Wednesday, September 20, 2006

หลังโรงละคร


ตีพิมพ์ครั้งแรก ขายหัวเร่าะฉบับเดือนธันวาคม 2548

เป็นเวลาบ่ายโมงแล้วที่แสงแดดอันร้อนแรงของพระอาทิตย์ยามเที่ยงเพิ่มอุณหภูมิอารมณ์ในตัวก๋องให้เข้าใกล้จุดเดือดเข้าไปอีก หากเพียงเสี้ยววินาทีนั้นที่ก๋องปล่อยให้อารมณ์มาเป็นนายของร่างกายนิ้วมือทั้งห้าของเขา คงร่วมแรงร่วมใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไปกระแทกปากของหมาในร่างมนุษย์ผู้นั้นแล้ว หากแต่ยังเป็นความโชคดีของก๋องที่สมองยังแข็งแรงพอไม่ยอมให้อารมณ์มาเป็นนายของร่างกายโชคยังดีที่ยังควบคุมสติได้ ก๋องจึงได้มานั่งอยู่ใต้ต้นมะขาม แถวสนามหลวงแทนสถานีตำรวจ สนามหลวง เวทีละครขนาดใหญ่ของกรุงเทพฯ แดนสิวิลัยที่ใคร ๆ ก็มาอาศัยบารมีของมันในการดำรงชีพ “พี่ๆ เช่าเสื่อสักผืนไหมพี่ 20 บาทเอง”

ที่นี่มักจะมีทั้งหนังบั้นปลายและหนังหัวเรื่อง ของแต่ละชีวิตมาให้ดูอยู่บ่อย ๆจะมีเปลี่ยนบางก็แค่ตัวละครที่เปลี่ยนไปตามอายุและกาลเวลา ยามตะวันส่องหัว อากาศร้อนๆ อย่างนี้จะคิดจะทำอะไรก็หงุดหงิดไปหมด ยิ่งในเมืองใหญ่ ๆ อย่างนี้ด้วยแล้วน้ำใจคงระเหยไปกับอากาศและพร้อมใจรวมกันไปไหนต่อไหนแล้วก็ไม่รู้ ภาพของขอทาน คนเร่ร่อน พ่อค้า แม่ค้า วัยรุ่น คนแก่ คนทุกเพศ ทุกวัย หาดูได้ไม่
ยากนัก ประหนึ่งง่ายเหมือนการกระพริบตายามที่ไม่ได้เจ็บตา

สายตาของก๋องยังคงจับจ้องไปที่รถยนต์คันหรู สีแดงที่จอดติดไฟแดงตรงถนนฝั่งตรงกันข้ามไม่เกินไปกว่าระดับสายตาของก๋อง ภายในรถปรากฏภาพของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์สองคนหนึ่งเป็นมนุษย์เพศชาย สวมใส่เสื้อผ้าที่เรียกว่าสูท มีแว่นสีดำปกคลุมนัยตาเขาอยู่ ถัดจากมนุษย์เพศชายเป็นมนุษย์เพศหญิง อยู่ในชุดที่คงไม่สามารถปกป้องเธอจากความหนาวได้ แต่คงเหมาะกันดีกับอากาศร้อน ๆ อย่างวันนี้ หน้าตาของเธอเต็มไปด้วยสิ่งเติมแต่ง ปากของเธอ แก้มของเธอมีส่วนประกอบของสีแดง ยิ่งทำให้เธอแลดูกลมกลืนกับสีของรถและไฟแดงเข้าไปอีก ก๋องคงไม่ติดใจมองเธอนานเป็นพิเศษ หากว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ก๋องเคยตามจีบตั้งแต่สมัยมัธยม

“อย่างเธอนะเหรอจะมาจีบชั้น ไม่ดูตัวเองเลยว่าอะไรควรไม่ควร” หญิงสาวเอ่ยขึ้นมาเมื่อครั้งที่ก๋องเคยบอกความรู้สึกกับเธอไป
บางครั้งคำพูดก็เป็นเครื่องมือชั้นดีในการวัดคุณภาพของคนเรา ก๋องก้มลงมองดูตัวเอง เสื้อยืดห่านคู่ กางเกงยีนส์ รองเท้าแตะ นี่แหล่ะชุดเก่งของเขา ก๋องยังคงไม่ละสายตาไปจากเธอคนนั้น มิใช่ว่าเค้าทำใจลืมเธอไม่ได้ หากแต่เพียงก๋องสนใจที่จะมองดูเด็กขายพวงมาลัยข้าง ๆ เธอต่างหาก ด้วยเสียงของยานพาหนะที่เข้ามารบกวนโสตประสาทหูทำให้เหลือแต่เพียงดวงตาคู่เดียวของเขาที่ทำหน้าที่ในการถ่ายทอดการสื่อสารของคนสองคน เวทีละครท้องสนามหลวงกำลังฉายหนังเรื่องใหม่ให้เค้าดูอีกครั้ง

หญิงสาวกวักมือและเลื่อนกระจกใส ที่กั้นพรมแดนของเธอกับเด็กคนนั้นออกยังไม่ทันที่เด็กขายพวงมาลัยจะได้ขยับปากกลุ่มสารนิโคตินก็พวยพุ่งออกจากปากของเธอไปยังหน้าของเด็กคนนั้นทันที หญิงสาวหันไปหัวเราะกับชายหนุ่มในชุดสูท ก่อนที่รถยนต์คันหรูจะเคลื่อนตัวออกไปทิ้งให้เด็กขายพวงมาลัยยืนสำลักควันที่มนุษย์อย่างเธอผลิตขึ้นมาพร้อมๆกับควันที่รถยนต์คันหรูทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าโดยไม่คิดราคาสังคม เด็กขายพวงมาลัยเดินกับขึ้นไปยืนอยู่ตรงเก่าะกลางถนน เพื่อรอคอยไฟแดงอีกครั้งก็จะได้ทำหน้าที่อย่างเดิมอีก จนกว่าพวงมาลัยในมือจะหมดและจะได้กลับบ้านเสียทีบางครั้งพวงมาลัยก็กุมชะตาของใครบางคนได้อยู่หมัด ภาพของเด็กขายพวงมาลัยตามเกาะกลางถนนคงไม่ใช่ภาพที่หาดูได้ยากนัก

หากย้อนไปสัก 20 ปี เด็กชายก๋องก็เคยอาศัยเกาะกลางถนนเป็นที่ยังชีพให้กับตัวเองมาแล้ว เขายังคงจำอาชีพแรกในชีวิตของเขาได้ เมื่อลืมตาดูโลกได้เพียง 7 ปี เด็กชายก๋องเคยวิ่งหนี้ตำรวจที่มาไล่จับ วิ่งหนีเจ้าถิ่นที่ขายอยู่เป็นประจำ วิ่งหนีพวกนักเลงที่มาไถตังค์ หนักสุดก็ตอนที่ตำรวจเอาปืนอัดลมไล่ยิ่ง แล้วเด็กชายก๋องวิ่งหนีจนโดนรถชน แต่ด้วยความตกใจ ต่อมอะดีนาลีนแตกซ่านทำให้เด็กชายก๋องตกใจวิ่งเตลิดต่อไปอีก รู้สึกตัวอีกที่ก็ไม่รู้อยู่ที่ไหนแล้ว เด็กชายก๋องคิดอยู่เสมอว่าถ้าไม่ได้ขายพวงมาลัย อาชีพที่จะเหมาะที่สุดกับเขาคงไม่พ้น นักกีฬาวิ่งแข่ง เผลอ ๆทีมชาติจะขี้คร้านมาอ้อนวอนเค้าบ่อย ๆ

“เฮ้อ”! ก๋องถอนหายใจเบาๆนึกถึงวันวานแล้วก็ยิ่งมีค่าแห่งการจดจำ ควันรถยนต์ที่อาศัยท่อรถผ่านออกมาสู่ก๋องทำให้เด็กชายก๋องหายไป เหลือแต่เพียงนายก๋องที่กำลังกลืนกินควันเข้าไปเต็ม ๆ ก่อนวินาทีที่สติสัมปชันญะของเขาจะเรียกเขากลับคืนสู่อาการปกติ ชายในชุดสูทสีดำเดินเข้ามาหาเขาด้วยท่าทางรีบร้อน คล้ายๆกับจะเดินเข้ามาหาเรื่อง ยังไม่ทันที่ก๋องจะระวังตัว มือของชายชุดดำก็จับไปที่หัวไหล่ของก๋องแล้วพูดกับก๋องว่า “เจ้านายครับหมดเวลาพักร้อนแล้วพรุ่งนี้เจ้านายมีนัดประชุมตอนบ่ายโมงครับเจ้านาย ”

3 comments:

Anonymous said...

หะแหม.. มีหักมุมซะล่วย
เพิ่งเคยอ่านงานเขียนแบบจริงจังของโหน่งนะ
เพิ่งรู้แกเป็นคนแบบนี้ เจ้าโหน่งhaha

เขียนเป็นเรื่องเป็นราว
ดูเป็นวรรณกรรมดีน่ะ

Anonymous said...

โหน่ง...เจอศิษย์บ้านกล้วยกันหน่อยไหม...แกตัดหน้าฉานนนนน
ฉันกะว่าจะเอางานมาสเตอร์พีช(คิดไปเอง)มาลงซะหน่อย...เด๋วเค้าจะหาว่าฉันเลียนแบบ...เจอกันแน่ Jr รุ่น(ไหนวะ) สู้ตายว้อย

นุ่น said...

แกอัพบล็อกช้าจัง
อยากอ่านๆ