในความฝัน ไม่คิดว่านี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นระหว่างผมและเธอ ไม่มีวันเป็นไปได้หรอก ผมบอกตัวเองในใจ ในช่วงเวลาที่เธอเริ่มชวนผมคุยมากขึ้น
“คิดดูนะว่าเวลากลับบ้านฉันต้องเจอรถติดแบบนี้ทุกวัน ค่อยๆ ขยับเป็นอยู่อย่างนี้ตลอด น่าเบื่อมาก คุณว่าไหม”
“อือ” ผมเออออตามเธอ เม็ดฝนที่หน้ารถของเธอเริ่มเจือจาง
ครั้งแรกที่เราพบกัน ตอนนั้นผมกำลังนั่งอยู่ในวงหมอดูที่มีเพื่อนของผมคนหนึ่งทำหน้าที่ดูดวงให้กับเพื่อนอีกคนอย่างเคร่งเครียด พอเพื่อนดูจบก็ถึงตาผมบ้าง
แน่นอนว่าถึงแม้ว่าผมจะไม่ใช่คนที่เชื่อเรื่องดวงมากมายเป็นพิเศษ แต่เรื่องราวบางอย่างก็มักจะเกิดขึ้นมาแบบไม่คาดคิดเสมอ เช่นเดียวกันกับตอนที่เธอเดินผ่านเข้ามา แล้วนั่งลงให้เพื่อนของผมดูดวง
หลังจากเธอดูจบ ผมพอจะจับใจความได้ว่าตอนนั้นเธอมีเรื่องไม่สบายใจเกี่ยวกับคนรักของเธอ และเช่นเดียวกับตอนนี้ที่เธอเองก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน
นับจากวันนั้นความสัมพันของเราสองคนก็ไม่เคยมีอะไรมากไปกว่า การทักทายกันทุกครั้งที่ได้พบเจอ อย่างมากก็แค่ยิ้ม หรือไม่ก็พูดคุยกันแทบจะนับคำได้
“หิวหรือเปล่า” เธอถามแล้วหันมายิ้ม คำถามของเธอดึงผมออกมาจากภาพของผมและเธอวันเก่าๆ
“นิดหน่อย”
“นี่คุณกลับบ้านแล้วทานข้าวอีกหรือเปล่า ถ้ามีคนรอที่บ้านก็ไม่ต้องทานเป็นเพื่อนก็ได้นะ”
ผมนึกถึงภาพตัวเองนั่งอยู่เพียงลำพังที่ร้านอาหารข้างทางในทุกค่ำคืน
“ไม่มีคนรอหรอก หาอะไรทานด้วยก็ดีเหมือนกัน”
“งั้นดีเลย เราไปหาที่เงียบๆ นั่งทานข้าวและคุยกันดีกว่า”
หลังจากรถของเธอจอดสนิท เราสองคนเดินลงจากรถเพื่อมุ่งหน้าสู่ร้านใดสักร้านหนึ่ง โดยที่ไม่รู้ว่าจะเป็นร้านไหน
“เอาร้านนี้แล้วกัน ขอนั่งนอกร้านนะ อากาศแบบนี้ตรงนี้คงเหมาะกว่า”
ผมมองดูที่นั่งที่เธอเลือก พยักหน้าเห็นด้วย สายตามองดูภายในร้าน คราวนี้เป็นผมที่ชวนเธอคุย
“ไปสั่งอะไรมาทานกันก่อนดีไหม”
“เอาสิ” เธอเดินนำหน้าผมเข้าไปในร้าน
“ขอชาเขียวที่หนึ่งค่ะ เฟร้นฟรายส์ เป๊บซี่ และก็นักเก็ต 1 ชุด คุณทานอะไรล่ะ”
ผมมองดูรายการอาหารบนฝาผนัง ไม่มีอะไรที่อยากทาน แต่จะนั่งอยู่กับเธอเฉยๆ โดยไม่ทานอะไรเลยก็ดูไม่เหมาะ จึงสั่งกาแฟมา 1 แก้ว แล้วเดินไปเติมซอสให้กับเธอ
“เอาซอสพริกด้วยนะ” เสียงเธอบอกตามหลังเมื่อผมเริ่มกดซอสมะเขือเทศ
ลมหนาวหลังฝนตกในยามค่ำคืนเริ่มพัดโชย ผมนั่งอยู่กับเธอแบบสองต่อสองโดยมีโต๊ะอลูมิเนียมทรงกลมคั่นกลางระหว่างเราสอง
ผมรู้ว่าค่ำคืนนี้เธอมีเรื่องไม่สบายใจ และคงอยากหาใครสักคนที่ไม่ได้รู้จักเธอหรือรู้เรื่องราวอะไรของเธอมากนักเป็นที่ระบาย แน่นอนว่าผมเป็นหนึ่งในนั้นที่เธอเลือก หลังจากก่อนหน้านี้ที่เพื่อนของเธอติดงานและมาตามนัดไม่ได้
ผมนึกถึงช่วงเวลาที่ตัวเองต้องเผชิญกับปัญหาโดยไม่รู้จะพึ่งพาใคร ผมไม่อยากให้เธอต้องเผชิญกับการอยู่คนเดียวและปัญหาที่ต้องเจอเหมือนตัวผม ผมจึงต้องอยู่ข้างๆ เธอแบบไม่เรียกร้องอะไร
ปัญหาของเธอเป็นปัญหาของคู่รักทั่วไปที่พบเห็นอยู่บ่อยๆ เท่าที่ผมจับใจความได้ดูเหมือนว่าคนรักของเธอกำลังแอบคบกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง และดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนั้นก็ดูท่าจะชอบคนรักของเธออย่างจริงจัง
“นี่ขนาดยังไม่แต่งงานกันยังทะเลาะกันขนาดนี้ ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าแต่งแล้วจะขนาดไหน ของแบบนี้ถ้าผู้ชายไม่เล่นด้วยผู้หญิงมันก็คงไม่กล้าพูดขนาดนี้หรอกคุณว่าไหม”
ผมยิ้มไม่ได้ตอบอะไรเธอไป ได้แต่อาศัยความเงียบกล่อมเธอให้ใจเย็น
“คิดแล้วก็เซ็ง น่าเบื่อมากๆ ว่าแต่คุณไม่มีแฟนเหรอ ถึงมากับฉันได้”
“แฟนเหรอ...ไม่มี”
“ก็ดีนะ อยู่คนเดียวก็ดีเหมือนกัน ไม่ต้องมีเรื่องให้ปวดหัว คุณเล่าเรื่องแฟนเก่าของคุณให้ฟังบ้างสิ ฉันอยากฟัง”
แล้วบทสนทนาของเราสองคนก็กลับกลายเป็นเรื่องความรักเก่าๆ ของผมเสียส่วนใหญ่ โดยมีเธอเป็นผู้รับฟังอย่างตั้งใจ
ตลอดเวลาผมพยายามเล่าสิ่งเลวร้ายที่เจอมาเพื่อให้เธอรู้สึกว่า สิ่งที่เธอเผชิญมันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายอย่างที่คิด และหลังจากเล่าจบก็ดูเหมือนเธอจะลืมความทุกข์ของตัวเองไปชั่วขณะ
แต่ใจที่ยังกังวลก็ยังเป็นใจที่ยังกังวลอยู่วันยังค่ำ เพราะแววตาของเธอนั้นซ่อนความรู้สึกลึกๆ ของเธอไว้ไม่หมด ความเศร้ายังคงโอบกอดเธอ โดยที่ผมไม่สามารถช่วยอะไรเธอได้มากนัก นอกจากนั่งอยู่เป็นเพื่อนเธอตราบเท่าเวลาที่เธอต้องการในค่ำคืนนี้
ฝนหยุดตกไปนานแล้วเหลือเพียงลมหนาวที่พัดผ่านมา เธอหยิบใบเซียมซีที่เสี่ยงได้ในวันที่เราสองคนไปทำบุญด้วยกันขึ้นมา และมันก็เป็นเรื่องแปลกที่ใบเซียมซีที่ผมเสี่ยงได้นั้นก็เป็นใบเดียวกับเธอ
“ยังเก็บไว้เหมือนกันเหรอ ว่าแต่นี่คุณทานนิดเดียวเองนะ จะอิ่มหรือเปล่า”
“วันนี้ผมทานข้าวเหนียวหมูปิ้งไปเยอะ มันก็เลยยังอิ่มๆ อยู่”
“โห…อยากทานบ้างจัง ฉันชอบข้าวเหนียวหมูปิ้งมากเลยนะ”
“งั้นพรุ่งนี้ซื้อมาฝากเอาไหม”
“เอาๆ ขอสัก 10 ไม้นะ”
“10 ไม้เลยเหรอ”
“ฉันล้อเล่น นั่นก็เว่อร์ไป คุณก็เชื่ออีก ฮ่าๆ”
นั่นเป็นเสียงหัวเราะครั้งแรกของเธอที่ผมได้ยิน ดูเหมือนเธอจะสบายใจขึ้น และห่วงของความกังวลที่รัดตัวเธอก็ดูเหมือนจะค่อยๆ คลายออก
“เดี๋ยวนี้ฉันเป็นอะไรไม่รู้ ไม่รู้สึกรักหรือตื่นเต้นกับใครเลย”
คำพูดของเธอสะกิดมิติความรู้สึกที่ซับซ้อนของผม เพราะผมเองก็รู้สึกไม่ต่างอะไรไปจากเธอนับตั้งแต่คนรักของผมลาจากผมไปเพื่อใช้ชีวิตกับคนอื่น
“กี่โมงแล้วละ อุ๊ย! คุณใส่นาฬิการุ่นเดียวกับแฟนฉันเลยนะ”
ผมมองดูนาฬิกาบนข้อมือ นึกในใจ แบบเดียวกันเลยเหรอ อะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้น
“เดี๋ยวคงต้องกลับแล้วล่ะ ไว้วันหลังมานั่งเล่นชิวๆ กันอีกนะ”
ผมยิ้มรับแทนคำตอบ ลุกขึ้นเดินออกมาจากร้านพร้อมกับเธอเพื่อกลับไปที่รถ เม็ดฝนหน้ากระจกรถแห้งหายจนเกือบหมด รอยยิ้มของเธอเริ่มปรากฏเมื่อเราสองคนนั่งพูดคุยกันถึงเรื่องอื่นที่พอจะเรียกเสียงหัวเราะออกมาได้
“จะให้ฉันส่งคุณตรงไหนถึงจะสะดวก”
“ผมว่าเอาที่คุณสะดวกแล้วกัน ตรงข้างหน้าก็ได้ จะได้ไม่ต้องจอดรถลำบาก”
“ได้ๆ กลับบ้านดีๆ ละคุณ”
ทันทีที่ประตูรถของเธอเปิดออก ผมรู้สึกถึงลมหนาววูบหนึ่งที่พัดผ่านเข้ามา รถของเธอค่อยๆ เคลื่อนห่างออกไปจากตัวผม
ผมนึกถึงเรื่องราวของเราสองคนที่เพิ่งเกิดขึ้นและผ่านไปไม่นาน นึกถึงถ้อยคำของเธอบางประโยค นึกถึงใบเซียมซีที่เธอและผมเสี่ยงได้ นึกถึงข้าวเหนียวหมูปิ้ง และได้แต่ยืนมองนาฬิกาบนข้อมือของตัวเองที่เธอบอกว่าเหมือนกับของแฟนเธอ
ผมเงยหน้ามองดูท้องฟ้าที่เริ่มมีดวงดาวปรากฎ หลังจากเมฆฝนเคลื่อนผ่านไป วันนี้ช่วงเวลาหลังเลิกงานของผมกลับเปลี่ยนไปจากวันเดิมๆ ที่ผ่านมา โดยเฉพาะค่ำคืนนี้ ต่างกันก็แค่เธอกลับบ้านไปหาคนรักของเธอ
ส่วนผมนั้นกลับบ้านไป
เพื่อพบเจอเพียงเงาของตัวเอง…
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
6 comments:
อ่านไปยิ้มไป น่าจะมีตอนต่อไปให้ติดตามอีกเรื่อยๆ
อ่านแล้วอมยิ้ม มันไม่เศร้าหรือเหงาเลย มองเห็นมิตรภาพ ความรู้สึกดีดี ความหวังดีที่มีให้
ถ้ามีอีกอย่าลืมมาต่อตอนต่อไปนะ ^ ^
อ่านแล้วก็วิภพ วิภพ อ่ะเมิง ช้าๆ จนน่าหลับ ถ้าไม่มีความรู้สึกอะไรอยู่ข้างใน
ถามกู กูว่านี่เป็นเรื่องของคนเศร้าปลอบคนเศร้าว่ะ เหมือนกับว่าได้ฟังเรื่องของคนเศร้าเหมือนกันแล้วรู้สึกว่าเราไม่ได้เศร้าตัวคนเดียวในโลก
เมิงเขียนรักๆ ได้อินว่ะ พ่อนักรัก ไม่ลองทำหนังสือรวมเรื่องสั้นชื่อ "ความรู้สึกไม่ค่อยดีที่เรียกว่ารัก" มั่งวะ
บรรยากาศฝนๆอย่างงี้ เข้ากันมาก
กับเรื่องแนวนี้ ช้าๆเนิบๆ ไม่มีอะไร
แต่มันมีบางอย่างซุกซ่อนอยู่
ที่ไหนสักแห่ง...
PLANKTON
ตอนนี้ฝนก็ตกตลอดเวลาอยู่นะเนี่ย
มาเยี่ยมเยียนจ้า
บางทีการสูดไอฝนเข้าไปลึกๆ ก็ทำให้ชื่นใจได้นะ
แม้ว่าจะไม่นานก็เถอะ ;)
อ่านแล้วดูเหงาดีนะครับ ฝากเม้นงานเขียนผมบ้างนะ
Post a Comment