ไม่มีใครรู้ว่าระหว่างสายฝนที่ขยันตกลงมากับกาลเวลา อะไรคือสิ่งที่ทำให้ตู้ไปรษณีย์หน้าบ้านของผมขึ้นสนิม
นับตั้งแต่ผู้ประกาศข่าวสาวบอกว่า ปีนี้ฝนจะตกลงมาอย่างยาวนานจนไปถึงเดือนธันวาคม ผมก็เห็นด้วยคล้อยตามมาตลอด
อาจเป็นเพราะต้องเจอะเจอกับสายฝนที่ตกลงมาทุกๆ วัน แบบเอาแน่เอานอนไม่ได้ผมถึงกล้ารู้สึกร่วมเช่นนั้นก็เป็นได้
บางวันผมตื่นขึ้นมาในตอนเช้าด้วยเสียงเม็ดฝนที่หล่นกระทบหลังคา บางคืนผมก็หลับตาลงพร้อมๆ กับสายฝนที่เพิ่งตกลงมาจนมองไม่เห็นพระจันทร์
แต่ก็มีอยู่วันหนึ่งที่ผมนอนไม่หลับเพราะจดหมายห้าฉบับที่ซ่อนตัวอยู่ใต้โต๊ะหนังสือ ไม่ใช่เสียงเม็ดฝนที่หล่นกระทบหลังคาเหมือนเช่นเคย…ใช่ผมเป็นคนซ่อนมันไว้เองหลังจากที่ตัดใจทิ้งมันไม่ลง
ยิ่งเพ่งมองดูนานเท่าไร ร่องรอยบางอย่างก็ทำให้พอจะรู้ว่า ก่อนหน้านี้จดหมายทั้งห้าฉบับคงถูกเปิดขึ้นมาอ่านพอสมควร แต่เวลาเหล่านั้นกลับผ่านไปอย่างเนิ่นนาน จวบจนถึงปัจจุบันจดหมายทั้งห้าฉบับก็ค่อยๆ ถูกเปิดอ่านทีละฉบับๆ อีกครั้งหนึ่ง…แม้ทุกฉบับจะเริ่มต้นด้วยรอยยิ้มและจบลงด้วยความทรงจำดีๆ บางอย่างก็ตาม
ก่อนหน้านี้ที่จดหมายทั้งห้าฉบับจะเดินทางมาถึง ผมไม่เคยหันไปมองตู้ไปรษณีย์ที่หน้าบ้านเลยสักครั้งเดียว แม้กระทั่งตอนที่เดินผ่าน
แต่หลังจากที่มีจดหมายฉบับแรกของเธอเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาเยี่ยมเยียน ตู้ไปรษณีย์สีเขียวเก่าๆ กลับดูน่ามองขึ้นมาทันที
การเขียนจดหมายถึงกันและกันอาจจะดูเป็นเรื่องธรรมดาของใครหลายๆ คน แต่สำหรับคนสองคนโดยเฉพาะที่คนหนึ่งไม่ชอบเขียนหนังสือนั้น การได้ลงมือเขียนจดหมาย และเรียนรู้การรอคอยย่อมมีความนัยบางอย่างซ่อนไว้...ไม่มากก็น้อยความนัยเหล่านั้นถูกเรียกว่าความรู้สึกดีๆ
แต่สำหรับอีกคนที่รอคอยการมาของจดหมายกลับมีค่าเกินกว่าจะหาสิ่งใดเปรียบ
หลังจากที่ได้รับจดหมายฉบับแรกทุกๆ วันผมจะคอยเดินไปดูที่ตู้ไปรษณีย์สีเขียวเสมอ จนจดหมายกลายเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง และทำให้เราสองคนเลิกเขียนอีเมล์ถึงกัน
ฉบับที่หนึ่ง สอง สาม สี่ ผ่านไป ลายมือที่ขยุกขยิกของเธอมักจะเขียนมาพร้อมกับคำพร่ำบ่นในลายมือของตัวเองเสมอ จนทำให้ผมอดที่จะยิ้มทุกครั้งไม่ได้ที่เปิดอ่าน และทุกครั้งผมจะรีบเขียนจดหมายตอบเธอกลับไปด้วยความกระตือรือร้น
คืนวันผลัดเปลี่ยนเหมือนใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วง ระยะทาง ความห่างไกล และกาลเวลา ถูกเลือกเป็นแบบทดสอบระหว่างสองเรา
เรื่องราวความสัมพันธ์ของเราสองคนน่าจะดำเนินอยู่เช่นนี้ และจดหมายน่าจะเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆแต่จนแล้วจนรอดจนมาถึงจดหมายฉบับที่ห้า…
ผมก็รู้สึกเหมือนตัวเองทุกทิ้งขว้างทางจดหมายอย่างไม่ใยดี แม้คำลงท้ายของจดหมายฉบับนั้นจะเป็นความห่วงใยจากเธอตาม
ไม่มีคำตอบใดๆ นอกเสียจากความเงียบ และตู้ไปรษณีย์สีเขียวเก่าๆ ก็ไม่เคยมีจดหมายของเธอมาเยือนอีกเลย
ทุกๆ วันผมก็ยังคงหันไปมองตู้ไปรษณีย์สีเขียวเก่าๆ เสมอ บางครั้งเวลาเดินผ่านก็จะหยุดยืนมอง ถึงจะรู้และเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร แต่ความคุ้นเคยที่ผูกพันบางอย่างก็ทำให้ผมหลีกเลี่ยงเรื่องราวเก่าๆ ไม่ได้ โดยเฉพาะความรู้สึกดีๆ
เวลาผ่านไปนานเท่านานจนผมลืมเรื่องราวของจดหมายทั้งห้าฉบับ หลังจากที่ครั้งหนึ่งเคยคิดจะฉีกมันทิ้งหรือไม่ก็เอาไปเผาจนไม่สามารถเอากลับมาอ่านได้อีก
แต่จนแล้วจนรอดทุกอย่างก็เป็นได้เพียงความนึกคิด หลังจากอ่านจดหมายทั้งห้าฉบับจบ ผมตัดสินใจเขียนจดหมายถึงเธออีกหนึ่งฉบับเพียงเพื่อจะหวังจดหมายฉบับที่หก
เวลาผ่านไปไม่นานการรอคอยก็สิ้นสุด
ค่ำคืนหนึ่งที่สายในตกลงมาอย่างหนักหน่วง ผมเดินฝ่าสายฝนเข้าบ้าน ตู้ไปรษณีย์สีเขียวทำให้ผมต้องยิ้มออกมา เมื่อเห็นจดหมายฉบับหนึ่งนอนหลบฝนอยู่อย่างแน่นิ่ง ผมนึกในใจมันคงเป็นจดหมายที่เธอเขียนตอบกลับมา แต่สายฝนก็กระหน่ำลงมาอีกครั้งเมื่อจดหมายฉบับนั้นคือจดหมายที่ถูกตีกลับ
จดหมายใช้ระยะเวลาเดินทางไปหาเธออยู่สองอาทิตย์ และรอคอยเธอจนหมดเวลาอนุญาตให้อยู่ในประเทศ ถึงอีกอาทิตย์กว่าๆ ก่อนจะเดินทางกลับบ้านมาหาผมอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว
ตามความเข้าใจขั้นพื้นฐาน เธอคงย้ายที่อยู่ใหม่ ไม่มีคนรับ หรือไม่ก็ไม่มารับในตามที่กำหนด ฯลฯ หรือจะด้วยเหตุผลใดๆ ก็แล้วแต่ แต่จดหมายฉบับนี้ก็ไม่เคยมีโอกาสเดินทางไปถึงเธออีกเลย และกลายเป็นจดหมายฉบับที่หกที่ถูกซ่อนไว้ใต้โต๊ะหนังสือ
ต่างกันก็แค่จดหมายฉบับนี้ผมเขียนถึงเธอไม่ใช่เธอเขียนถึงผม
ส่วนตู้ไปรษณีย์สีเขียวที่หน้าบ้านก็คงไว้เพียงความว่างเปล่าจวบจนถึงปัจจุบัน
และมีเพียงสายฝนกับกาลเวลาที่คอยเติมเต็ม กับสนิมที่เกาะกินความทรงจำไปวันๆ…
13 comments:
Good job kha!!!
Like to read your work!
Keep on writng na
ไม่ขอวิจารณ์นะ เพราะวิจารณ์งานเขียนไม่เป็น ถ้าให้วิจารณ์ผู้ชายอ่ะได้ ของถนัด 555 ...
ดีๆชอบ แต่อ่านแล้วรู้สึกเหงาบวกเศร้างัยก็ไม่รู้ ไม่อ่านแระ ยิ่งอ่านยิ่งสงสารคนเขียน 555 แหม.. เอาชีวิตจริงมาเขียนอ่ะดิ๊
กูไม่เห็นตู้ไปรษณ๊ย์ สีเขียวว่ะ เอ่อมันอยู่ไหนว่ะ หรือว่ากูบอดสีว่ะ ?
กูไม่เห็นกล่อง ไปรษณีย์สีเขียวเลยว่ะ
อยู่ตรงไหนว่ะ หรือว่ากูตาบอดสีว่ะ?
..........กุอ่านแล้วกุก้อชอบอ่ะนะ ไม่รู้จะพูดรัย เพราะมึงบอกให้เข้ามาอ่านแล้วก้อเม้นท์ อืมมม สรุปกุอ่านแล้ว เม้นท์แล้ว
ถ่ายเป็นข่าวดำเลยมองไม่เห็นสีเขียวอะ ก๊ากกกกก
ก๊ากก
พี่ก็ว่า มันเขียวตรงไหนฟระ
ถึง โหน่ง
ฉันมีจดหมายฉบับหนึ่งเขียนถึงแกไว้นานแล้วว่ะ...แต่ฉันเองก็คิดอยู่นานว่าจะส่งให้แกดีไหม ฉันกลัวว่าแกจะไม่ยอมเปิดอ่านจดหมายฉบับนี้ของฉัน เพียงเพราะว่าแกเห็นว่าฉันเป็นคนส่งมา ฉันเลยส่งข้อความนี้มาถึงแกก่อน เผื่อว่าวันหนึ่งฉันจะตัดสินใจส่งจดหมายฉบับนั้นให้แก แล้วแกก็จะเปิดอ่านมัน...แกไม่ต้องห่วงนะว่าฉันจะทำให้แกต้องคิดมากอีก เรื่องที่แกบอกฉันวันนั้น ฉันเข้าใจดี...และฉันก็รู้ว่าแกเองก็คิดอยู่นานเหมือนกันว่าจะบอกฉันดีไหม...ใช่ไหม
ป.ล.แกจะรู้เองว่าเป็นจดหมายจากฉัน มันจะจ่าหน้าซองว่า "จดหมายทวงหนี้"--
รักแกว่ะ
ฮือๆๆ เฮ้อๆๆๆ โอยยยย
ไม่รู้จะใช้โหมดไหนดีว่ะ
ปรับอารมณ์ไม่ถูกแล้ว...ไม่อยากเป็นแบบนี้แล้วอ่ะ
แกทนได้ไงวะ
หนี้รักใช่มั๊ยพี่
กรูจาอ้วกกกกกกกกกกกกกกกกก...ตกลงอยากได้ 'จดหมายกัมปนาท' แทนใช่ไหม...
ป.ล. น้องร้ากกกก ช่วยคืนพี่ไวหน่อยก็ดีนะ ช่วงนี้พี่จ้น จนนนนนน
ดีใจด้วย...ตู้เขียวแล้วเว้ย....
เศร้าจริงใจจริงๆๆอะ ไม่รู้ตอนเขียนร้องไห้อะป่าวเนี่ย
Post a Comment