Wednesday, October 04, 2006

-ฝนเม็ดแรก-


ฝนเม็ดแรกล่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าตอนไหนไม่มีใครรู้ 11 กรกฎาคม 2548 ฤดูเงียบของลมเหงาโอบกอดฉันไว้อีกครั้ง เช่นเดียวกับหัวใจของฉันที่เต้นถี่มากกว่าเดิมเมื่อวันนี้เดินทางมาถึง

1ปีแล้วที่ฉันได้มีโอกาสรู้จักเธอ และคำว่า โชคชะตา 1ปีของวันที่เธอได้รับอีเมลแปลกๆ ฉบับหนึ่ง ซึ่งเจ้าของอีเมลนั้นก็คือฉัน ที่โวยวายว่าเธอไม่ยอมทักฉันเลย เพราะความเข้าใจผิดว่าเธอคือเพื่อน เมื่อความจริงปรากฏฉันจึงได้รู้ว่า ฉันพิมพ์อีเมลเพื่อนของฉันผิดไปหนึ่งตัว และมันก็ทำให้ฉันได้มาพบกับเธอทางถ้อยคำของอักขระ จนรู้จักกันมาถึงทุกวันนี้

จากลิ้นชักของความทรงจำในห้วงเวลาของความตรึงใจ เธออายุมากกว่าฉัน 1 ปี แต่เธอก็ไม่ยอมให้ฉันเรียกเธอว่าพี่ ด้วยเหตุผลที่บอกว่า เธอไม่เชื่อว่าฉันอายุน้อยกว่าเธอ เพราะคำพูดคำจาของฉันดูไม่เหมือนเด็ก
“อย่างเธอนี่นะเด็ก ดูพูดจาแต่ละคำสิ” เธอยืนยันกับฉันผ่านสายโทรศัพท์ และฉันก็ได้แต่อมยิ้มกับคำพูดของเธอ ถึงแม้ฉันจะคิดว่าฉันเป็นเด็กอยู่เสมอ

ฉันคุยกับเธอจนประตูของความผูกพันเปิดกว้าง จนวันหนึ่งที่เธอบอกกับฉันว่า เธออยากให้ฉันมางานรับปริญญาของเธอ ตอนแรกฉันไม่สะดวกใจที่จะไปหาเธอ เพราะช่วงนั้นกำลังวุ่นอยู่กับการสอบ แต่เธอยืนยันว่าเธออยากให้ไปจริงๆ

บนรถตู้สายกรุงเทพ-ชลบุรีจึงมีเพียงฉันที่นั่งอยู่บนเบาะหลังสุดกับเงินที่เหลืออยู่ 100 บาทในกระเป๋ากางเกง พร้อมกับจังหวะการเต้นของหัวใจที่เต้นผิดจังหวะมากเป็นพิเศษ รถตู้คันนี้กำลังพาฉันไปพบกับเธอ…

ฉันยังไม่เคยไปยังที่ๆ เธอรับปริญญา หน้าของเธอฉันก็ไม่เคยเห็นแต่ฉันก็ไม่ได้กังวลใจเลยสักนิดเดียวที่ได้ตัดสินใจไปหาเธอ ฉันบอกตัวเองอยู่เสมอว่า วันนี้ฉันควรจะไปหาเธอเพราะมันคือวันสำคัญของเธอ ในกระเป๋าสะพายใบใหญ่ของฉันจึงมีรูปที่ฉันวาดกับหนังสือทำมือของฉันรอเธออยู่ และอีกไม่กี่นาทีมันก็จะกลายเป็นของเธอ

ผู้โดยสารข้างๆ ฉันต่างทยอยลงจากรถไปทีละคนๆ รถตู้จอดสนิทแล้ว แต่ฉันก็ยังคงนั่งอยู่ในรถนิ่งๆ จนคนขับต้องหันมาบอกฉันว่า
“ไอ้น้องถึงแล้ว”

ฉันจึงลงจากรถตู้ และเดินถามทางเขามาตลอดถูกบ้างผิดบ้าง แต่จนแล้วจนรอดฉันก็มายืนอยู่หน้าป้อมยามจนได้ ฉันนั่งรอเธอ ไม่กล้าโทรไปหาเธอ เพราะเกรงว่าเธอคงติดงานพิธีอยู่แน่ๆ และฉันไม่รู้ว่าเธอจะติดต่อมาเมื่อไร จนเห็นกลุ่มบัณฑิตค่อยๆ ทยอยออกมาแถวๆ ป้อมยามที่ฉันนั่งอยู่ ฉันจึงปลอบตัวเองว่า ไม่นานไปกว่านี้เดี๋ยวเธอคงโทรเข้ามา

ระหว่างที่ฉันนั่งชั่งใจว่าจะโทรศัพท์หาเธอเลยดีหรือเปล่า ก็มีบัณฑิตสาวคนหนึ่งมาขอยืมเงินฉันสองบาทเพื่อโทรหาญาติ ฉันไม่ได้ให้เงินกับบัณฑิตคนนั้น แต่ให้บัณฑิตสาวคนนั้นยืมโทรศัพท์ของฉันไปใช้แทน บัณฑิตสาวคนนั้นมีสีหน้าดีใจขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด และขอบคุณฉันหลายรอบมากจนฉันต้องรีบบอกว่า
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ช่วยๆ กัน”
“แล้วเจอเพื่อนหรือยังคะ” บัณฑิตสาวคนนั้นถามฉัน ฉันจึงได้แต่ยิ้มและส่ายหัว บัณฑิตคนนั้นปลอบใจฉันว่า
“เดี๋ยวคุณก็ได้เจออยู่แล้วเชื่อฉันสิ…”

บัณฑิตสาวคนนั้นจากไปแล้ว แต่ฉันยังคงนั่งรอเธออยู่ที่เดิม ฉันไม่รู้ว่าฉันควรจะเดินไปทางไหนดี ทางซ้าย หรือขวาที่มันจะทำให้ฉันได้พบเธอ จึงตัดสินใจโทรหาเธออีกครั้ง

ครั้งแรกเธอไม่ได้รับโทรศัพท์ของฉัน ครั้งที่สองที่สามก็เช่นกัน จนครั้งที่สี่ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันตัดสินใจว่า หากครั้งนี้เธอไม่รับโทรศัพท์ ฉันคงต้องเดินทางกลับด้วยเงื่อนไขเวลาของรถตู้คันสุดท้ายที่จอดรอฉันอยู่ เพราะมันเหลืออีกเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้นที่ฉันจะได้พบเธอ

เสียงรอสายที่ดังขึ้นทุกครั้งแอบพ่วงความหวังว่าเธอจะรับโทรศัพท์ฉันเข้าไปทุกจังหวะ ตู๊ดดด ตู๊ดดด ตู๊ดดด จนเสียงตู๊ดครั้งสุดท้ายที่ทำให้ฉันคิดว่า ครั้งนี้เธอคงไม่รับสายฉันอีกเช่นเคยจบลงไป กลับกลายเป็นเสียงของเธอที่ถามว่าฉันอยู่ไหน

ฉันบอกเธอว่าฉันอยู่ตรงป้อมยาม เธอบอกให้ฉันเดินมาที่หน้ากองอำนวยการด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง และเธอก็บอกกับฉันก่อนที่เธอจะยื่นโทรศัพท์ให้เพื่อนของเธอว่า เธอเจ็บคอ

จึงกลายเป็นว่าเพื่อนของเธอมาบอกทางฉันแทน แต่เพื่อนของเธอก็ดูเหมือนจะไม่เต็มใจให้ฉันได้พบกับเธอสักเท่าไร ด้วยการบอกทางฉันแบบผิดๆ ถูกๆ จนในที่สุดก็ตัดสายฉันทิ้งไป ตอนนั้นฉันไม่รู้ว่าฉันควรจะเดินไปทางไหนดี ระหว่างเดินกลับไปขึ้นรถตู้กับเดินไปหาเธอด้วยการถามทางคนที่เดินผ่านมาอยู่ตลอด

มันเป็นโชคดีของฉันอีกครั้งที่ฉันเลือกถามทางคนแถวนั้นจนฉันได้มายืนอยู่หน้ากองอำนวยการ เมื่อไปถึงหน้ากองอำนวยการ ริ้วธงถูกสายลมพัดโบกไปมางดงามอย่างพริ้วไหวแม้จะเป็นยามค่ำคืน ฉันเงยหน้ามองดูพระจันทร์เสี้ยวบนท้องฟ้า หันซ้ายหันขวามองหาเธอ หยุดยืนอยู่หลังรถพยาบาลแล้วพยายามมองหาเธอตลอด

ฉันมองบัณฑิตสาวทุกคนที่เดินผ่าน และหวังว่าหนึ่งในคนที่ฉันมองหาน่าจะเป็นเธอ เพราะฉันไม่เคยเห็นหน้าของเธอชัดๆ แม้ว่าเราจะคุยกันใน msn มานานพอสมควร

เธอโทรมาถามฉันว่าฉันอยู่ไหน ฉันบอกกับเธอว่า ฉันอยู่ตรงหน้ากองอำนวยการยืนอยู่ใกล้ๆ กับรถพยาบาล เธอบอกฉันว่าเธอก็ยืนรอฉันอยู่หน้ากองอำนวยการ และยืนอยู่ใกล้รถพยาบาลเช่นเดียวกัน แต่ทำไมเธอไม่เห็นฉันเลย
จนกระทั่งรถพยาบาลเคลื่อนตัวออกไปแล้ว ฉันกับเธอก็ยังไม่ได้พบกัน เพราะว่าฉันกับเธอต่างยืนหันหลังให้กันและกัน ฉันถามเธอว่าเธออยู่ตรงไหนจนเริ่มถอดใจ แล้วก็เป็นเธอที่บอกฉันว่า
“ไหนลองหันหน้ามาหน่อยสิ”

ภาพแรกในความทรงจำของฉันจึงเป็นภาพของบัณฑิตสาวคนหนึ่ง เดินเข้ามาหาฉันพร้อมกับท่วงทำนองของริมฝีปาก ที่ขยับเป็นทำนองเดียวกันกับถ้อยคำที่ฉันได้ยินจากเสียงของเธอในโทรศัพท์ว่า
“เจอแล้ว อยู่นี่เอง”

เธอยิ้ม และเดินเข้ามาหาฉัน จนฉันอดไม่ได้ที่จะต้องยิ้มด้วยความดีใจที่ฉันตามหาเธอจนพบ ฉันตื่นเต้นมาก และไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับเธอดี แม้ว่าลึกๆ ข้างในแล้ว ฉันจะมีคำพูดอยู่เป็นล้านคำที่อยากจะพูดกับเธอก็ตาม แต่ในชั่วโมงนั้นประตูของถ้อยคำกลับปิดสนิทมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก

ฉันหยิบรูปที่ฉันวาด และหนังสือทำมือของฉันให้กับเธอ เธอขอบใจฉันพยายามชวนให้ฉันอยู่กินข้าวกับเธอและครอบครัว แต่ฉันก็ปฏิเสธเธอไปโดยที่ไม่ได้บอกเธอว่ารถตู้คันสุดท้ายกำลังรอฉันอยู่ และที่สำคัญทั้งเนื้อทั้งตัวฉันก็เหลือเงินแค่ 100 บาท
เธอแนะนำฉันให้พ่อแม่ของเธอได้รู้จัก ฉันยกมือไหว้ท่านทั้งสองก่อนที่จะยืนถ่ายรูปกับเธอ เสียงชัตเตอร์กับแสงแฟลชดัง และสว่างขึ้นมาสามครั้ง แล้วฉันก็ยกมือไหว้พ่อแม่ของเธอเพื่อลาอีกครั้งหนึ่ง พ่อแม่ของเธอจึงดูเหมือนจะงงต่อการมา และการไปของฉันที่เกิดขึ้นภายในเวลาแค่ 5 นาทีเท่านั้น

พระจันทร์เสี้ยวในค่ำคืนนี้ยังคงงดงามอยู่บนท้องฟ้า ฉันยิ้มให้กับเธอเป็นครั้งสุดท้ายในคืนที่ฉัน และเธอได้พบกันเป็นครั้งแรก แล้วรีบวิ่งไปขึ้นรถตู้คันสุดท้ายที่จอดรอฉันอยู่ บนรถตู้ที่ฉันนั่งกลับบ้าน ฉันถอนหายใจเบาๆ และรู้สึกดีใจที่ได้พบเธอ ถึงแม้ว่าฉันจะนั่งรถไปกลับ 4 ชั่วโมง เพื่อมาพบหน้าเธอเพียง 5 นาทีก็ตาม แต่มันก็เพียงพอแล้วที่เธอจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของฉันที่เหลืออยู่ และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่ฉันกับเธอได้พบกัน…



-2-


ครั้งที่สองที่ฉันได้พบกับเธอนั้น เป็นตอนที่ฉันไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ที่พัทยา ทันทีที่เธอรู้ว่าฉันอยู่ที่พัทยาเธอก็บอกกับฉันว่าจะขับรถมาหาฉัน ตอนแรกฉันคิดว่าเธอพูดเล่นแล้วเธอก็มาของเธอจริงๆ โดยที่ฉันเองก็ไม่รู้ว่า จากบางแสนถึงพัทยามันก็ไกลพอสมควร และที่สำคัญเธอไม่เคยขับรถไกลๆ ด้วยอีกต่างหาก

ฉันนัดเธอไว้ที่ห้างๆ หนึ่งในพัทยาแล้วก็ไปหาเธอสายมากๆ แต่เมื่อไปถึงฉันเห็นเธอนั่งรอฉันด้วยการอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้ไม้ยาวๆ ตัวหนึ่ง
ฉันหยุด และยืนมองเธอนานมากเป็นพิเศษ เพราะตลอดช่วงชีวิตของฉันที่ผ่านมา ฉันเคยฝันว่า มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งรอคอยฉันด้วยการอ่านหนังสือบนเก้าอี้ไม้ยาวๆ ตัวหนึ่ง

ในความฝันฉันจำหน้าผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ แต่ก็ดีใจที่เห็นเธอยังนั่งรอฉันอยู่ ฉันเดินเข้าไปหาเธอ แล้วนั่งลงข้างๆ เธอเงยหน้าขึ้นมาหันมามองฉัน พร้อมกับยิ้มให้ฉันเหมือนครั้งแรกที่ฉัน และเธอได้พบกัน ตราบเท่าทุกวันนี้ฉันก็ยังจดจำรอยยิ้ม และภาพนั้นได้ดี
“ขอโทษที่ต้องให้รอนาน” ฉันบอกกับเธอออกไปแต่รอยยิ้มของเธอก็ยังเปื้อนหน้าเธออยู่เหมือนเดิม
“ไม่เป็นไรหรอก” เธอบอกกับฉันพลางเก็บหนังสือใส่กระเป๋า

ฉันกับเธอเดินคุยกันไปเรื่อยๆ ต่างคนต่างมีเรื่องที่จะพูดคล้ายดั่งคนสนิทกันมานานแสนนาน จนเดินไปถึงรถของเธอที่เธอบอกฉันว่า รถเลอะหน่อยนะเพราะยังไม่ได้ล้างเลย แต่เท่าที่ฉันเห็น ฉันก็ไม่คิดว่ารถของเธอจะเลอะตรงไหน และแปลกใจมากกว่าที่ในรถของเธอไม่มีตุ๊กตาอยู่ในรถสักตัวเหมือนกับรถคันอื่นๆ ที่มีผู้หญิงเป็นเจ้าของ
“แม่ไม่ชอบ ไม่อยากให้รถดูรกด้วยมั้งก็เลยต้องตามใจแม่”
เธอบอกกับฉันถึงสาเหตุที่ไม่มีตุ๊กตาสักตัวเดียวในรถของเธอ พร้อมรอยยิ้มเมื่อพูดถึงแม่
แล้วฉันก็นั่งรถกลับมาจากพัทยาเพื่อมาต่อรถตู้ที่บางแสนกลับกรุงเทพโดยที่มีเธอมาส่ง ด้วยเหตุผลของระยะทาง และเงื่อนไขของกาลเวลาที่นานๆ ฉันกับเธอถึงจะได้พบกันสักที ระหว่างทางฉันกับเธอจึงมีเรื่องคุยกันตลอดเวลา โชคดีที่ครั้งนี้ประตูของถ้อยคำไม่ได้ปิดสนิทเหมือนครั้งก่อน ถ้อยคำของความเป็นกันเองจึงพรั่งพรูออกมามากมายนับไม่ถ้วน

เธอขับรถพาฉันไปดูยังที่ๆ เธอรับปริญญาในค่ำคืนนั้น และมันก็ผ่านที่ที่ครั้งหนึ่งที่เคยเป็นกองอำนวยการในคืนที่ฉัน และเธอได้พบกันครั้งแรก
“นี่ไม่แลกบัตรเข้าออกเหรอ” ฉันถามเธอ เพราะเห็นเธอไม่ยอมชะลอรถเพื่อรับบัตรเข้าออก
“ไม่ต้องรับหรอก ตอนที่เรียนก็ไม่เคยรับเลย แต่ถึงจะรับไปก็ไม่ได้เอามาคืนทุกที ตอนนี้ที่บ้านเลยมีบัตรเข้าออกเยอะมาก อีกอย่างเขาก็จำรถคันนี้ได้”

เธอถามฉันว่าเคยมาที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำข้างมหาลัยหรือเปล่า พอฉันบอกว่าไม่เคยเธอก็อาสาเป็นไกด์จำเป็น เลี้ยวพวงมาลัยพาฉันไปทันที เพื่อที่จะพบว่าพิพิธภัณฑ์ปิดให้บริการวันจันทร์
“ตายจริง ต้องขอโทษด้วยนะที่ลืมไปว่าที่นี่เขาปิดวันจันทร์ เอาไว้คราวหน้าคุณมาหาแล้วฉันจะพาคุณมาที่นี่ใหม่”

ฉันยิ้มให้เธอแล้วบอกเธอว่าไม่เป็นไร ไว้คราวหน้าก็ได้ แค่ได้อยู่กับเธอนานเพิ่มขึ้นอีก 1 นาทีอย่างฉันก็พอใจแล้ว ฉันคิดของฉันอย่างนี้จริงๆ จวบจนรอยยิ้มสุดท้ายของเธอที่มาส่งฉันที่คิวรถตู้ ฉันก็ยังคงจดจำลักยิ้มสองข้างบนแก้มของเธอได้ พร้อมกับถ้อยคำของเธอบางประโยค
“กลับบ้านดีๆ นะ แล้วไว้เจอกันอีก…”



-3-



ส่วนครั้งที่สามที่ฉันได้พบเธอเป็นช่วงฤดูหนาวในเดือนตุลาคมที่คงความฝันไว้อย่างว่างเปล่า ตอนนั้นฉันไปนั่งขายหนังสือที่งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ มีคนมาเลือกซื้อหนังสือเยอะมาก และฉันก็เฝ้ามองหาเธอพร้อมกลับแอบหวังว่าหนึ่งในผู้คนที่มากมายคงเป็นเธอที่เดินแหวกผู้คนเข้ามาทักทายฉัน แต่เปล่าเลยที่ฉันจะได้เห็นเธอแม้เพียงแค่เงาของเธอก็ตาม

จนอีกวันหนึ่งที่ฉันอาบน้ำอยู่ เธอก็โทรมาหาฉัน และถามฉันว่าฉันอยู่ไหน พอฉันบอกเธอว่าฉันอยู่ที่บ้านเท่านั้นแหล่ะ เธอก็บอกว่าตอนนี้เธออยู่ที่งานสัปดาห์หนังสือรีบมานะจะรอ ฉันจึงบอกกับเธอว่าให้เธอรอฉันก่อน แล้วฉันก็รีบแต่งตัววิ่งออกจากบ้านไปขึ้นรถหาเธอ

เมื่อไปถึงฉันเห็นเธอยืนรอฉันด้วยรอยยิ้มเหมือนเดิม และเธอก็ถามฉันว่า
“ขาหายเจ็บแล้วรึไงถึงได้วิ่งมาซะเหงื่อซกขนาดนี้”

เธอรู้ว่าเอ็นร้อยหวายที่ข้อเท้าของฉันกำลังอยู่ในช่วงของการทำกายภาพบำบัดอยู่และหมอที่เป็นคนทำกายภาพบำบัดให้กับฉันก็กำชับฉันหนักหนาว่า ไม่ให้ฉันวิ่ง เพราะจะทำให้มันอาการเจ็บเรื้อรังมากกว่าเดิม

ฉันไม่ได้ตอบอะไรเธอมากมายนัก และก็ไม่ลืมที่จะหยิบหนังสือเล่มที่ฉันได้เขียนร่วมกับนักเขียนที่ฉันชอบให้เธอเก็บไว้อ่าน โชคดีที่เธอเป็นคนชอบอ่านหนังสือ และนี่ก็เป็นนิสัยของเธอที่ฉันชอบมาก เพราะมันทำให้ฉันกับเธอเข้าใจกันและกัน พร้อมทั้งแบ่งปันพื้นที่ความส่วนตัวง่ายขึ้น

เธอบอกกับฉันว่าเธอคงอยู่ได้ไม่นาน เพราะต้องรีบไปสอบเรียนปริญญาโทต่ออีก ฉันเดินไปส่งเธอขึ้นรถแท็กซี่ แล้วเดินกะเพลกขาเข้าไปในงานสัปดาห์หนังสือต่อเมื่อรถแท็กซี่คันที่เธอนั่งเคลื่อนตัวออกไปจนฉันมองไม่เห็นเธอ
เมื่อกลับเข้าไปในงานรุ่นพี่สาวคนหนึ่งของฉันที่เป็นนักเขียนถามฉันว่า
“คุ้มมั๊ยเนี่ยเขามาแป๊บเดียวแล้วเราต้องเจ็บไปอีกสองเดือน”

ฉันไม่ได้ตอบอะไรกับรุ่นพี่คนนั้น นอกจากยิ้มให้แล้วนั่งนวดเท้าเบาๆ และหลังจากนั้นฉันก็ต้องทำกายภาพบำบัดเพิ่มขึ้นอีก 1 เดือน และนี่ก็เป็นครั้งที่สามที่ฉันกับเธอได้พบกัน

วัน เดือน ปี และกาลเวลาล่วงเลยผ่านไป แต่ฉันก็ยังจดจำความฝันของเธอได้เสมอ เพราะตลอดห้วงระยะเวลาที่ผ่านมา เธอบอกกับฉันอยู่เสมอว่า เธออยากไปเรียนที่อเมริกา แล้วเธอก็จะต้องไปให้ได้ ฉันฟังเธอเล่าถึงความฝันของเธอแล้วก็ได้แต่อมยิ้ม เพราะฉันเชื่อว่าเธอจะต้องทำมันได้ แล้วฉันก็เล่าความฝันของฉันให้เธอฟังว่า
“ฉันจะเป็นนักเขียน เพราะสำหรับฉันแล้วนักเขียนคือถ้อยคำของชีวิต” แต่เธอบอกกับฉันว่า
“ระวังจะเป็นนักเขียนไส้แห้งเข้าละ”
ฉันจึงบอกเธอไปด้วยเหตุผลข้างๆ คูๆ ของฉันว่า
“ดื่มน้ำก็คงไม่แห้งแล้วมั้ง” ก่อนที่เธอจะหัวเราะในวิธีเอาตัวรอดของฉันและบอกฉันว่า
“แล้วจะคอยดูนะคุณนักเขียน”

ฉันฟังเธอพูดแล้วได้แต่ยิ้มในใจ เพราะว่าฉันคิดว่าฉันโชคดีมาก ที่ได้มีโอกาสก้าวเข้ามายืนอยู่ในสังคมของการเขียนการอ่าน และฉันเองก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาเป็นนักเขียนไส้แห้งของเธอต่อไป

หลังจากนั้นไม่นานนัก ฉันกับเธอเริ่มคุยกันน้อยลง น้อยลงมากจนบางครั้งฉันเองก็ใจหายที่เห็นเธอเงียบหายไป และไม่ตอบอีเมลรวมถึงรับโทรศัพท์ของฉันเลย ฉันกับเธอเริ่มที่จะห่างเหินกันด้วยความไม่เข้าใจกัน ที่พยายามจะทำให้ฉันกับเธอไม่เข้าใจกันมากขึ้น และดูเหมือนว่ามันจะทำได้สำเร็จ

ทุกครั้งที่คุยกันจึงกลายเป็นการทะเลาะกัน มีปากมีเสียงมากขึ้นไม่เคยจบลงด้วยรอยยิ้มเหมือนที่ผ่านมา เช่นเรื่องของความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันในบางเรื่องที่ต่างก็ไม่ยอมให้ซึ่งกันและกัน หรือไม่ก็เพราะอารมณ์ศิลปินของฉันที่เธอบอกว่า ช่างเข้าใจยากเหลือเกิน และทุกครั้งที่คุยกันก็ไม่มีเลยสักครั้งเดียวที่จะจบลงด้วยรอยยิ้มเหมือนครั้งก่อนๆ จนในที่สุดฉันก็ตัดสินใจที่จะไม่คุยกับเธออีกเลย…


-3-



ในห้วงเวลาของความเหินห่าง ระหว่างช่องว่างของความไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน ฉันใช้ช่องว่างนี้ตักตวงความฝันของฉัน ที่จะเป็นนักเขียนไส้แห้งของเธอ ด้วยการทำงานเขียนออกมาอยู่ตลอดเวลา จนวันหนึ่งที่เธอส่งอีเมลมาหาฉันเพื่อปรับความเข้าใจซึ่งกันและกัน เธออธิบายถึงเรื่องราวทั้งหมด และบอกฉันว่า ไม่อยากให้ฉันหายไปอย่างนี้เฉยๆ เพราะอีกไม่นานเธอต้องไปเรียนต่อที่อเมริกาแล้ว

ใช่ หูของฉันไม่ฝาดที่ได้ยินเธอบอกว่า เธอจะไปเรียนต่อที่อเมริกา ฉันจึงรีบโทรศัพท์ไปถามเธอทันทีว่า เธอจะไปวันไหน
“วันจันทร์ที่จะถึงนี้ ตอนตีสี่” เธอบอกกับฉันให้รู้ว่ามีเวลาเหลือที่จะอยู่ที่ประเทศไทนเพียงแค่ 2 วัน แล้วถามฉันว่าสบายดีหรือเปล่า

ฉันบอกเธอว่าฉันสบายดี และก็ไม่ลืมที่จะถามกลับไปว่า เธอสบายดีหรือเปล่าเช่นกัน
“อือ…ก็สบายดีเหมือนกัน ขอโทษนะที่เงียบหายไป”
“ ไม่ได้คิดว่าหายไปไหนสักหน่อย คิดมากอีกแล้ว เรายังอยู่ใกล้ๆ กันเสมอ”
“ใช่ เรายังอยู่ใกล้ๆ กันเสมอ”

ก่อนจะวางสายฉันบอกเธอว่า
“เดี๋ยวจะไปส่ง”

เธอบอกว่า ไม่ต้อง ด้วยเหตุผลที่ไม่อยากให้ฉันต้องลำบากที่จะต้องตื่นขึ้นมาเพื่อไปส่งเธอตอนตีสี่ ฉันไม่รู้ว่าเธอมีเหตุผลอะไรมากกว่านั้นหรือเปล่า แต่ฉันก็ตั้งใจว่ายังไงๆ ฉันก็จะไปส่งเธอให้ได้ จะว่าไปแล้วจริงๆ ฉันไม่ได้ทำเพื่อตัวเธอ แต่ฉันทำเพื่อตัวฉันเองมากกว่า และที่สำคัญฉันจะไม่ได้เจอเธออย่างน้อยก็หนึ่งปีเต็มๆ

1ปีของความฝันของเธอมันคงคล้ายกับ 365 วันของความโดดเดี่ยวที่ฉันต้องเผชิญเพียงลำพัง แต่สุดท้ายฉันก็ไม่ได้ไปส่งเธออย่างที่ฉันหวังไว้ เพราะว่าแม่ของฉันต้องไปโรงพยาบาลคนเดียวเพื่อตรวจตา และหมอก็บอกกับแม่ว่า แม่ต้องพาญาติหรือใครสักคนมาเป็นเพื่อน เพราะตอนที่ตรวจเสร็จใหม่ๆ แม่จะมองอะไรไม่เห็นไปชั่วขณะหนึ่ง ฉันบอกแม่ว่าฉันจะกลับบ้านเพื่อพาแม่ไปหาหมอ แต่แม่ก็ยืนยันว่าไม่ต้อง เพราะมาแป๊บเดียวก็ต้องกลับจะเปลืองค่ารถเปล่าๆ และแม่ก็บอกว่าแม่จะชวนคนข้างบ้านไปเป็นเพื่อนแทน

ฉันทำใจไม่ได้ที่จะปล่อยให้แม่ต้องอยู่คนเดียวตามลำพังในโลกของความมืดมิด เพราะตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมา แม่ก็อยู่คนเดียวมามากพอแล้ว มากพอที่แววตาของแม่จะดูเหมือนคนที่มีอะไรลึกๆ ปิดบังอยู่

ก่อนขึ้นรถกลับบ้าน ฉันโทรศัพท์หาเธออีกครั้งหนึ่งบอกกับเธอว่าให้ดูแลตัวเองดีๆ อยู่ที่อเมริกาอย่าลืมรักษาสุขภาพด้วย
“บอกแม่ด้วยนะว่าขอให้หายไวๆ ให้แม่รักษาสุขภาพด้วย”

ฉันฟังเธอพูดแล้วก็ได้แต่อมยิ้มในใจที่เธอเองก็เป็นห่วงแม่ของฉัน ฉันไม่รู้จะพูดอะไรมากไปกว่านี้ทั้งๆ ที่มีเรื่องมากมายค้างคาอยู่ในใจ ก่อนจะวางโทรศัพท์จากเธอฉันจึงได้แต่บอกเธอเป็นคำพูดสั้นๆ ว่า
“แล้วไว้เจอกัน”

เสียงเธอที่ปลายสายเงียบไปแล้ว แต่ฉันก็ยังได้ยินเสียงของเธออยู่ บนรถทัวร์กรุงเทพ-ชุมพรที่ฉันนั่งกลับบ้าน ตลอดระยะทางกว่า 500 กิโลเมตร ฉันนอนหลับไปตลอดทาง และสะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อถึงบ้านท่ามกลางความมืดมิดของการจากลา

สายฝนยามค่ำคืนพรำลงมาคล้ายๆ กับน้ำตาของค่ำคืนแห่งการลาจาก ฉันเคาะประตูเรียกแม่เบาๆ ซึ่งมันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับตอนตี 4 ของเช้าวันจันทร์ ที่เครื่องบินลำนั้นพาเธอไปไกลจากฉัน และห่างไกลฉันมากกว่าเดิม….

19 comments:

Anonymous said...

อ่านแล้วเศร้าว่ะ
แต่วิธีการเล่าลื่น สละสลวยดี
ชอบตรงน้ำเสียงการเล่าเรื่อง
เป็นเสียงโหน่งที่พี่รู้จัก
คงแบบที่ยาขอบเคยบอกว่า
"ใช้คำเท่าที่ตัวเองควรจะใช้"
ไม่เหมือนเรื่องข้างล่างๆ
ซึ่งอ่านแล้วเหมือนคนอื่นเขียนอ่ะ

Anonymous said...

เป็นตอนต้นของนิยายที่น่าติดตามครับ
เดาเรื่องไม่ถูก เพราะจะเขียนแบบไหนก็ได้ แต่อ่านไปแล้วมีประโยคที่มันจี๊ดๆ น่าสนใจอยู่เป็นระยะ
และจังหวะแบบนี้จะหล่อเลี้ยงนิยายไปได้อย่างน่าหลงไหล

อยากอ่านต่อครับ

นุ่น said...

สนุกดีแก
เขียนยาวๆ ดิ อยากอ่าน
และอยากรู้ว่าสุดท้าย 'ฉัน' คนนั้น
จะแห้วเหมือนโหน่งคนนี้รึเปล่า
^-^

วิภพ ล้อมเขต said...

อ๊ะ ไอ้นี่

Anonymous said...
This comment has been removed by a blog administrator.
นุ่น said...

แหม ไม่อยากรู้เรื่องคนอื่นเล้ยย
ว่าแต่ใครหรอพี่อัน???? ^-^

ปุถุชน said...

ยาวว่ะ แต่เพลงบรรเลงเพราะดี
ฟังแล้วฟีลเหงาๆ โฮมๆ อะโลนๆ

Anonymous said...

พี่น้องเอ๋ย

เรื่องจิงผ่านจอเลยทีเดียวจ้า

Anonymous said...

ช่างเหมือนละครจิ๊ง..โอ้ววชีวิต!!

Anonymous said...

ย๊าววว.....ยาวววว

วิภพ ล้อมเขต said...

ฉบับสมบูรณ์ยาวกว่านี้อีก นี่เอามาเรียกน้ำย่อยครับ

Anonymous said...

อ่านแล้วเศร้านะ พี่โหน่ง
ก๊ฟเชื่อนะว่า ถ้าพี่ฝ้ายได้มาอ่าน
เค้าคงซึ้งใจ
อย่างน้อย....เค้าก็ได้รู้ว่าพี่ยังคงคิดถึงเค้าอยู่

กิ๊ฟว่า ใจพี่ลึกๆ ก็คงรอเค้า
รอเค้ากลับจากอเมริกาอยู่หรือเปล่า

Anonymous said...

ถ่ายทอดได้ดีเรยทีเดียว
พี่คงดีใจมากเวลาเจอเค้า^^

คนเราจากกันก้แค่ตัว
แต่เชื่อเถอะคะความผูกพันธ์ยังมี
ไม่ว่าจะเพื่อนหรือแฟน ...

ความจริงมันเศร้ากว่าที่เราคิดเนอะ
ถ้าเปนฝ้าย ป่านนี้อกแตกตายไปแร้ว

ปล.ชื่อเหมือนกันอีกด้วยแฮะ

Anonymous said...
This comment has been removed by a blog administrator.
Anonymous said...

โหน่ง...ฉันมีอะไรจะแนะนำแกว่ะ
1. ฝ้ายน่ะ นะ เขามีที่ชอบๆ แล้ว...นะ ปล่อยเขาไปเห๊อะะะะะะะ
เด๋วแกก็ได้แฟนแถวปั๊ดทะยาแล้วววว...555
2. วิภพเวอร์ชั่น 5 ไม่ต้องเอามาบ่อยนะ...เห็นแล้วมัน...เซ้งเป็ดดด
3. เรื่องของแขกใน blog เราบางคน(ที่เหมือนไม่เป็นมิตร)ถือซะว่า...เขาทำให้ counter เราพุ่งปรี๊ด พุ่งปรี๊ด...ไปดู blog ฉันเด่ะ...เม้นท์ได้ใจมาก ชอบๆ

อันนี้ถึงนุ่น...ข้าม blog กันเลย (หยามนะเนี่ยยยยย)
เอาไว้ฉันจะเม้าท์ให้แกฟังนะ...สุดๆ

นุ่น said...

ได้ๆ จะรอๆ

Anonymous said...

Thanks so much for your writing !! I don't know what is the beat word i can say to you for your kindness.Anyway I 'm always looking at you naaaa ...Cheer up !! Come back home Soon jaaa C ya !! Take care naaa Miz u

Anonymous said...

Thanks so much for your writing !! I don't know what is the best word i can say to you for your kindness.Anyway I 'm always looking at you naaaa ...Cheer up !! Come back home Soon jaaa C ya !! Take care naaa Miz u

Ps: Congratulation !! U r a writer !!

Lukasti said...

อันนี้ประสบการณ์ผมครับ
ถือว่าแลกเปลี่ยนกันอ่านแล้วกันนะครับ

http://lukasti.blogspot.com/2005/10/based-on-true-story.html