Tuesday, October 31, 2006

ลอนดอนกับความรักของใคร(สักคน)

บ่ายวันศุกร์เป็นช่วงเวลา และวันที่ผมชอบมากที่สุด ปกติแล้วถ้าไม่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ผมก็จะเปิดเพลงฟังแล้วฮัมตามไปเบาๆ อยู่เสมอ แต่บ่ายวันศุกร์วันนี้ต่างจากทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา เพราะตอนนี้ผมกำลังนั่งรอกาแฟคาปูชิโนร้อนๆ รวมถึงเพื่อนของผมคนหนึ่งที่ชื่อโจ อันเป็นสาเหตุให้บ่ายวันศุกร์ของผมเปลี่ยนไป และเหตุผลที่ทำให้ผมไม่สามารถปฏิเสธได้ก็คือ พรุ่งนี้โจจะไปลอนดอน อย่างที่เคยบอกผมไว้เมื่อสามปีที่แล้วหลังจากเรียนจบใหม่ๆ

ผมนึกถึงค่ำคืนหนึ่งหลังวงเหล้าเลิก โจตบบ่าผมเบาๆ แล้วบอกว่า ผมเป็นหนึ่งในจำนวนน้อยคนที่มันสามารถระบายได้ทุกเรื่อง(แต่ผมเห็นมันระบายเป็นอยู่เรื่องเดียวคือ ความรัก) และวันนี้ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องความรักอีกเช่นกัน

พนักงานร้านกาแฟค่อยๆ วางแก้วกาแฟคาปูชิโนร้อนลงบนโต๊ะ เช่นเดียวกันกับช่วงเวลาที่โจเปิดประตูร้านเข้ามาแล้วเดินมาที่โต๊ะที่ผมนั่งรออยู่ก่อนแล้ว โจหยิบเมนูที่วางรออยู่บนโต๊ะมากางดู ไม่เกินสองนาทีพนักงานก็จดคำว่า ลาเต้ ลงไป

ผมวางแก้วกาแฟคาปูชิโนร้อนของผมลงข้างๆ หนังสือลอนดอนกับความลับในรอยจูบที่โจซื้อมาฝากด้วยเหตุผลที่ว่าชื่อของหนังสือเล่มนี้จะไม่ทำให้ผมลืมว่ามีเพื่อนคนหนึ่งอยู่ที่ลอนดอน ซึ่งก็คือโจในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า

"กูหวังว่ามึงยังคงไม่ได้อ่านนะ และมันคงทำให้มึงคิดถึงกูบ้าง" ครั้งหนึ่งโจเคยบอกกับผมว่าไม่อยากซื้อหนังสือให้ผมเพราะกลัวผมอ่านแล้ว และครั้งนี้ก็คงเช่นกัน แต่เพื่อไม่ให้โจไม่เสียฟอร์ม ผมจึงไม่ตอบอะไรนอกจากยิ้มแทนคำขอบคุณ เพราะผมเคยอ่านแล้วนั่นเอง

ลอนดอนกับความลับในรอยจูบ เรื่องราวของผู้ชายคนหนึ่งที่ปฏิเสธความรักแล้วหนีความรักไปยังอีกสถานที่หนึ่ง และตอนหลังเขาเพิ่งจะเข้าใจว่า เขาไม่เคยหนีความรักพ้นเพราะความรักอยู่รอบตัวเขาตลอดเวลา

ระหว่างพูดคุยเรื่องราวบางเรื่องที่ห่างหายกันไปนานจนไม่รู้จะคุยอะไรกันต่อ โจก็ทำลายความเงียบตรงนั้นลงด้วยการเปิดประโยคคำถามกับผมว่า
"มึงเคยปฏิเสธความรักจากใครมั๊ยวะ"

ผมลองนึกย้อนดูถึงการปฏิเสธความรักที่ผมมีโอกาสน้อยมากที่จะทำเช่นนั้นกับใครสักคนหนึ่งที่มาสารภาพรักกับผม อาจจะไม่ใช่คนหล่อเหลาเอาการ หรือรวยระดับใช้เงินเป็นกระดาษ ตามคุณสมบัติที่พอจะปฏิเสธความรักจากใครสักคนได้ก็ตาม แต่หลังจากนึกย้อนดูดีๆ แล้ว ครั้งหนึ่งในชีวิตผมก็เคยปฏิเสธความรักจากรุ่นน้องคนหนึ่งเหมือนกัน

โจบอกผมว่าผู้หญิงที่โจคบอยู่ในตอนนี้มาบอกว่า รัก แต่เมื่อได้ฟังสิ่งที่ผู้หญิงพูดมาทั้งหมดแล้ว โจก็ปฏิเสธความรักจากผู้หญิงคนนั้นไปทันที อาจจะดูใจร้าย และไม่ใช่ว่าไม่รัก แต่โจก็ให้เหตุผลกับหญิงสาวคนนั้นเฉกเช่นเดียวกับที่ใครหลายๆ คนชอบพูดกันว่า
"เราไม่อยากให้ใคร รอคอยเรา"
"แต่กูก็ยังไม่รู้เลยว่า ไปอยู่ที่นู่นกูจะทำงานอย่างเดียวโดยที่ไม่มีเรื่องความรักเข้ามาได้รึเปล่า" โจเปรยออกมาถึงความคาดหวังในตัวเอง
"แล้วมึงทำไงละในเมื่อผู้หญิงเขาบอกว่า เขาจะรอมึงไม่ว่านานแค่ไหน" ผมถามโจจนโจนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
"ไม่รู้สิแต่ถ้าเขารักกูจริงเขาคงรอกูได้ แต่ถ้ารอไม่ได้เขาจะมีใครใหม่กูก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่พอกูปฏิเสธเขาไป จนถึงวันนี้เขาก็ยังไม่โทรมาหากูอีกเลย" และนั่นคือความกังวลใจอย่างแรกที่โจมี

เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างแจ่มชัดในความเศร้า โดยเฉพาะเรื่องราวของอดีต คนเรามักตัดสินใจเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าด้วยความกังวลใจ แล้วเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมรอบข้างใหม่ทั้งหมดเพียงเพื่อความหวังที่จะทำให้ลืม ใครคนนั้นลงให้ได้บ้างสักนิดก็ยังดี โดยที่ไม่รู้ว่าเรื่องราวของใครคนนั้นที่น่าจะเลือนหายไปกำลังจะชัดเจนขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

โจถอนหายใจยาวๆ ออกมาพร้อมกับมองดูเวลาที่หน้าปัดนาฬิกา เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเสือผู้หญิงอย่างโจต้องถอนหายใจเพราะเรื่องผู้หญิง ผมถามโจว่าที่นัดผมมาวันนี้นี่เป็นเพราะเรื่องนี้ใช่ม๊ย โจยิ้มที่มุมปากก่อนจะคนช้อนกาแฟวนไปทางขวาแล้วบอกว่า ไม่รู้วะ แต่พอได้พูดได้ระบายกับมึงกูก็รู้สึกสบายใจขึ้นเย่อะ หรืออาจจะเป็นเพราะรู้สึกว่าเขาคือคนที่รักกูจริงๆ ก็ได้มั้ง เลยทำให้กูเป็นอย่างนี้ ระหว่างความรัก และโชคชะตา สองสิ่งนี้ไม่มีใครบอกได้ว่าความรักหรือโชคชะตาที่เล่นตลกได้แนบเนียนมากกว่ากัน…

นั่นคือเรื่องราวที่ผมกับโจเคยพูดคุยกันในร้านกาแฟเล็กๆ ร้านนี้เมื่อ 4 ปีที่แล้ว

โจเพิ่งกลับมาถึงเมืองไทยเมื่อวาน แล้วนัดผมมาที่ร้านกาแฟร้านเดิมอีกครั้งหนึ่งทันที ผมกลายเป็นผู้ฟังไม่สิ ต้องเรียกว่าที่ระบายเหมือนเช่นเคย เรื่องราวของชีวิต ประสบการณ์ในต่างแดน ต่างเชื้อชาติ ต่างภาษา ถูกโจถ่ายทอดออกมาเหมือนละครฉากหนึ่ง ยกเว้นเพียงเรื่องเดียวที่แทบจะไม่ได้ออกจากปากของโจคือเรื่องผู้หญิง และเมื่อผมเอ่ยปากถาม โจก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเล่าเรื่องของผู้หญิงที่มาบอกรักโจเมื่อ 4 ปีที่แล้วให้ฟังว่าที่ กลับมาเมืองไทยครั้งนี้ก็เพราะเธอ

ตั้งแต่ไปอยู่ที่ลอนดอนนอกจากงานแล้วสิ่งเดียวที่ตามหลอกหลอนโจอยู่ตลอดเวลาคือคำว่า รัก จากผู้หญิงคนนั้น จนคืนหนึ่งโจก็บอกกับตัวเองว่า แท้จริงแล้วตัวเองก็รักหญิงสาวคนนั้นเหมือนกัน และวันหนึ่งหากโจกลับมาเมืองไทยแล้วเธอยังรอโจอยู่ โจจะคลุกเข่าขอเธอแต่งงานทันที

ผมนั่งฟังโจเล่าด้วยอาการที่ตื่นเต้นผิดกับโจที่นิ่งเฉยไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา นอกจากแววตาที่เงียบเหงา น้ำตาที่เอ่อล้นออกมาจากสองตาอาจทำให้โจมองเห็นผมอย่างพร่าเลือน โจบอกว่าก่อนที่โจจะกลับมาได้สองอาทิตย์หญิงสาวคนที่มาบอกรักโจประสบอุบัติเหตุและเสียชีวิตลง จนทำให้กลายเป็นการลาจากกันชั่วนิรันดร์ ของโจกับเธอ ทั้งๆ ที่พรุ่งนี้โจจะไปบอกเธอว่า โจรักเธอ พร้อมทั้งความตั้งใจที่จะขอเธอแต่งงาน

อาจจะดูเหมือนช้าจนสายเกินไป แม้เธอจะไม่ได้ยินสิ่งที่โจพูด และตอบรับรักโจอย่างที่โจต้องการ แต่ผมก็เชื่อว่าเธอคงรับรู้ในความรู้สึกที่โจมีต่อเธอ ผมนั่งฟังโจพูดโดยไม่ได้พูดปลอบหรือแนะนำอะไรโจเหมือนเช่นวันก่อนๆ ที่เคยเป็นมา

พนักงานเสริฟขออนุญาตเก็บแก้วกาแฟที่ว่างเปล่าบนโต๊ะของเราสองคนออกไป แล้วเหลื่อไว้แต่เพียงความว่างเปล่าบนโต๊ะที่เป็นความจริง ใบไม้นอกร้านกาแฟเล็กๆ ที่เราสองคนนั่งอยู่ปลิดปลิวไปตามสายลม

ผมนึกถึงประโยคหนึ่งที่เคยได้ยินเกี่ยวกับความรักที่ว่า จงอย่าไขว่คว้าหารัก แต่ให้รักตามหาคุณ และเมื่อรักหาเราจนพบ เราก็มักจะปฏิเสธความรักเสมอ โดยเฉพาะในคราวที่เรียกกลับมาไม่ได้…

6 comments:

Anonymous said...

เรื่องจริงหรือเรื่องแต่งฟระ มะโหน่ง
ถ้าเรื่องแต่ง นางเอกตายน่ะ เน่าชิบเป๋ง
ถ้าเรื่องจริง ก็เน่าเหมือนกัน
แต่สงสารพระเอก

เรื่องจริง เน่าได้
ไม่ต้องสมจริงก็ได้ เพราะมันเป็นความจริง ใช่มะ
เรียบเรียง เล่าเรื่องดี
แม้พล็อตจะมีกลิ่นนิดนึงก็ตาม
เอ็งจับรายละเอียดขนาดคนกาแฟไปทางขวาซ้ายเลยหรือนี่ เนี่ย พี่ยังไม่รู้ตัวเลยนะ ว่าชอบคนไปทางไหน

วิภพ ล้อมเขต said...

อ๊ะๆๆๆ ให้เดา...

Anonymous said...

พี่โหน่ง


ดูๆไปเรื่องนี้เหมือนเอมวี


"พีชเมคเกอร์นะเพ่"


เส้าชิ๊บเป๋งเลย!!

Anonymous said...

อ่านแล้วโหน่ง
เขียนดีเหมือนเดิม
พี่ว่าถูกแล้วที่โหน่งบอกว่าตัวเองเหมาะกับเรื่อง
แบบนี้มากกว่าเรื่องเพื่อชีวิต
เป็นเพราะวัยด้วยแหละมั้ง

เขียนดีครับ ชอบ
จะแข่งเป็นเจ้าพ่อโรแมนติกกับพี่ปรายหรือไง
คิคิ

Anonymous said...

เศร้าดีจัง 55+
แอบหลงเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงนะตอนแรก
แต่อ่านไปอ่านมา
ชักสงสัยบ้างแล้วดิ -*-

มันเน่าเกิ๊น 5555+

คิดถึงพี่ชายคะ

Anonymous said...

ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง คนอ่านคนนี้ก็เศร้าใจไปกับโจ ความรักเป็นได้ทุกอย่างจริงๆ ความสุข ความเศร้า ความทรงจำ .......

ถ้าเป็นเรื่องจริง ก็ขอให้โจได้พบกับความรักครั้งใหม่ได้ ในเวลาที่เขาพร้อม

ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง