Saturday, November 04, 2006

แม่ และถุงเงิน

แม่ และถุงเงิน-วิภพ ล้อมเขต

เพื่อนคนหนึ่งโทรมาถามผมว่ารู้จักหมาพันธุ์สปิชไหม มันอยากจะซื้อให้แฟนเพราะแฟนอยากได้ ผมบอกมันว่า รู้จักและก็รู้จักดีมากว่าหน้าตาหมาพันธุ์สปิชเป็นอย่างไร

ย้อนกลับไป 5 ปี ข่าวรถทัวร์กรุงเทพ-ชุมพรพลิกคว่ำ ทำให้ผมรู้สึกไม่สบายใจ

เข็มนาฬิกายังคงทำหน้าที่ของมันในช่วงเวลาเดียวกันกับที่ผมรอแม่กลับมา แม่ไปกรุงเทพเมื่อสามวันที่แล้ว และบอกว่าอีกสามวันจะกลับ ถ้ายังไม่หลับรอเปิดประตูให้แม่ด้วย ผมรับปากแม่ถึงแม้แม่จะไม่บอกผมก็รอแม่อยู่ดี เพราะเรามีกันอยู่แค่สามคนถ้านับรวมพี่สาวที่ไปอยู่กรุงเทพ และนั่นก็คือเหตุผลหลักๆ ที่แม่ไปกรุงเทพคราวนี้

"ช้าจังเลย" ผมพูดกับตัวเองออกมาด้วยความเป็นห่วงแม่ที่เลยเวลากลับบ้านมานานพอสมควร

แต่สักพักความเงียบในค่ำคืนนี้ก็ทำให้ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครสักคนหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามา ผมจึงรีบเดินไปเปิดประตูเพราะคิดว่าเป็นแม่ แต่กับกลายเป็นเพื่อนของแม่ที่มาดูว่าแม่กลับมาหรือยัง

"ถ้าแม่มาก็บอกว่าน้ามาหาแล้วกัน" เพื่อนของแม่เดินกลับไปแล้วแต่ความกังวลของผมยังคงอยู่

ความเงียบยังคงอยู่พร้อมๆ กับการรอคอย แต่ทุกอย่างก็คลี่คลายเมื่อมีใครสักคนหนึ่งมาเคาะประตู

แม่! ผมอุทานในใจ แล้ววิ่งไปเปิดประตู

"ว่าไง แม่ว่าแล้วว่าลูกยังไม่นอน"
แม่กลับมาในสภาพมือข้างหนึ่งถือกระเป๋าใบใหญ่ และมืออีกข้างหนึ่งอุ้มลังใบเล็กๆ
"รถทัวร์คว่ำนี่แม่ ลูกก็นึกว่าเป็นอะไรไปหรือเปล่า"
"ใช่ รถติดมากเลย แม่เลยมาถึงบ้านช้า แต่โชคดีนะไม่ใช่คันที่แม่นั่งมา"

แต่สิ่งที่ทำให้ผมดีใจพอๆ กับการได้เจอแม่คือเสียงลูกหมาที่ปีนขอบกล่องที่แม่อุ้มขึ้นมามองผมและเห่า แม่บอกว่าแม่แปลกใจมากเพราะตลอดทางที่กลับมาไม่ได้ยินเสียงเห่าสักนิดเดียว แต่ตอนนี้มันทั้งเห่าและกระดิกหาง และตะกุยลังเพื่อที่จะปีนออกมา

ผมอุ้มมันขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม
"ไหนแม่บอกจะไม่เลี้ยงหมาแล้วไง"

ครั้งหนึ่งแม่เคยพูดกับผมไว้เป็นข้อตกลงว่านอกจาก(ไอ้)ดี้แล้ว บ้านเราจะไม่เลี้ยงหมาอีก แต่คราวนี้กับเหมือนคำสัญญานั้นถูกยกเลิกไปอย่างง่ายดาย คืนนั้นทั้งคืนผมไม่ได้นอนเพราะลุกหมาตัวนั้นจะคอยงับหูผมทุกครั้งที่ผมหลับตาแล้วนอนนิ่งๆ แต่สุดท้ายมันคงซนจนเหนื่อยเลยค่อยๆ เดินมาซุกตัวลงนอนข้างๆ ผมแล้วหลับไป ลุกหมาตัวเล็กๆ บางครั้งก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่ง

ตอนเช้าแม่บอกผมว่าแม่จะตั้งชื่อให้มันว่าถุงเงินพร้อมๆ กับถามผมว่าคิดหรือยังว่าจะตั้งชื่อว่าอะไร
"ถุงเงินก็ได้นะแม่ เวลาเรียกจะได้เหมือนเรียกเงินเข้าบ้าน" ผมพูดติดตลกไปพร้อมๆ กับเสียงหัวเราะของแม่ แล้วหันไปเรียกถุงเงิน
"ถุงเงิน" ถุงเงินกระดิกหาง ลุกขึ้นจากที่นอนอยู่วิ่งเข้ามาหาผมเหมือนจะรู้ตัวว่าตัวเองชื่อนี้

ถุงเงินเป็นหมาพันธุ์สปิช เพศเมีย ตัวเล็กๆ ใจดีเป็นที่หนึ่ง ผมเคยเห็นถุงเงินเอาขาเขี่ยแมลงสาบที่นอนหงายท้องให้พลิกตัวกลับมาได้แล้วไม่ได้ไล่ตะครุบเหมือนหมาตัวอื่นๆ หรือไม่เวลาที่ถุงเงินทำอะไรผิดแล้วผมเงื้อมือจะตี ถุงเงินก็จะนอนหงายท้องทำท่าเหมือนยอมแพ้ตลอด แม้จะใช้ได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง แต่ผมก็มักจะใจอ่อนตีไม่ลงเสมอ

ตั้งแต่ถุงเงินมาอยู่ที่บ้านกับพวกเรา ตลอดเวลาถุงเงินเปรียบเสมือนเงาตามตัวผมเสมอ เวลาผมไปไหนมาไหนถ้าไม่ไกลบ้านนักถุงเงินเป็นจะต้องเดินตามผมเสมอ วันไหนถ้าไม่เห็นถุงเงินก็จะเป็นอันรู้กันว่าวันนั้นผมหนีถุงเงินมาเพราะกลัวถุงเงินจะถูกรถชน ไม่ใช่ว่าเพราะรำคาญถุงเงิน แต่น้อยครั้งเหลือเกินที่ผมจะหนีถุงเงินได้และทุกครั้งต้องจบด้วยการอุ้มถุงเงินเดินอยู่ข้างถนนเสมอ เพราะถุงเงินจะใช้วิธีดมกลิ่นแล้วตามหาผมเจอในที่สุด แม้บางครั้งจะต้องแลกกับการถูกดุ แต่ถุงเงินก็จะมีวิธีหลบเลี่ยงด้วยการเดินไปแอบอยู่ข้างหลังแม่เสมอ ยกเว้นก็เวลาที่ผมไปโรงเรียน ถุงเงินจะไม่เดินตามแต่กลับนอนรออยู่หน้าบ้านเพื่อที่จะกระดิกหางแล้ววิ่งมาหาเวลาผมกลับมา

วันเวลายังคงทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเที่ยงตรง ถุงเงินตัวโตขึ้นแต่ก็ไม่ใช่หมาที่ตัวใหญ่อะไรมากนัก และกลายเป็นส่วนหนึ่งของผมกับแม่ไปอย่างกลมกลืน ทุกครั้งที่แม่ไปตลาด แม่จะชอบซื้อไก่ทอดมาสับให้ถุงเงินกินเสมอ ถุงเงินกินอะไรดีๆ เกินกว่าหมาตัวหนึ่งจะได้กินตลอด

เมื่อชีวิตของเด็กมัธยมสิ้นสุด และเหตุผลทางการศึกษาที่ทำให้ผมต้องเข้ามาเรียนที่กรุงเทพทำให้ผมต้องย้ายไปอยู่กับพี่สาว เหลือเพียงถุงเงินที่อยู่เป็นเพื่อนแม่ที่บ้าน
"ไปเรียนเถอะลูก มีถุงเงินอยู่แม่ไม่เหงาหรอก ใช่มั๊ยถุงเงิน" ถุงเงินกระดิกหาง แต่ก็ดูไม่ร่าเริงเหมือนครั้งก่อนๆ ผมยังจำคำพูดของแม่ และถุงเงินในวันนั้นได้เสมอ
วันที่ผมต้องไปขึ้นรถเพื่อเข้ากรุงเทพ ผมเดินสะพายกระเป๋าที่หอบเอาความหวังของแม่ติดหลังไปด้วย ถุงเงินเดินตามผมมาห่างๆ แม้ก่อนออกจากบ้านผมจะบอกถุงเงินว่าให้เฝ้าบ้านและอยู่เป็นเพื่อนแม่ก็ตาม แต่ครั้งนี้ดูเหมือนถุงเงินจะไม่ฟังในสิ่งที่ผมพูด

"ไปไม่ได้นะ กลับเข้าบ้านไปอยู่เป็นเพื่อนแม่เลย ไปไม่นานนะเดี๋ยวก็กลับ" ผมเอามือลูบถุงเงินที่เงยหน้ามามองด้วยสายตาเศร้าๆ กระดิกหาง เหมือนมันรู้ว่าครั้งนี้ผมจะไปนานกว่าทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา ถุงเงินเดินไปนอนหมอบใต้โซฟาหน้าบ้าน ในขณะที่ผมพยายามไม่หันมามองถุงเงิน แล้วยกมือไหว้แม่เพื่อไปขึ้นรถ

ตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงเทพ แสงสี เสียง ห้างสรรพสินค้า ความเจริญ เพื่อน ชีวิตที่ไม่มีการตีกรอบ ทำให้ผมลืมเรื่องถุงเงินไปเสียสนิทใจ แต่ทุกครั้งเวลาโทรไปหาแม่ พอแม่บอกว่า ถุงเงินมันนอนรอผมอยู่ที่เดิมผมก็จะเกิดความรู้สึกอยากกลับบ้านเสมอ แต่ความรู้สึกกลับบ้านก็กลายเป็นเรื่องเดิมๆ ที่เกิดขึ้นจนผมไม่รู้สึกอะไร จนเมื่อแม่โทรมาผมถึงรู้สึกว่า วันหยุดสามวันที่ผ่านมา ผมน่าจะกลับบ้านมากกว่าไปเที่ยวทะเลกับเพื่อนๆ

แม่บอกผมว่า ถุงเงินตายแล้ว ผมฟังแม่พูดแล้วก็อึ้ง เพราะแม่ร้องไห้ออกมาเมื่อพูดถึงถุงเงิน รู้สึกตัวชาไปทั้งตัว แล้วแม่ก็วางสายโทรศัพท์ไปเพราะเสียงร้องไห้ที่แม่คงไม่อยากให้ผมได้ยิน

ผมรีบโทรกลับไปหาแม่ ถามแม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับถุงเงิน แม่ยังคงยืนยันคำพูดเดิมว่าถุงเงินตายแล้ว เพราะถูกรถทับตายตรงหน้าบ้าน ตรงที่ๆ ถุงเงินชอบมานอนรอผมเวลาผมไปโรงเรียน

แม่เล่าให้ผมฟังทั้งน้ำตาว่า ตั้งแต่ผมไปเรียนที่กรุงเทพ ถุงเงินชอบมานอนรอผมที่หน้าบ้านเสมอ พอเห็นว่าผมไม่กลับมาจริงๆ ก็จะเดินเข้าไปนอนในบ้านเป็นอย่างนี้ทุกวัน จนแม่ต้องคอยหาขนมหรือไก่ทอดมาล่อ ผมรู้ว่าแม่เสียใจมาก เพราะนอกจากถุงเงินแล้วที่บ้านก็ไม่มีใคร มีเพียงแม่คนเดียวตามลำพัง

แม่บอกว่าตอนที่ถุงเงินโดนรถทับ แม่ได้ยินเสียงคนข้างบ้านตะโกนโวยวายบอกว่าถุงเงินโดนรถทับ ตอนนั้นแม่อยู่ในครัวจึงรีบวิ่งมาที่หน้าบ้าน แม่บอกว่าถุงเงินมันคลานเข้ามาหาแม่เพราะรถทับไปบนตัวทำให้เดินไม่ได้ และมีเลือดออกมาก แม่รีบอุ้มถุงเงินขึ้นมากอด พร้อมๆ กับที่ถุงเงินกระดิกหางและร้องด้วยความเจ็บปวด แล้วก็สิ้นใจคาอ้อมกอดของแม่

หากย้อนวันเวลากลับไปได้ ผมอยากใช้วันหยุดทั้งสามวันนั้นกลับบ้านไปหาถุงเงิน แต่ทุกอย่างก็ดูจะสายเกินไป ผมร้องไห้ออกมาเมื่อแม่พูดว่า แม่จะไม่เลี้ยงหมาตัวไหนอีกแล้ว ผมรู้ว่าแม่ไม่ได้หมายความถึงการเป็นภาระ แต่แม่หมายความถึงการไม่อยากสูญเสียสิ่งที่ตัวเองรักไปอีก เพราะแม่รักหมามาก มากพอที่ไม่เคยคิดจะคิดว่ามันเป็นแค่หมาตัวหนึ่ง

ผมยังจำตอนที่เวลาถุงเงินทำอะไรผิดแล้วผมเงื้อมือจะตี ถุงเงินก็จะนอนหงายท้องทำท่าเหมือนยอมแพ้ได้เสมอ ยังจำภาพที่พาถุงเงินไปหาหมอ เพราะมันเห่าขอนมเปรี้ยวที่ผมกินอยู่ จนถุงเงินท้องเสียเมื่อผมให้กินนมเปรี้ยว ยังจำภาพที่ถุงเงินนั่งรอผมอยู่หน้าบ้านเวลาผมไปโรงเรียน และกระดิกหางวิ่งเข้ามาหาเมื่อผมกลับมาถึงบ้าน

ผมยังจำประโยคสุดท้ายที่พูดกับถุงเงินก่อนจะขึ้นรถไปกรุงเทพ และยังจำเสียงเห่าของลูกหมาตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งที่แม่อุ้มมาในคืนนั้นได้เสมอ…แม้ว่าภาพนั้นจะกลายเป็นความทรงจำที่ไร้ลมหายใจ

18 comments:

Anonymous said...

สงสาร... T_T ถุงเงินอ่ะ..

ปุถุชน said...

กูเคยอ่านแล้วเรื่องนี้

กูอ่านเรื่องนี้เคยแล้ว

กูเคยอ่านเรื่องนี้แล้ว

แล้วกูเคยอ่านเรื่องนี้

แล้วเรื่องนี้กูเคยอ่าน

เคยอ่านแล้วกูเรื่องนี้

เรื่องนี้แล้วกูเคยอ่าน

อ่านแล้วกูเรื่องนี้เคย

คิ คิ

Anonymous said...

เนื้อหาเรื่องราวยังคงชวนให้อ่านจนบรรทัดสุดท้าย เหมือนเดิม

Anonymous said...

อ่านแล้วคิดถึงน้องหมาที่บ้านจังเรยอ่า T^T

ไม่อยากจะเลี้ยงหมาเหมือนกัน

เพราะไม่อยากเสียใจ เวลาต้องสูญเสียมันไป

แต่ก็อดใจ ไม่ไหว เลี้ยงทุกที ตอนนี้ได้มาอีก

2 ตัวแล้ว เก็บมาเลี้ยง ชื่อน้อง ภูเขา กะ ทะเล

..........................

มาเม้นท์ให้แร้วน๊าค๊า

Anonymous said...

เสียใจด้วยนะ...มันเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต สิ่งที่เรารักมักจะอยู่กับเราได้ไม่นานเท่าที่เราอยากจะให้อยู่ เพราะฉะนั้นเราก้อควรที่จะทำทุกๆอย่างเพื่อคนที่เรารัก สิ่งที่เรารักให้ได้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้...โชคดีจ๊ะ

Anonymous said...

เวลาที่ผู้ชายเขียนถึงเรื่องหมา
มักเขียนถึงหมาของแม่

ไม่รู้เป็นอะไรเท่าที่ลองสังเกตุดูนะ
ล่าสุดอ่านของพี่กนกพงศ์

Anonymous said...

เขียนดีนะ
อ่านแล้วรักหมาขึ้นเยอะเลย
สงสารแม่เอ็ง
แล้วก็หมั่นไส้เอ็งอ่ะ haha
หลงแสงสีจนลืมถุงเงิน

พี่ไม่เคยเลี้ยงหมาสักตัวเลยในชีวิตเลย
ไม่อยากสร้างความผูกพันว่ะ :)

Anonymous said...

เขียนดีนะพี่

มีช่วงตื่นเต้น ช่วงเดินเรื่องธรรมดา

ดูๆไปถุงเงินนี้ก็เหมือนหมาเป็นนางเอกนะ

ชอบช่วยเหลือ แต่ขนาดเป็นหมายังดีขนาดนี้เลย

แหม น่าขอแต่งงานจิงๆ ไมไม่เกิดเป็นคนน้า

Anonymous said...

อ่านแล้วนึกถึงหมาที่บ้านมากๆเลย
ล่าสุด หมาแถวบ้านเพิ่งตายไป โดนยาเบื่อ น่าสงสารมาก เฮ้อออ....

คนขับรถชนถุงเงินเค้าแสดงความเสียใจไรมั่งป่าวอะ
คนใจร้ายย หยั่งงี้มันต้องตายยย!!

นุ่น said...

เศร้าว่ะโหน่ง
นี่คืออีกเหตุผลที่กูไม่เลี้ยงหมา ^-^

Anonymous said...

การดำเนินเรื่องเฉื่อยไปหน่อยนะ จุดพีคของเรื่องยังบรรยายไม่ได้อารมณ์เท่าที่ควร เหมือนไม่ได้ออกมาจากข้างในตัวละครจริง ๆ แต่เป็นการออกมาจากหัวของคนเขียนแทน ทำให้ดูเรื่องไม่เศร้ามาก

และก็มีบางประโยคอ่านแล้วมันยังไงไม่รู้ อย่าง ผมยังจำคำพูดของแม่ และถุงเงิน (เออ หมามึงนี่พูดภาษาคนได้ด้วยเหรอวะ)

มึงไม่คิดจะเล่นคำบ้างหรือไง ไอ้คำว่า "กระดิกหาง" เนี่ย เป็น "หางกระดิก" บางก็ได้ อ่านมาทั้งเรื่อง กระดิกหาง อย่างเดียวเลย อีกคำหนึ่ง "เสมอ" มีคำไหนบ้างที่มีความหมายเดียวกัน จะได้หลากหลายในการใช้หน่อย คือมึงจะ "เสมอ" ไปถึงไหน

เรื่องหมาพันธ์สนิปอะไรเนี่ย ช่วยอธิบายรูปร่าง หน้าตา มันหน่อยก็ดีนะ คือบางคนที่ไม่รอบรู้เรื่องหมาอย่างกูเนี่ย นึกหน้าหมาไม่ออก(เลยใส่หน้ามึงลงไปแทน อิอิ)

มีจำพวกคำฟุ่มเฟือยอยู่บ้างนะ หากลองเกลาเสียใหม่คงจะกระฉับขึ้น

เออกรุงเทพเนี่ยมี แสงสี เสียงและความเจริญ ใช่กูไม่เถียง แต่(ห้างสรรพสินค้า)เออที่ไหนก็มีไม่ใช่เหรอวะไอ้ห้างเนี่ย สงสัยวะหากที่อื่นในประเทศไทยไม่มีห้างคงทำให้กูรู้สึกได้ว่ามีที่เดียว ก็ว่าไปอย่าง หากมึงเขียนให้มันยิ่งใหญ่กว่าห้างปกติที่มีกันเกือบทั้งประเทศ ก็ดีกว่านะลองดู

กูมีเท่าศอก เอ้ย เท่านี้แหละ เขียนต่อไปโว้ยไอ้น้อง

เจ้าชายนิทรา(มาอ่านช้าไปหน่อยมัวแต่นอน เอิ๊ก)

Anonymous said...

พี่โหน่ง

เศร้าอ่ะ อยากร้องไห้ แต่ต้องได้แค่คลอๆ

เพราะอ่านที่หอสมุดอ่านเค้า

เดี๋ยวมีคนว่าบ้า :)

Anonymous said...

ลืมประกาศไป ว่าที่พี่แฟน ประกาศขายชิสุ 2 ตัว 1,000 / ตัว ใครสนใจติดต่อผ่านมะโหน่งได้ แล้วมะโหน่งติดต่อพี่นะ---โฆษณากันเห็นๆ

Anonymous said...

ขอโทดคะที่มาเม้นช้าไป ช่วงนี้ธุรกิจรัดตัวสุดๆ

งานเขียนพี่ก็ยังสุดยอดในใจดาวเหมือนเดิม
ตอนนี้นั่งเรียนอบรมแมคอินทอชอยุ่ เบื่อๆ
เลยมีเวลาได้เข้ามาอ่านดู

แอบน้ำตาคลอ ..

ถุงเงิน ..
ไก่ทอดสับ..
... หิว

Anonymous said...

มาออฟฟิศได้แล้วม้างงงงงงงงงงงงงงง...ฮือๆๆ ไม่มีใครให้ระบายอารมณ์(โกรธ)

Anonymous said...

เมื่อไหร่แกจะเขียนเรื่องใหม่ซะที จากพี่คนนั้นเอง

Anonymous said...

แล้วตอนเตะถุงเงินไม่เห็นเขียนวะโหน่ง ล้อเล่น
อ่านแล้วน้ำตาคลอ
อย่างน้อยก็ยังมีสิ่งที่มีค่า เหลืออยู่ สุ้ๆ

Anonymous said...

จากพี่คนนี้ (เจ้าของแกรม)

อ่านแล้วคิดถึงแกรมชะมัด
คนเลี้ยงหมา
พอหมาตายเเล้วเศร้าโคตรเนอะ
แต่ก็ยังเลี้ยง
เพราะมัน รัก(เจ้าของ)ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง
เพราะมันไม่เคยนอกใจเรา
เพราะมันไม่เคยบ่น
เพราะ....
เพราะ...
เพราะ..
เพราะ.
และเพราะเรารักมันมาก จนไม่อยากให้มันจากไป
ถึงจะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ก็เถอะ