Sunday, October 15, 2006

ความหมายของขาลง

ความหมายของขาลง-วิภพ ล้อมเขต

ความเงียบที่แสนจะอึกทึกของเมื่อคืน ส่งผลให้ผมนอนไม่ค่อยหลับ
จะว่าตื่นเต้นก็ไม่ใช่ถ้อยคำทั้งหมดของคำตอบ หากแต่เพียงผมเอ่ยปากบอกใครสักคนที่บ้านก่อนจะออกมาบ้างก็คงดี อย่างน้อยพวกเขาคงคลายบ่วงเชือกของความห่วงใยที่รัดแน่นลงได้บ้าง การถอยห่างจากอ้อมแขนจากผู้เป็นที่รักโดยไม่บอกกล่าว จึงคล้ายเส้นทางเดินอีกเส้นทางหนึ่งที่ผมเลือกเดิน ซึ่งบางครั้งก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ต้องมั่นใจว่าเราจะได้รับสิทธิ์ที่จะเดินกลับเข้ามาในอ้อมแขนนั้นอีก เพราะในห้วงยามของความห่วงใยที่แท้จริงนั้น คนเราหากไม่พลัดพรากก็ไม่สามารถประเมินค่าซึ่งกันและกันได้

พี่ตาซาขับรถมอเตอร์ไซด์ที่เบรกไม่ค่อยอยู่ของแกมาหาตั้งแต่เช้า เมื่อเห็นว่าพวกเรายังไม่พร้อม พี่ตาซาเลยบอกให้ไปเจอกันที่บ้านของแกแทน
ดวงตะวันยามเที่ยงยังคงร้อนแรง และสาดแสงให้เห็นเงาของตัวเองชัดมากขึ้น ในช่วงเวลาที่พวกเราเดินทางออกจากบ้านของพี่ตาซา คณะของเรามีทั้งหมดหกคน ประกอบไปด้วย พี่ตาซา พี่เด่นไผ่ หลง แจ้งและก็ผมซึ่งเป็นคนเดียวที่ไม่มีประสบการณ์ในการเดินป่าเลยสักครั้ง

จากบ้านของพี่ตาซาพวกเราเลือกเส้นทางที่จะเดินตัดเข้าทางป่าไผ่ แทนเส้นทางสายตรงที่ตั้งชันเกือบๆ 45 องศา บางเวลาประสบการณ์ที่ผ่านพ้นไปก็สอนให้เราเรียนรู้ว่า บางครั้งการหลีกเลี่ยงก็สำคัญไม่น้อยไปกว่าการเผชิญหน้า เมื่อเราได้รู้จักกำลังของตัวเอง

การก้มหน้ามองพื้นอย่างเจียมตัว ไม่แหงนหน้ามองยอดเขา เพราะมันจะทำให้เราท้อเมื่อเราเอาขนาดของตัวเองไปเปรียบเทียบกับขนาดของภูเขาที่เราเผชิญหน้าอยู่ จึงไม่ได้เป็นเพียงถ้อยคำที่ผมท่องจนขึ้นใจ แต่กลับกลายเป็นหนึ่งเดียวกับจังหวะการย่างก้าวของเท้า ที่สั้นกระชับกว่าเดิม แต่ยังต้องเผชิญหน้ากับความเหน็ดเหนื่อยเมื่อถูกทดสอบโดยความสูงชันของเขาแหลม

สายน้ำที่ไหลเอื่อยในเดือนมกราคม ยังคงความสดชื่นไว้ให้พวกเราได้ดับกระหาย พวกเราแวะพักตรงน้ำตกเล็กๆ ผมวางเป้ลงข้างๆ เป้ของพี่ตาซาที่ทำมาจากถุงปุ๋ยโดยเจาะรูทั้งสองข้าง แล้วเอาผ้าขาวม้ามาทำเป็นสายสะพาย และใช้เศษยางในของรถมอเตอร์ไซด์มามัดปากถุง

ถ้าจะพูดถึงราคาระหว่างเป้ของผมกับพี่ตาซามันคงเทียบกันไม่ได้ แต่ถ้าหากเป็นความหมายและหน้าที่ เป้สองใบนี้กำลังแบกรับความตั้งใจในการพิชิตยอดเขาแหลมอย่างเท่าเทียมกัน ถึงแม้ว่าเป้ของพี่ตาซาจะได้เปรียบชั่วโมงบินมากกว่าเป้ของผมก็ตาม

พวกเราออกเดินกันอีกครั้ง และธรรมชาติก็บอกให้เรารู้ว่า ยิ่งสูงลักษณะของป่าก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จากป่าไผ่ที่พบเห็นในช่วงแรกๆ มาตอนนี้กลับกลายเป็นป่าเบญจพรรณที่เริ่มมีต้นผึ้ง และต้นไทรให้พวกเราเห็นมากขึ้นแทน แต่บริเวณนี้ก็ยังคงมีฝายทดน้ำของชาวบ้านตามลำห้วยให้ได้พบเห็น เพราะบริเวณนี้ยังคงเป็นบริเวณที่ชาวบ้านยังเข้ามาทำกินอยู่บ่อยๆ และลำห้วยสายนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงระบบชลประทานในหมู่บ้าน
"ปีที่แล้วเราก็ได้น้ำในห้วยนี่ช่วยดับไฟป่า" หลงบอกกับผมเมื่อเห็นผมยืนมองฝายทดน้ำอย่างสนใจ
"ถ้าปีนี้ไม่มีน้ำจะดับยังไง" ผมถามหลง
"ทำแนวกันไฟไงพี่ ใช้ไม้ไผ่มาทำเป็นไม้กวาดคอยกวาดใบไม้สร้างแนวกันไฟ ภาษากะเหรี่ยงเรียกว่า’ราโค่’
"ราโค่เหรอ"
"ใช่พี่ ภาษากะเหรี่ยงเรียกราโค่"

ในขณะที่จังหวะการเต้นของหัวใจคลายความเหนื่อยล้าลง ผมได้ยินเสียงพี่ตาซาตะโกนเป็นภาษาพม่า เมื่อเห็นชาวบ้านสองคนวิ่งหนีพวกเรา ทันทีที่เขาทั้งสองได้ยินเสียงของพี่ตาซาจึงหยุดวิ่งแล้วเดินมายังตรงที่พวกเรานั่งพักอยู่
"ได้ปลาเยอะไหมครับ" พี่เด่นถามพร้อมกับยิ้มให้อย่างเป็นมิตร

ผมมองดูปลาสองตัวในตะกร้าไม้ไผ่ที่สานขัดกันบนหลังของชาวบ้าน ปลาสองตัวกระดิกตัวบ้างเท่าที่ยังมีเวลาเหลืออยู่บนโลกใบนี้
เห็นชาวบ้านทั้งสองคนยืนคุยกับพี่เด่นแล้วนึกเปรียบเทียบกับตัวเอง เมื่อเห็นชาวบ้านทั้งสองอายุเลยวัยกลางคน ผิวกายแห้งเกรียมไปด้วยไอแดดและกาลเวลา อยู่ในชุดแต่งกายพื้นบ้านธรรมดาๆ ที่ไม่ได้บ่งบอกว่าทั้งสองคนจะใส่มันไปเดินป่าได้ ขณะที่เท้ามีเพียงรองเท้ายางแบบหนีบคู่เก่าๆ แต่ทว่าท่วงท่า และจังหวะลมหายใจของเธอทั้งสองกับนิ่งสงบ เมื่อต้องเผชิญความสูงชันของเขาแหลม ต่างจากผมตอนในนี้ ที่มีสภาพไม่ต่างอะไรไปจากหมาหอบแดดตัวหนึ่ง
เมื่อชาวบ้านสองคนนั้นเดินจากเราไปแล้ว ผมจึงถามพี่ตาซาว่าทำไมเขาต้องวิ่งหนีเรา
"เขานึกว่าเราเป็นทหารเลยกลัวถูกจับ ชาวบ้านที่นี่กลัวทหาร ถ้าเข้ามาในป่าแล้วเจอทหารเขาจะวิ่งหนีก่อน"

ผมฟังแล้วก็ได้แต่ขนลุกเพราะเขาแหลมที่เราจะไป ไม่ได้อยู่ห่างจากพื้นที่ลาดตระเวนของทหารพม่าเท่าไรนัก
"แล้วทหารไทยละพี่"
"อย่างมากก็แค่จับไม่น่ากลัวหรอก อีกอย่างโอกาสเจอทหารไทยน้อยมากเพราะไม่ค่อยลาดตระเวนกัน" พี่ตาซาดูมีสีหน้าคลายกังวลขึ้นเยอะเมื่อผมถามถึงทหารไทย
"ซาเปี๊ยะ ถ้าได้ยินคำนี้พี่วิ่งเลยนะ"

พี่ตาซายังคงเรียกผมว่าพี่ทุกครั้งที่พูดคุยกัน ถึงแม้ว่าพี่ตาซาจะมีอายุมากกว่าผมก็ตาม
"มันแปลว่าอะไรหรอพี่"
"มึงตายหรือฆ่ามัน พี่เลือกเอาว่าจะเอาคำไหน" พี่ตาซาบอกผมถึงความหมายของคำว่าซาเปี๊ยะ แล้วผมเองก็ไม่อยากเลือกคำใดคำหนึ่งเลย

ทันทีที่พี่ตาซาส่งสัญญาณให้เดินกันต่อ ผมกระชับเป้ให้แน่นขึ้นเพื่อสู้กับระยะทางเดิน ดวงตะวันเริ่มคล้อยต่ำลงมา และแสงสุดท้ายของวันนี้กำลังจะหมดลง...การเดินทางของพวกเราในวันนี้จึงต้องสิ้นสุดลง ก่อนถึงจุดที่ตั้งใจไว้ว่าจะให้เป็นที่พักแรมในคืนนี้

ห้างเก่าๆ ที่เคยใช่ล่าสัตว์ถูกพวกเรายึดครองเป็นฐานที่มั่นชั่วคราวไปโดยปริยาย อีกอย่างในป่าทึบอย่างนี้ หากเสี่ยงเดินต่อไปพวกเราคงไม่ต่างอะไรนักกับผู้พ่ายแพ้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความมืดมิดของผืนป่าในยามค่ำคืน กองไฟขนาดย่อมจึงลุกโชนขึ้นมาเมื่อมีกิ่งไม้และใบไม้แห้งเป็นส่วนผสม

ขณะกำลังหาประโยชน์จากกองไฟที่ก่อขึ้นนั้น ในทางกลับกันก็ต้องคอยระมัดระวังไม่ให้กองไฟที่พวกเราก่อขึ้นมา ได้หาประโยชน์กับผืนป่าผืนนี้ได้

ระหว่างที่ผมผูกเปลด้วยท่าทางที่เงอะๆ เงิ่นๆ แจ้งเดินเข้ามาถามผมว่า
"เคยนอนเปลกลางป่าแบบนี้ไหมพี่ มาผมผูกให้เอง"

จะว่าไปแล้วตั้งแต่จำความได้เปลสุดท้ายที่ผมนอนแล้วหลับไป คือเปลผ้าที่แม่ใช้กล่อมผมนอนจนถึงอายุสามขวบ ภาพหลังคา หยากไย่ และไยแมงมุมจึงอยู่ในความทรงจำของผมมาตลอด แต่ค่ำคืนนี้ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปตามเงื่อนไขของกาลเวลาที่ไม่เคยต่อรองอะไรได้ หากแต่ว่าในขณะที่หัวใจเงียบเหงา ผมก็ยังอยากลงไปนอนในเปลที่มีเพียงแต่แม่เป็นผู้ขับกล่อมอีกครั้งหนึ่ง

เวลาเดินทางผ่านพวกเราไปตลอด ยิ่งมืดขึ้นเท่าไรความชื้นของผืนป่าก็ยิ่งสูงตามไป เมื่อรู้สึกหนาวมากขึ้น กองไฟก็ถูกเติมกิ่งไม้อีกครั้งหนึ่ง ผมหยิบถุงมือขึ้นมาใส่ เพราะไม่อยากนั่งทนความหนาวไปตลอดค่ำคืนนี้

เสียงกิ่งไม้ในกองไฟปะทุเป็นระยะๆ นอกจากหน้าที่ในการทำให้ข้าวในหม้อสนามเดือดแล้ว กองไฟยังสร้างไออุ่นให้พวกเราได้พักพิง นานแล้วที่ผมไม่ได้นั่งอยู่หน้ากองไฟเช่นนี้ ผมคิดถึงตอนที่นั่งผิงไฟกับแม่ยามอากาศหนาวมาเยือน แม่จะชอบแอบใส่หัวมันลงไปโดยไม่ให้ผมรู้ พอหัวมันสุกได้ที่ แม่ก็จะหยิบขึ้นมาโชว์ผมแล้วถามผมว่า
"เห็นมั๊ยครับว่านี่อะไร"แล้วแม่ก็จะหัวเราะอย่างชอบใจ ที่เห็นดวงตาของผมแฝงไปด้วยความดีใจ

เสียงหัวเราะของแม่ในตอนนั้นทำให้อากาศหนาวหมดความหมาย และกลายเป็นไออุ่นจากแม่ที่เข้ามาแทนที่ แต่สำหรับค่ำคืนนี้ใจของแม่คงร้อนรุ่มมากกว่ากองไฟ เมื่อไม่รู้ว่าลูกชายอยู่ที่ไหน และจะกลับบ้านเมื่อไร หากมีเพียงแต่เธอ หญิงสาวของโชคชะตาเพียงผู้เดียวที่รู้ว่าผมอยู่ที่ไหน แต่เธอก็ทำได้เพียงอวยพรให้ผมเดินทางและกลับมาอย่างปลอดภัย
"เดินทางและกลับมาอย่างปลอดภัยนะ ฉันจะรอคุณ ดูแลตัวเองดีๆ ละ"นั่นคือถ้อยคำผ่านตู้โทรศัพท์สาธารณะที่ผมโทรไปหาเธอ หลังจากที่ผมออกจากบ้านมาโดยไม่ได้บอกใครเลย

เมื่อข้าวในหม้อสนามสุกได้ที่ ไม่นานนัก เสบียงต่างๆ ที่เราเตรียมมาก็ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มตัว ข้าวหม้อสนาม 2หม้อ น้ำพริกอ่อง มาม่าต้มยำกุ้ง กุนเชียงที่ทอดบนฝาของหม้อสนามถูกจัดสันปันส่วนไปตามความหิวของแต่ละคน

พี่ตาซาแบ่งข้าว และกับข้าวบางส่วนใส่ลงในใบไม้ที่เด็ดมา พร้อมกับจุดเทียนปักลงไปแล้วนำไปวางไว้ใต้ต้นไม้ คล้ายกับเป็นการเชิญเจ้าป่าเจ้าเขาให้มาคุ้มครองเราตลอดการเดินทางในครั้งนี้ นี่คือความเชื่ออย่างหนึ่งที่พวกนายพรานปฏิบัติสืบทอดกันมา พี่ตาซาบอกกับผมอย่างนั้น
ตามกำหนดการที่วางไว้ คืนนี้หลังจากกินข้าวเสร็จ พี่ตาซาจะพาเราขึ้นไปซุ่มถ่ายรูปเม่นกัน โดยจุดที่เราจะซุ่มดูเม่นนั้น อยู่ห่างจากที่พักของเราประมาณ 300เมตร

ไม่นานนักปมเชือกที่รัดแน่นของปลายเปลก็ถูกคลายลง เพื่อไปผูกยังต้นไม้ต้นอื่นอันเป็นฐานที่มั่นใหม่ในการส่องดูเม่นได้อย่างถนัดตาจากคำแนะนำของพี่ตาซา
เปลหกเปลถูกผูกไว้กับต้นไม้ คล้ายวงกลมที่โอบล้อมเส้นทางเดินของเม่น โดยที่ไม่มีใครคาดคิดว่า จุดที่ผมผูกเปลนั้น จะเป็นจุดที่อยู่ใกล้รังเม่นมากที่สุด รวมไปถึงเหตุการณ์ต่างๆที่คาดไม่ถึง หากว่าเราต้องเผชิญ แม้กระทั่งพี่ตาซาเองก็ตามที

พูดง่ายๆ ก็คือ ผมเป็นด่านแรก หากว่ามีการปะทะเกิดขึ้น ซึ่งมันก็ทำให้ผมอดหวั่นใจไม่ได้ หากว่าเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ

ผมไม่รู้ว่าเวลาเดินผ่านพวกเราไปนานเท่าไร ระหว่างที่นอนรอถ่ายรูปเม่นอยู่นั้น ผมซึ่งไม่มีหน้าที่อะไรนอกจากการเฝ้ามอง จึงทำได้แต่นอนนิ่งๆ มองดูดาวบนท้องฟ้าอยู่ในเปล โชคดีที่คืนนี้เป็นคืนเดือนมืด ประกอบกับสภาพของป่า เลยทำให้เหมือนคืนเดือนมืดสองคืนในคืนเดียวกัน มันมืดถึงขนาดที่ว่ามองไม่เห็นแม้กระทั่งถุงเท้าสีขาวที่ผมใส่มา หากจะมีแสงสว่างบ้างก็เป็นเพียงแสงจากไฟฉาย ที่พี่ตาซาฉายมาเป็นระยะๆ เพื่อให้สัญญาณกับพี่เด่นเวลาที่เห็นเม่นออกมาจากรัง
เปลของพี่เด่นอยู่ใกล้กับแจ้งเช่นเดียวกับพี่ตาซา ตามมาด้วยไผ่และหลง มีเพียงผมคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้อยู่ใกล้ใครเลยเป็นพิเศษ และเนื่องจากต้นไม้ที่ผมเลือกผูกเปลยังไม่ใช่ต้นไม้ที่โตเต็มไวนัก การขยับตัวแต่ละครั้งจึงทำให้ยอดไม้สั่นไหวอยู่เสมอ

แน่นอนว่าหากไม่สังเกตก็คงไม่มีใครรู้ แต่สำหรับเจ้าบ้านอย่างเม่นที่พวกเรามาซุ่มดู กลับถือว่าเป็นสัญญาณเตือนภัยอย่างดีเยี่ยมจากผู้บุกรุก หนทางเดียวที่ผมทำได้จึงเป็นการสถิตร่างของตัวเองเข้ากับเปลอย่างไม่ไหวติง

นิ่ง สงบ และรอคอย สามอย่างนี้เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้พวกเราพบกับเจ้าบ้านได้มากที่สุด แต่ระหว่างที่นอนรออยู่ก็ได้ยินเสียงของคนสองคนพูดคุยกันดังขึ้นเข้ามาเรื่อยๆ ซึ่งมันคงไม่ใช่เรื่องแปลกใจมากนัก หากว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นเสียงของพวกเรา แต่นี่มันไม่ใช่ และกลับเป็นเสียงของคนอื่นที่ไม่รู้จัก รวมไปถึงจุดประสงค์ในการมา

เสียงที่ดังเข้ามาเรื่อยๆ ทำให้รู้ว่า เส้นทางที่สองคนนั้นเดินเข้ามาคือเส้นทางเดียวกับที่พวกเราซุ่มดูเม่นอยู่ และยิ่งเสียงนั้นเข้ามาใกล้มากเท่าไรก็ยิ่งทำให้พวกเราแน่ใจว่าไม่ใช่เสียงของคนไทยแน่นอน

เมื่อฟังอย่างแน่ใจแล้วว่าไม่ใช่เสียงของคนไทย มันจึงทำให้ผมอดหวั่นใจไม่ได้ว่า เจ้าของเสียงสองคนนั้นอาจจะเป็นทหารพม่าหรือไม่ก็พวกล่าสัตว์ ซึ่งยามค่ำคืนอย่างนี้หากมีอะไรผิดปกติ แน่นอนว่าสองคนนั้นคงไม่ลังเลใจที่จะเหนี่ยวไกปืนเป็นแน่แท้
"ปัง!" เสียงปืนที่ดังขึ้นมาหนึ่งนัดสะกดให้เสียงทั้งปวงในผืนป่าเงียบสงบลงได้ในพริบตาเดียว เหมือนไร้ซึ่งลมหายใจ และถ้าต้องเผชิญหน้ากับเจ้าของเสียงสองคนนั้นจริงๆ ผมเป็นคนแรกที่จะต้องเผชิญกับลูกปืนก่อนคนอื่นๆ

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ร่างทั้งร่างของผมจึงคล้ายสถิตเข้ากับเปลแน่นิ่งมากกว่าเดิมจนลืมหายใจไปชั่วขณะ จะมีส่วนที่ขยับบ้างก็เพียงเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาให้เปลเปียกชื้น ทั้งๆ ที่อากาศตอนนั้นก็หนาวจับใจอยู่แล้ว

เสียงใบไม้แห้งที่อยู่บนพื้นทำให้ผมรู้ว่า มีใครสักคนหนึ่งกำลังเดินมาทางเปลที่ผมนอนอยู่ ผมรู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วคิดว่าหากเป็นพวกทหารพม่า หรือพวกล่าสัตว์ขึ้นมาจริงๆ ผมคงไม่รอดแน่นอน

ในเศษเสี้ยวเวลาระหว่างความเป็นและความตาย ผมจึงถามตัวเองว่า ทำไมผมต้องมาอยู่ตรงนี้ ทั้งๆ ที่ผมเลือกได้ที่จะไม่มา หรือว่าแท้จริงแล้ว นี่คือสิ่งที่โชคชะตาเป็นผู้กำหนด และผมต้องเป็นผู้เผชิญ

ทุกๆ คนต่างก็ตกอยู่ในชะตากรรม และสถานการณ์เดียวกัน แต่ผมเองกับรู้สึกว่าผมกำลังต่อสู้อยู่กับความหวาดกลัวเพียงลำพังมากกว่า ผมหยุดหายใจสวนทางกับน้ำตาของความหวาดกลัวที่ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่คงจะเทียบอะไรไม่ได้เลยกับสายธารของความสูญเสียที่แม่มีต่อลูกชายคนหนึ่ง หากว่าลูกชายต้องหายไป แล้วพรากจากกันชั่วนิรันดร

ก่อนที่ความกลัวจะทำให้ผมคุมสติของตัวเองไว้ไม่อยู่ ผมภาวนาให้พี่สาวของผมที่จากไป เฝ้าปกป้องดูแลผมอยู่ข้างกายไม่ห่าง พลันในใจที่สัมผัสได้ถึงความคุ้มครอง ความหวาดกลัวก็ค่อยๆ จางหายไปพร้อมๆ กับเสียงของสองคนนั้นที่เงียบหายไป รวมไปถึงเสียงของฝีเท้าที่ได้ยิน

เวลาผ่านไปนานพอสมควรจนพี่ตาซาส่งสัญญาณเรียกพี่เด่น ร่างทั้งร่างของผมจึงคล้ายถูกปลดออกจากพันธนาการของโซ่ตรวนแห่งความหวาดกลัว เมื่อพี่เด่นส่งเสียงกระซิบมาเบาๆ ว่า
"ไม่มีอะไรแล้ว ปลอดภัยแล้ว"
เวลาเดินผ่านไปท่ามกลางลมหายใจของผืนป่าที่กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่ง เปลที่ผมนอนอยู่ยังคงชุ่มเหงื่อไม่จางหาย ผมมองดูนาฬิกาเรือนละ150บาทบนข้อมือ ที่บ่งบอกว่าตอนนี้เป็นเวลา 5ทุ่มกว่า จาก1ทุ่มที่พวกเราขึ้นมา และมันก็กินเวลาไปถึง 5ชั่วโมงกว่าๆ ที่พวกเราได้แต่นอนนิ่งๆ อยู่ในเปลโดยไม่ได้เห็นเม่นสักตัว แต่ถ้าเทียบกับร่างกายที่ยังขยับได้ก็ถือว่าคุ้มเกินคุ้ม

เมื่อเห็นว่าหากคอยต่อไปก็อาจเสียเวลาเปล่า และคงไม่ได้ภาพเม่นไปฝากเด็กๆ พี่เด่นจึงชวนพี่ตาซากลับไปยังที่พัก และผมเองก็เห็นดีด้วย โดยมีพี่ตาซาเดินนำหน้าเหมือนเดิม ยิ่งตอนที่ขึ้นมาว่าเป็นทางที่ลำบากแล้ว ขากลับซึ่งต้องเดินท่ามกลางความมืดจึงไม่ต้องคิดเลยว่ามันจะลำบากแค่ไหน

เมื่อไปถึงที่พัก กองไฟที่ขาดฟืนจึงมอดลงอย่างเห็นได้ชัด ทันทีที่กองไฟโชนตัวขึ้นอีกครั้ง เสบียงและสัมภาระต่างๆ จึงถูกสำรวจทันที โชคดีที่ไม่มีอะไรหาย และทุกอย่างก็คลี่คลายลงไปมาก
"สงสัยพวกมันคงไปอีกทางมั้งพี่" แจ้งบอกกับผมแล้วมาช่วยผูกเปลเหมือนเดิม

พวกเราต่างพุดคุยถึงเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้น เสียงของสองคนนั้นที่พวกเราได้ยินนั้นไม่ใช่ทหารพม่า แต่เป็นเสียงของพวกล่าสัตว์ ซึ่งในยามค่ำคืนที่ไม่รู้ว่าใครเป็นใครอย่างนี้ พวกเราก็ไม่ควรเสี่ยงที่จะเปิดเผยตัว ส่วนเสียงฝีเท้าที่ผมได้ยินนั้น แท้จริงแล้วคือเสียงของหมีควายไม่ใช่เสียงเดินของคน โชคยังดีที่มันคงได้กลิ่นคนซึ่งมันเองก็รู้ว่าควรจะหลีกเลี่ยงมากกว่าเผชิญ จึงเปลี่ยนใจเดินไปทางอื่น
"หมีควายเลยเหรอพี่" ผมถามพี่ตาซาเพราะเคยได้ยินความดุร้ายของมันจากพี่เด่นมาบ้าง
"ตัวใหญ่มากไหม" ผมยังไม่หายสงสัย
"ประมาณสองเมตร ถ้าเป็นตัวเดียวกับที่ผมเจอเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว" พี่ตาซาบอกด้วยสีหน้าที่นิ่งเฉย
"แล้วตอนที่พี่เจอพี่ทำไงละ"
"ผมก็วิ่งสิ"
"แล้วถ้าไอ้สองคนนั้นเป็นทหารพม่าละ พี่จะทำไง"
"ผมวิ่งก่อนเลยไม่อยู่ให้มันยิงหรอก" พี่ตาซาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง แล้วก็ไม่มีท่าทีว่าจะพูดเล่นเลยสักนิดเดียว

ท่ามกลางกองไฟที่โชนตัวขึ้นอีกครั้ง และเสียงร้องของเม่นที่ส่งเสียงร้องออกมาให้เราได้ยินเป็นระยะ ระหว่างความเป็นและความตายท้ายที่สุดแล้ว บางครั้งเราก็คงเลือกที่จะเอาตัวรอดมากกว่าช่วยเหลือคนอื่น ผมฟังพี่ตาซาพูดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ
คืนนี้ผมมาทำอะไรอยู่ที่นี่...

สายลมหนาวในเช้ามืดพัดผ่านมาอย่างเอื่อยเฉื่อย
ผมลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งในเช้าวันใหม่ ผืนป่าในยามเช้ากลับมางดงามอีกครั้งหนึ่ง เช่นเดียวกับผมที่มีอายุเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งวัน

พี่เด่นกับแจ้งเดินกลับมาจากไปถ่ายรูปนก ส่วนพี่ตาซานั่งมวนบุหรี่อยู่บนโขดหินข้างๆ ลำธาร ขณะที่ไผ่ยังคงนอนซมเพราะไข้ที่เริ่มขึ้น
หลังอาหารมื้อเช้าผ่านพ้นไป พวกเราออกเดินทางอีกครั้งโดยปราศจากไผ่ ซึ่งขอถอนตัวกลับลงไปเพราะรู้ว่าขืนฝืนเดินไปต่อคงได้ถูกหามกลับลงมาแน่นอน
เมื่อไม่มีไผ่พวกเราก็เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นได้อย่างหมดห่วง พวกเราเดินๆๆๆ แล้วก็เดิน ยิ่งใกล้ยอดเขาแหลมมากเท่าไรความสมบูรณ์ของผืนป่าก็มีมากยิ่งขึ้น สังเกตได้จากระหว่างทางช่วงหนึ่งที่ต้องผ่านบริเวณถ้ำ ที่และทำให้พวกเราต้องค่อยๆ ลอดช่องหินช่องเล็กๆ ไปทีละคน

แจ้งเดินไปวัดความสูงของตัวเองกับขนาดของก้อนหินที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวแจ้งอย่างเห็นได้ชัด และเนื่องจากบริเวณนี้มีลำห้วยเล็กๆไหลผ่าน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะพบเห็นตะไคร่เกาะอยู่ตามก้อนหินต่างๆ เยอะมาก พวกเราจึงอาศัยเส้นทางเส้นประจำของสายน้ำที่ไหลผ่านร่องหินเป็นตัวรับประกันความสะอาด เพื่อดับกระหายอีกทีหนึ่ง

ยิ่งเดินขึ้นไปสูงเท่าไร ต้นผึ้ง และต้นไทรใหญ่ที่มีขนาด 2-3 คนโอบก็เริ่มมีให้เห็นมากขึ้น พี่เด่นชี้ให้ผมดูรอยเล็บของหมีควายที่มาประทับรอยไว้ที่ต้นผึ้งต้นหนึ่ง
"รอยหมีควายไม่ใช่รอยเสือใช่ไหมพี่ตาซา" พี่เด่นถามพี่ตาซาเพื่อความแน่ใจ
"หมีควาย ถ้ารอยเสือต้องเดินไปอีกพักหนึ่ง" พี่ตาซาบอกกับพี่เด่น

ดูจากรอยของกรงเล็บที่ฝากไว้กับต้นผึ้งแล้ว หากโดนเข้าไปเต็มๆ โชคดีอาจแค่สลบ แต่โอกาสตายคงมีมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด ระหว่างเสือกับหมีควายร่องรอยของเขี้ยวเล็บ คงบอกถึงพละกำลัง และความดุร้ายได้เป็นอย่างดี ซึ่งผมก็ยังไม่อยากเจอหมีควายหรือเสือเลยสักตัวเดียว

ทุกครั้งที่ผ่านต้นไทรใหญ่พี่เด่นจะหยุดถ่ายรูปเสมอ เพราะเวลาถึงฤดูที่ต้นไทรใหญ่ออกลูก ที่นี่จะไม่ต่างอะไรกับร้านกาแฟของพวกบรรดาสัตว์ต่างๆ
นกชนิดต่างๆ ที่หาดูได้ยาก บางครั้งก็พบเจอได้ตามต้นไทรใหญ่เหล่านี้ เช่นเดียวกับพญากระรอก ที่กำลังเกาะแน่นิ่งอยู่บนยอดไม้จนเกือบจะอยู่ยอดบนสุด
กล้องส่องทางไกลที่ติดกระเป๋ามาด้วย จึงได้ทำหน้าที่ร่นระยะทางระหว่างผมและพญากระรอก ที่มันเองก็คงรู้ว่ามีสายตาของใครสักคนจับจ้องอยู่ แต่ทว่าปราศจากอันตรายที่จะคุกคามมัน และมันคงรู้ว่าต่างก็เป็นเพียงการผ่านพบที่ไม่ผูกพันกัน มันจึงเกาะนิ่งอยู่ที่เดิมให้ผมส่องดูจนพอใจ

ระหว่างทางที่เดิน พี่ตาซาชี้ให้ผมดูทางแยกทางหนึ่ง หากไม่มีประสบการณ์และความรู้ในชั่วโมงบินที่สูงพอสมควรก็จะไม่มีทางรู้เลยว่า ทางตรงนี้เป็นทางแยกที่สามารถตัดผ่านไปยังทางห้วยเมฆซึ่งเป็นทางที่สามารถเดินต่อไปยังชายแดนพม่าได้
"เดินไกลไหมพี่กว่าจะถึงพม่า" แจ้งถามพี่ตาซาอย่างสนใจถึงแม้ว่าตระกูลของแจ้งจะมีเชื้อสายกะเหรี่ยงก็ตาม
"ถ้าออกเช้าๆ ก็จะไปถึงประมาณ 4โมงเย็น" พี่ตาซาบอกแจ้งพลางเอามีดฟันกิ่งไม้เปิดทางที่เริ่มรกมากขึ้น

พวกเราเดินกันมาได้ไม่นานนักก็พบกับทางที่จะขึ้นไปสู่ยอดเขาแหลมได้แบบเส้นตรง ระหว่างที่นั่งพักแล้วกำลังคุยกับหลงอยู่เพลินๆ อยู่ๆ พี่ตาซาก็ส่งสัญญาณให้เงียบเสียงลง แล้วบอกว่า
"มีคนอยู่ใกล้ๆ แถวนี้ ดูจากรอยเท้าแล้วน่าจะเป็นคนละชุดกับเมื่อคืน"
"พี่รู้ได้ไง" ผมถามพี่ตาซาด้วยความสงสัย
"เขาใส่รองเท้าแบบเดียวกับที่พี่ใส่ พวกเมื่อคืนไม่ได้ใส่รองเท้าแบบของพี่" พี่ตาซาบอกถึงรอยรองเท้าแบบเดียวกันกับผม และวิธีสังเกตร่องรอยที่ช่วยเราได้มากในเรื่องของข้อมูล
"แล้วเขามาดีหรือเปล่าพี่" หลงถามพี่ตาซาแต่พี่ตาซาก็ไม่ได้ตอบอะไร พลางส่งสัญญาณที่มีเพียงพวกพรานเท่านั้นที่รู้กันว่า มาเที่ยวป่าอย่างเดียวไม่ได้มาทำอันตรายใคร

ความตึงเครียดระหว่างสองฝ่ายจึงคลี่คลายลงมากขึ้น เมื่อสองคนนั้นรู้ถึงจุดประสงค์ของพวกเรา สองคนนั้นบอกกับพวกเราที่เดินเข้าไปหาว่า เขาเข้าป่ามาหาหน่อไม้
"หาได้เยอะไหมพี่" แจ้งถามเขาทั้งสอง
"ยังไม่ได้เลยเพิ่งเข้ามาเอง" ชายหนึ่งในนั้นตอบแล้วส่งยิ้มให้ ขณะที่ผมสังเกตเห็นชายอีกคนหนึ่ง ทรุดตัวลงเอาปืนวางกับพื้นก่อนหน้าที่พวกเราจะเดินมาถึงไม่นานนัก

ถ้าไม่โง่เกินกว่าที่คิดก็พอจะเข้าใจได้ดีว่าอะไรเป็นอะไร เช่นเดียวกับพี่เด่นที่รู้ดีว่า ชายสองคนนี้เข้ามาล่าสัตว์มากกว่าหาหน่อไม้ แต่ก็ทำได้เพียงเก็บความรู้สึกที่จงเกลียดจงชังพวกล่าสัตว์เอาไว้ในใจ

หลังจากพูดคุยกับชายสองคนนั้นเสร็จ พวกเราเดินไปหยุดพักยังอีกที่หนึ่งใต้ต้นไม้ใหญ่ เนื่องจากต้องกจัดการกับมื้อเที่ยงทีนี่ก่อนจะขึ้นสู่ยอดเขาแหลมในช่วงบ่าย การหยุดพักบริเวณนี้จึงนับว่าเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมที่สุด

กองไฟกองเล็กๆ โชนตัวขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ไม่ห่างไกลจากลำห้วยเล็กๆ ที่แจ้งเอาขวดน้ำไปเติม ตรงข้างๆ ลำห้วยมีต้นบอนป่าขึ้นอยู่มากมาย อาหารมื้อนี้ของพวกเราจึงมีบอนป่าเป็นส่วนผสมด้วยไปในตัว และหลงเองก็ดูจะกระฉับกระเฉงกับการปรุงอาหารมื้อนี้เป็นพิเศษ ซึ่งพวกเราเองก็ไม่มีใครปฏิเสธเมนูใหม่ๆ ของหลง
เสียงปะทุของกองไฟปะทุดังขึ้นมาเป็นเรื่องปกติระหว่างที่พวกเรานั่งกินข้าว
"ปัง!" เสียงปืนดังขึ้นมาหนึ่งนัดจนทำให้เสียงปะทุของกองไฟเบาลงไปโดยปริยาย
"มันคงหาหน่อไม้ของมันเจอแล้ว" พี่เด่นพูดด้วยสีหน้าที่บึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด แล้วพวกเราก็กินข้าวต่อ ปล่อยให้เสียงปืนนั้นเงียบหายไปกับสายลม

หลังจากกินข้าวกันเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะออกเดินทางกันต่อ พี่ตาซากำชับพวกเราว่าให้เตรียมน้ำให้พร้อม เพราะจากยอดเขาแหลมหากว่าน้ำหมด คงไม่ใช่เรื่องสนุกที่จะต้องเดินลงมาเติมน้ำกันอีก

จากนี้ไปทางที่จะไปสู่ยอดของเขาแหลมจึงเป็นทางที่พวกเราต้องแบกขวดน้ำที่มีน้ำอยู่เต็มทุกขวดไปด้วย และไม่สามารถจะไต่เลาะไปตามตีนเขาได้เหมือนทางที่ผ่านๆ มา การเดินบนพื้นที่สูงชันอย่างนี้ ขนาดของหัวใจจึงสำคัญมากกว่าขนาดของแรงกายที่มีอยู่

พี่ตาซายังคงใช้มีดฟันเปิดทางไปตลอดเวลา ปีที่แล้วเกิดไฟป่าจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะพบเห็นร่องรอยของต้นไม้ที่ถูกไฟไหม้ ยิ่งสูงขึ้นเท่าใดลักษณะของต้นไม้ก็เปลี่ยนไปมากเท่านั้น ต้นไม้บนเขาจึงมีลักษณะใบที่เล็ก และลู่ลมมากกว่าต้นไม้ที่อยู่ข้างล่างเป็นพิเศษ เงื่อนไขแวดล้อมจึงบีบรัดธรรมชาติให้ปรับสภาพเพื่อที่จะดำรงอยู่ต่อไป ผิดต่างกันกับผม ที่ยกมือขึ้นปาดเหงื่อมากกว่าเดิม พลางหันไปมองดูความเขียวขจีอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าเป็นระยะๆ ก่อนที่จะมุ่งหน้าเดินขึ้นสู่ยอดของเขาแหลมต่อไป

ยิ่งสูงยิ่งหนาวหลายคนบอกอย่างนั้น แต่สำหรับผมยิ่งสูงนอกจากจะยิ่งหนาวแล้ว น่าจะเพิ่มคำว่ายิ่งเหนื่อยเข้าไปด้วยมากกว่า ยิ่งสูง ยิ่งหนาว และยิ่งเหนื่อย ผมเองก็ไม่รู้ว่าชะตากรรมใดที่ขับต้อนให้ผมต้องมาเผชิญกับความสูงชันเขาแหลมอยู่ในตอนนี้

การก้มหน้ามองพื้นอย่างเจียมตัวแล้วไม่แหงนหน้ามองยอดเขา เพราะมันจะทำให้เราท้อเมื่อเราเอาขนาดของตัวเองไปเปรียบเทียบกับขนาดของภูเขาที่เราเผชิญหน้าอยู่ จึงถูกท่องขึ้นในใจอย่างเงียบๆ ระหว่างเก้าต่อเก้าบนความสูงชัน ผมขยับปีกหมวกลงบังแสงแดดของดวงตะวัน ที่คล้ายกับส่องแสงต้อนรับผู้มาเยือนอย่างพวกเรา

เมื่อไปถึงยอดเขาแหลม เครื่อง GPS ของพี่เด่น วัดความสูงได้ที่ระดับ 1,030เมตร จากระดับน้ำทะเล ซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุดของเขาแหลมเท่าที่คนจะเดินไปได้ แต่พรุ่งนี้เราก็คงต้องลงมาจากความสูงที่ยืนอยู่ ไม่นานนักพวกเราก็ได้ต้นไม้ที่อยู่ติดกัน 3-4 ต้นซึ่งอยู่ไม่ห่างจากที่ๆ ยืนอยู่เป็นที่ผูกเปลในการค้างแรมยามค่ำคืน
ขณะที่ทุกคนแยกย้ายกันไปสำรวจพื้นที่บนยอดเขาแหลม ผมเองกลับถูกชีวิตอันเหนื่อยล้าระหว่างทางก่อนขึ้นมาบนยอดเขาแหลมขับกล่อมจนหลับคาเปลที่ผูกด้วยฝีมือของตัวเอง รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกทีก็ไม่พบกับใครเลย นอกจากตัวเอง และแสงสุดท้ายของดวงตะวัน

กว่าทุกคนจะกลับมาดวงตะวันก็คล้ายจะลับเหลี่ยมเขาไปเสียแล้ว แต่ก็ยังพอมองเห็นทิวทัศน์ในตอนเย็น จากจุดที่ผมยืนอยู่หากมองข้ามไปอีกหุบเขาหนึ่ง จะเป็นห้วยเมฆที่พี่ตาซาบอกว่าคือเส้นทางที่ใช้เดินไปชายแดนพม่าได้ พี่ตาซาก็ชี้ไปยังหุบเขาอีกหุบหนึ่งที่เมื่อก่อนเคยเป็นที่ๆ กองกำลังกะเหรี่ยง God army เคยอาศัยอยู่ และหากเป็นเมื่อ 3 ปีที่แล้ว เราคงได้เป็นศพก่อนจะได้มายืนอยู่ตรงนี้แน่นอน

ค่ำคืนของความมืดมิดกลับมาเยือนอีกครั้ง พร้อมกับความเย็นยะเยือกที่มีมากขึ้นกว่าเดิม พวกเราเลือกที่ค้างแรมที่ไม่ใกล้ทางลมจากหน้าผามากนัก แต่ประสบการณ์จากความเหน็บหนาวอันเย็นยะเยือกคราวนี้ ก็สอนให้พวกเรารู้ว่า ถ้าผูกเปลให้ห่างทางลมได้มากกว่านี้ก็จะดีมากไม่ใช่น้อย และคนที่ต้านความหนาวของลมไม่ไหวก็คือ พี่ตาซาที่เลือกปลดเปลลงแล้วนอนข้างๆ กองไฟมากกว่า

เปลวไฟเต้นระบำในช่วงเวลาเดียวกันกับที่สะเก็ดไฟลอยละลิ่วหายวับไปกับตา และมีเพียงควันไฟเดินไปส่งจนสุดทาง ก่อนจะเลือนหายไปในอากาศ
ท่ามกลางกองไฟของค่ำคืนนี้ พวกเราทุกคนต่างอ่อนล้าไม่มากหรือน้อยไปกว่ากัน แต่เสน่ห์ของกองไฟยังคงตรึงไว้ซึ่งถ้อยคำของมิตรภาพจากประสบการณ์การเดินทางของแต่ละคน

ตลอดระยะทางที่ผ่านมาผมรู้สึกผูกพันกับกองไฟไปโดยไม่รู้ตัว เศษกิ่งไม้ที่หามาได้ถูกใส่ลงไปในกองไฟทีละกิ่งทีละกิ่ง คงต้องยอมรับว่าคนเดินป่ากับกองไฟเป็นของคู่กัน การล้อมวงอยู่ข้างกองไฟจึงนับว่าเป็นความรื่นรมย์อย่างหนึ่ง แต่สำหรับผู้ที่อยู่เพียงลำพังกับกองไฟกลับกลายเป็นอีกความหมายหนึ่งที่เปลี่ยวเหงา และเขาผู้นั้นคงได้แต่ภาวนาให้ถึงพรุ่งนี้เช้าเร็วๆ แม้ว่าจะเป็นพื้นที่ใกล้กองไฟเหมือนกัน แต่ท่วงทำนองความรู้สึกกลับแตกต่างกันมากเหลือเกิน กองไฟและชีวิตในป่าจึงคล้ายสอนให้ผมรู้จักกับบางส่วนของชีวิตที่ขาดหายไป

ผมเงยหน้ามองดูท้องฟ้า พระจันทร์ในคืนนี้ยังคงตามดาวอยู่ห่างๆ และเรียงร้อยตัวเองให้อยู่ระหว่างช่องว่างของความพอดี ห้วงยามของความหมายจึงคล้ายกับว่า จะนานเท่าใดพระจันทร์ก็ไม่เคยได้ใกล้ชิดดวงดาว หากเพียงแต่ทำได้ดีที่สุดคือ รักษาระยะห่างซึ่งกันและกันไว้ เพื่อให้ได้อยู่เคียงข้างกันไปตลอด ซึ่งบางครั้งจะว่าไปแล้ว ก็ไม่ต่างอะไรกันนักชีวิตคู่ของคนเรา

ความมืดมิดของค่ำคืนนี้งดงามอย่างสง่าและสงบ มีเพียงเสียงปะทุของกองไฟที่นานๆ จะดังขึ้นสักทีหนึ่ง คล้ายๆ กับเป็นเสียงขับกล่อมยามหลับนอน แต่ทว่าผมกลับนอนไม่หลับ ค่ำคืนนี้ของผมจึงยาวนานเป็นพิเศษ และทำได้เพียงนั่งมองกองไฟร่ายรำด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ไม่ไหวติง นานเท่านานแล้วที่ผมไม่เคยรู้สึกสงบเช่นนี้มาก่อน

เมื่อเห็นว่าผมยังไม่หลับ แจ้งจึงลุกขึ้นมานั่งคุยเป็นเพื่อนผมข้างๆ กองไฟ แจ้งเป็นเด็กกะเหรี่ยงโดยเชื้อสาย แต่เกิดและโตที่ประเทศไทยเช่นเดียวกับหลงและไผ่ แจ้งมีทักษะพิเศษมากมายไม่ว่าจะเป็น ซ่อมรถ เล่นดนตรี แต่งเพลง ฯลฯ แต่ที่ดูจะโดดเด่นมากที่สุดก็เห็นจะเป็นทักษะทางด้านการแสดงละครใบ้ ที่ใครได้เห็นแจ้งเล่นแล้วก็จะอดประทับใจไม่ได้
"คนญี่ปุ่นเขาสอนผม โชคดีที่ละครใบ้มันไม่ต้องพูด กะเหรี่ยงกับญี่ปุ่นเลยไม่ต้องตีกัน อีกอย่างผมก็สนใจละครใบ้มานานแล้วด้วย" คนที่ถ่ายทอดละครใบ้ให้กับแจ้งก็มีชื่อว่า ‘ยามาดะ’ นักแสดงละครใบ้ชาวญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง

กองไฟที่ขาดเชื้อเพลิงเริ่มมอดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่แจ้งก็ยังคงเล่าเรื่องราวของตัวเองต่อไป
"อยากเป็นผู้นำ อย่าร้องไห้ให้ใครเห็น" ผมบอกกับแจ้งเมื่อแจ้งบอกถึงความมุ่งหมายของชีวิตในบางอย่าง
ผมเชื่อว่าต่อให้เราเข้มแข็งแค่ไหน เราทุกคนต่างก็ล้วนมีด้านที่อ่อนโยนของชีวิตปิดบังอยู่ หากเพียงแต่ภาระหน้าที่และบทบาทที่ได้รับ กลับบีบบังคับให้เราซ่อนส่วนนั้นลึกลงไปข้างใน

แจ้งเล่าเรื่องทุกเรื่องของตัวเองเท่าที่จะนึกได้ไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องของความรัก หญิงสาวของแจ้งต้องเข้าไปทำงานในเมืองที่ต่างจังหวัด นานๆ ถึงจะได้เจอกันสักครั้งหนึ่ง ประกอบกับเงินค่าโทรศัพท์ที่เสียไปในช่วงแรกๆ คล้ายกับจะเป็นเหมือนสิ่งฟุ่มเฟือยยิ่งนัก เมื่อทั้งสองยังไม่สามารถดูแลตัวเองได้ดีเท่าที่ควร การหาเงินเพื่อมาโทรศัพท์หากันและกัน จึงคล้ายเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่ง แต่ผมเชื่อว่าทุกครั้งที่ทั้งสองต่างได้ยินเสียงซึ่งกันและกัน มันคือช่วงเวลาของความสุข
"แล้วเราทำไงละ" ผมถามแจ้งถึงวิธีสานสายใยที่มีต่อหญิงสาวที่แจ้งรัก
"เขียนจดหมายไงพี่" แจ้งบอกกับผมแล้วยิ้มให้อย่างมีความสุขเมื่อได้พูดถึงหญิงสาวของตัวเอง แล้วถามผมกลับมาว่า
"ถ้าเป็นพี่ละจะทำอย่างไร"

ผมนิ่งเงียบ และนั่งคิดอยู่ชั่วขณะ ระหว่างระยะทางที่แสนไกลของผม และหญิงสาวที่ผมรัก ผมคงเลือกที่จะย่นระยะทางลงด้วยการคิดถึงเธออยู่เสมอ และเพียงหลับตาลงเธอก็จะมายืนอยู่ข้างๆ ผม บางครั้งห้วงเวลา ระยะทาง และตัวตน จึงเป็นเงื่อนไขที่แยกกันไม่ออกในการเข้าถึงความงดงามของเธอ เรื่องราวในโลกของถ้อยคำ และความเป็นจริงนั้น จึงเป็นสิ่งที่ผมควรจะเรียนรู้ แม้ว่าพระจันทร์จะไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดดวงดาวเลยก็ตาม ผมกับแจ้งนั่งคุยกันจนต่างคนต่างหลับไปในที่สุด

คืนเปลี่ยนและวันผ่าน กาลเปลี่ยนปรวนแปร แสงแรกของดวงตะวันกับสายหมอกยามเช้าที่ไล่เลื้อยไปตามภูเขา ทำให้ภาพทิวทัศน์เบื้องหน้าดูนวลเนียนมากขึ้น
เมื่อคืนผมเป็นคนสุดท้ายที่เข้านอน และแน่นอนว่าเช้านี้ผมก็เป็นคนสุดท้ายที่ตื่น
"เป็นไงอากาศดีไหม"พี่เด่นถามผมที่กำลังงัวเงียขึ้นมาชมแสงแรกของวัน

หลังอาหารมื้อเช้า และความมอดไหม้ของกองไฟที่ค่อยๆ ดับลง เมื่อเก็บสัมภาระและเคลียทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว พี่ตาซาพาพวกเราไปยังหน้าผา ตรงจุดที่เป็นมุมที่พวกเรามองเห็นความงดงามจากยอดเขาแหลมได้สวยที่สุด ระหว่างทางที่พวกเราต้องลงไปข้างล่าง มีทางอยู่ช่วงหนึ่งที่เราต้องข้ามไปทีละคนและต้องทำตัวให้แนบชิดกับหน้าผา

ทุกคนผ่านไปหมดแล้ว เหลือเพียงแต่ผมคนเดียวที่กำลังรู้สึกว่าทุกย่างก้าวบนความสูงชันของหน้าผา มันช่างห่างไกลกันเหลือเกิน ผมพยายามทำตัวให้แนบชิดกับหน้าผามากที่สุด เพราะหากตกลงไปคงไม่เหลือเรี่ยวแรงและลมหายใจที่จะปีนขึ้นมาแน่นอน

แต่จนแล้วจนรอด ผมก็ลืมตัวเป็นห่วงกล้องส่องทางไกลที่แขวนอยู่ตรงคอ จนเผลอโก่งตัวขึ้นมา ทั้งๆ ที่มืออีกข้างหนึ่งไม่ได้ยึดเกาะอะไรไว้เลย
เพียงเสี้ยววินาทีหายนะก็ฉุดผมลงไปยังเบื้องล่างของความตาย จนแจ้งที่ยืนรอผมอยู่ข้างล่างร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อเห็นตัวผมครูดลงมา

เมื่อรู้ว่าโอกาสรอดสุดท้ายในชีวิตมีไม่มากนัก ภายในเสี้ยววินาทีนั้นผมจึงตัดสินใจแนบตัวลงกับพื้น เอาขายันพื้นหินด้วยรองเท้าปีนเขายี่ห้อดาวเรืองคู่ละ40บาทที่ซื้อมาจากตลาดนัดกะเหรี่ยง แล้วรีบคว้าแง่งหินที่พอจะจับได้ยึดไว้เพื่อช่วยพยุงตัวอีกทีหนึ่ง

ฉับพลันที่ผมกลับมาเป็นนายของร่างกายอีกครั้ง ผมจึงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วค่อยๆไต่เลาะระดับลงมาอย่างคนหมดสิ้นซึ่งเรี่ยวแรง กล้องส่องทางไกลเป็นรอยขีดข่วนจากการลื่นไถลลงมาของผมอย่างเห็นได้ชัด แต่คงเทียบอะไรกับรอยแผลเป็นในใจของทุกคนไม่ได้ หากว่าผมต้องตกลงไปยังข้างล่างหน้าผาแล้วไม่มีวันกลับมา

หลังจากผ่านพ้นจากเหตุการณ์นี้ไปแล้ว ทุกคนดูจะตกใจในสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะแจ้งที่บอกกับผมด้วยสีหน้าที่ซีดว่า
"ผมนึกว่าพี่จะเสร็จซะแล้ว"
ผมยิ้มให้กับแจ้งและทุกคน แล้วบอกกับแจ้งว่า
"ก็คิดว่าคงไม่รอดเหมือนกัน ดีนะได้ดาวเรืองช่วยชีวิตไว้"
แล้วผมก็ค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งยังโขดหินที่เป็นจุดๆ เดียวกัน หากว่าผมพลัดตกลงมา แต่โชคยังดีที่ตอนนี้ผมยังมีลมหายใจ และบังคับร่างกายให้เดินไปจากโขดหินก้อนนี้ได้

เมื่อได้ผ่านพ้นการคาบเกี่ยวระหว่างความเป็นและความตาย มันจึงทำให้ผมได้เรียนรู้ว่า สติเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในช่วงเวลาเพียงเสี้ยววินาที
ทันทีที่พี่ตาซาส่งสัญญาณให้เดินต่อ ผมถอนใจออกมาเฮือกใหญ่ๆ ขยับเป้บนหลังให้แน่นขึ้น พร้อมๆ กับประสบการณ์ใหม่จากการเดินทางที่ได้เรียนรู้เพิ่มขึ้นมาว่า
การเดินทางมาเยือนภูเขาในแต่ละครั้งไม่ว่าจะที่ไหนๆ ก็ตาม ความหมายมันอยู่ที่ขาลงมากกว่า และถึงแม้การเดินทางจะคล้ายการพลัดพรากอย่างหนึ่ง แต่ผมก็ไม่เคยคิดจะปฏิเสธมัน…

6 comments:

Anonymous said...

เรื่องที่พี่เขียนอยู่ ยังดีสู้เรื่องนี้ของโหน่งไม่ได้อะครับ
เยี่ยมๆ

Anonymous said...

ขอบคุณค่ะที่แบ่งปันประสบการณ์

Anonymous said...

เอ้าไรกัน ยังไม่ถึงจุดสุดยอดเลย กรี๊ด
กำลังลุ้นๆเลยอ่าโด่โห่
ค้างกลางอากาศซะงั้นอ่า

เขียนต่อเลยพี่โหน่ง
ดาวจะได้ม่ะต้องลอยเท้งเต้งอยู่อย่างนั้น
กำลังอินอยุ่เลย ชิๆๆ

-- อ่า คอมเม้นจ้า --
ถ้าให้พุดแล้วเรื่องนี้ก็ไม่เป็นรองจากเรื่องฝนเม็ดแรกเลย อ่านไปเหมือนไปเดินป่าด้วยอีกคน ฮ่าๆ ได้กลิ่นอายของการผจญภัยมากๆ คราวก่อนอ่านแล้วอยากเปนนักเขียน คราวนี้อ่านแล้วอยากเดินป่า 55+พี่พาดาวเคลิ้มไปอีกแล้วนะเนี่ย

ฉากที่ชอบที่สุด คือ ตอนที่กำลังรอส่องเม่นแล้วมีคนมาอ่า ตื่นเต้นมากๆ ที่ว่าพี่ทำให้เงียบ นอนแนบกะเปล คนทางนี้ก็กลั้นหายใจ ตัวแนบกับเก้าอี้เหมือนกัน (เรื่องจริงไม่ได้โม้)ตื่นเต้นได้อีก เนื่องจากตอนที่เล่าว่า ซาเปี๊ยะ ฆ่ามันไม่ก็มึงตาย .. ถ้าเปนพวกนั้นมาจริงๆ คงลุ้นน่าดูเลยอะ แต่เปนหมีก็น่ากัวอยู่ดี .. ชอบๆ ได้อารมณ์มากๆเลย

ส่วนตอนที่กำลังจะตกหน้าผา ดาวจะบอกว่าไม่ค่อยเหนภาพ ใช้คำไม่ค่อยเข้าใจ ดาวพยายามนึกภาพตามแต่มันนึกไม่ออกจริงๆน่ะ ที่ว่าโก่งตัว .. ตอนแรกมันเปนท่าไหนอะ ไม่เก๊ต แล้วโก่งตัวยังไง เหมือนโก่งตูดรึป่าว เอ้อ 555+ (ด้วยความไร้เดียงสา เข้าใจยากก็เงี้ยอะ แหะ)

แล้วก็จบซะงั้น ไม่ยอมที่สุด จุดนี้เคืองมาก ทางที่ดีพี่ควรจะเขียนต่อให้จบนะ 55 รออ่านอยุ่ หุหุ

สรุปรวมๆแล้วเป็นงานเขียนอีกชิ้นที่เปนแรงบันดาลใจให้ดาวอยากจะเขียนอะไรขึ้นมาอีกแล้ว ปลื้มๆ ทำให้เด็กตัวน้อยๆคนนึงอยากที่จะไปผจญภัยบ้าง แต่อย่างว่าล่ะน๊อ ผู้หญิงกะการไปเดินป่า มันห่างไกลกันเหลือเกิน โดยเฉพาะผู้ญที่พ่อแม่หัวโบราณแบบดาว ฮ่าๆ

เปนกำลังใจให้จ้าพี่
แล้วจะรออ่านงานเขียนของพี่อีกนะ
สู้ๆ เขียนต่อซะ หึหึ

Anonymous said...

เขียนดีนะโหน่ง ชอบ
เป็นโหน่งดี ไปเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน
ชอบจ้ะ
แต่ตอนหมีควายเนี่ย ตื่นเต้นมากเลย
ลุ้นไปด้วยคน
กลัวยิง :)

นะ อ่านเรื่องแล้วก็คุ้มค่า
สำหรับกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ

วิภพ ล้อมเขต said...

555 จริงๆ แล้วเรื่องนี้เขียนไว้นานแล้วพี่ มันไม่ใช่เรื่องเดินป่าที่ระนองครับ ขอบคุณที่มาเยือน

นุ่น said...

สนุกดี เขียนได้ยาวสะใจมาก เห็นภาพเลยอ่ะ..
อยากไปเที่ยวบ้างจริงๆ