Wednesday, February 14, 2007

เรื่องของนกกระจอกกับความทรงจำบางอย่าง

บ่ายวันหนึ่งของวันศุกร์ที่เงียบเชียบ ทันทีที่เปิดประตูเข้าบ้าน นกกระจอกตัวหนึ่งก็บินเฉี่ยวหัวไปเกาะอยู่บนตู้เสื้อผ้า พอเดินเข้าไปดูใกล้ๆ เจ้านกกระจอกตัวเดิมก็บินไปบินมาอีกรอบแล้ววกบินขึ้นไปบนชั้นสอง

เหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่งเมื่อห้าวันที่แล้ว ตอนนั้นผมไม่ได้ใส่ใจกับนกตัวที่บินเข้ามามากนักเพราะคิดว่าเดี๋ยวมันก็คงบินออกไปเองเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาและนกตัวนั้นก็เงียบหายไป วันนี้พอเปิดประตูเจอนกบินอยู่ในบ้าน ผมจึงไม่รู้สึกตกใจมากนัก พอคิดได้ว่ามันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่จะมีนกมาบินอยู่ในบ้านจึงตัดสินใจเดินเข้าไปดูตามช่องลมในครัว ประกอบกับเศษฟางที่ตกอยู่ข้างๆ หน้าต่างบานประจำที่ใช้ปีนเข้าบ้านเวลาลืมกุญแจ ถึงได้รู้ว่าบนช่องลมที่เคยมีแต่หยากไย่ ตอนนี้ได้มีรังนกเล็กๆ ของเจ้านกกระจอกแอบอิงอยู่

ถ้าจะนับเวลากันแบบจริงจังปีนี้ก็ก้าวสู่ปีที่ 6 แล้วที่ผมใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพ ยิ่งอยู่กรุงเทพนานวันเข้า การกลับบ้านมาแล้วเปิดประตูเพื่อพบเจอความว่างเปล่าที่นั่งรออยู่ กับกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นทุกวันจนเหมือนภาพชินตาภาพหนึ่ง และถ้าจะมีใครสักคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นมาว่า ชีวิตนี้ผมไม่ชอบอะไรบ้าง แน่นอนว่าการเปิดประตูบ้านมาแล้วไม่เจอใคร จะเป็นคำตอบแรกๆ ที่ผมพูดขึ้นมาเสมอ

ผมไม่ชอบการอยู่หอ พอๆ กับไม่ชอบเวลาที่มีใครถามว่าทำไมผมถึงไม่เคยไปเชียงใหม่ จนเพื่อนบางคนล้อว่าสองสิ่งนี้คืออุดมการณ์ของตัวผมกันเลยทีเดียว พอลองหาคำตอบจากตัวเองเข้าจริงๆ ถึงได้รู้ว่า ผมมีความสุขกับการนอนนิ่งๆ อ่านหนังสือ ฟังเพลงอยู่ในบ้าน นั่งดูนกที่บินมาเกาะหลังคาบ้านข้างๆ ได้ทั้งวัน มากกว่าการไปเดินตามห้างสรรพสินค้าในวันเสาร์อาทิตย์เหมือนคนอื่นๆ แต่ก็มีเงื่อนไขนิดหนึ่งว่า ถ้าในบ้านจะมีใครอยู่เป็นเพื่อนด้วยก็จะเป็นเรื่องที่น่ายินดีเลยทีเดียว

พอต้องมาใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงเทพ พี่สาวที่ล่วงหน้ามาใช้ชีวิตอยู่ก่อนนั้นไม่เคยมีปัญหาเรื่องการอยู่หอ จะมีก็ผมเพียงคนเดียวที่รู้สึกอึดอัดเสมอ และนานวันเข้าข้าวของของใช้ของเราสองคนก็มากเสียจนห้องๆ หนึ่งอย่างหอพักจะเก็บไว้ได้ วันหนึ่งเราสองคนจึงตัดสินใจออกมาเช่าบ้านไม้หลังเล็กๆ หลังหนึ่งที่ล้อมรอบด้วยต้นไม้และบรรดาฝูงนก ย่านสะพานใหม่เป็นที่ซุกหัวนอนจวบจนมาถึงปัจจุบัน

บ้านไม้ที่เราสองคนเช่าอยู่เป็นบ้านหลังเล็กๆ สองชั้นสีเขียว ครึ่งบนเป็นไม้ครึ่งล่างเป็นปูน มีห้องนอนอยู่สองห้อง ห้องครัวแล้วก็ห้องน้ำ แล้วก็บันไดขึ้นชั้นสองที่ชันมากจนสามารถตกเอาได้ง่ายๆ และแน่นอนว่าผมก็เคยตกมาแล้ว

สมัยเรียนมหาลัยจำได้ว่า มีอยู่ช่วงหนึ่งที่พอถึงเวลากลับบ้านทีไร ผมมักจะหาเรื่องยื้อเวลากลับบ้านเอาไว้ให้นานที่สุดเสมอ เพื่อนคนไหนที่อยู่ดึกได้ผมก็จะอยู่กับเพื่อนคนนั้น หรือไม่ก็ไปนั่งเล่นที่หอเพื่อน เตะบอลบ้าง เล่นเกมบ้าง พยายามหาอะไรทำถ่วงเวลากลับบ้านไว้ตลอด และพอพี่สาวกลับถึงบ้านนั่นแหละถึงจะกลับ แต่ก็ยังโชคดีอยู่บ้างที่บางวันก็มีนกบินอยู่ในบ้านไม่ให้รู้สึกเดียวดายเพียงลำพังเวลาที่เปิดประตูมาพบเจอความว่างเปล่าอย่างเช่นวันนี้
หลังจากบินหายขึ้นไปบนชั้นสอง เจ้านกกระจอกตัวเดิมก็เลือกที่จะบินเข้าไปในห้องของผม คาดคะเนดูแล้วคงเป็นเพราะจำนวนหน้าต่างทั้งสองด้านของห้องที่มีมุ้งลวดกั้น จนดูลวงตาว่าสามารถบินออกไปข้างนอกได้ และทันทีที่เดินเข้าไปในห้อง ภาพนกกระจอกบินชนมุ้งลวดซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่เห็นจึงไม่ใช่เรื่องแปลก ผมเลยเดินเข้าไปเปิดมุ้งลวดให้เจ้านกกระจอกบินออกไป แต่เจ้านกกระจอกก็บินไปหลบหลังชั้นหนังสือ

คิดเอาเองเล่นๆ ว่ามันคงตกใจ คิดว่าผมจะจับมันแน่ๆ เลยเดินออกมาจากห้องไปยืนดูรังของมันเพราะชักเริ่มสงสัยแล้วว่า ในรังจะมีลูกๆ ของมันอยู่หรือเปล่า ลองเงี่ยหูฟังดีๆ ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย

เวลาผ่านไปประมาณ 10 นาที ผมเดินขึ้นไปดูบนห้องอีกครั้งก็ไม่เห็นเจ้านกกระจอกอยู่ที่ชั้นหนังสือ คิดว่าป่านนี้มันคงบินไปไหนต่อไหนแล้วก็ได้ แต่พอลองมองดูดีๆ ที่ไหนได้มันกลับบินไปเกาะอยู่อีกด้านหนึ่งของมุ้งลวดแทน หันมองหน้าต่างอีกบานที่ยังไม่ได้เปิดมุ้งลวดก็เห็นรังนกที่ซื้อมาจากอัมพวาแขวนอยู่

ผมซื้อรังนกรังนี้มาแขวนไว้ให้นกที่บินไปบินมาแถวบ้านอาศัยอยู่ ตั้งใจว่าพอตื่นเช้าขึ้นมานั่งเขียนหนังสือ จิบชาร้อนๆ สักแก้วก็จะได้เห็นพ่อนกกับแม่นกบินมาป้อนอาหารลูกนกถึงหลังห้อง แต่รังนกที่ซื้อมา กลับนิ่งสงบ จะขยับตัวบ้างก็เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ที่สายลมพัดผ่านมา ไม่ต่างอะไรกับบ้านที่ซื้อไว้แต่ไม่มีคนอยู่

ครั้งหนึ่งรุ่นพี่คนหนึ่งเคยเล่าให้ฟังว่า นกตัวเมียบางชนิดจะเลือกคู่จากการสร้างรังของนกตัวผู้ ยิ่งตัวผู้สร้างรังได้สวย นกตัวเมียก็ยิ่งจะพิจารณาเป็นพิเศษ ฟังไปคล้ายๆ หลักการพิจารณาผู้ชายของผู้หญิงหลายๆ คนมิใช่น้อยที่นิยมชมชอบผู้ชายที่เอาเงินมาซื้อบ้านก่อนซื้อรถ บางทีรังนกสำเร็จรูปที่ผมซื้อมาแขวนไว้จึงอาจไม่ใช่เรื่องประทับใจของนกตัวเมียแถวบ้านก็เป็นได้

หลังจากยืนดูพฤติกรรมของเจ้านกกระจอกตัวเดิมอยู่นานจนฟันธงแล้วว่า ถ้าไม่ไล่หรือทำการกดดันอะไรสักอย่าง เจ้านกกระจอกก็ยังคงแอบอยู่หลังชั้นหนังสือแน่ๆ และถ้าเปิดมุ้งลวดไว้นานกว่านี้ บรรดาแขกไม่ได้รับเชิญอย่างยุงก็พาจะแห่กันมาเยี่ยมและคืนนี้คงจัดปาร์ตี้กันอย่างสำราญ ผมเลยเดินเข้าไปที่ชั้นหนังสือเพื่อทำการกดดันเจ้านกกระจอกทันที ใครจะว่าผมใจร้ายก็ยังไม่สำคัญเท่าการถูกยุงหามตอนนอน
ทันทีที่เดินไปขยับหนังสือเอามือปัดๆ เจ้านกกระจอกรีบบินออกมาจากชั้นหนังสือ บินวนไปวนมารอบห้อง พอหลุดออกจากห้องได้ก็บินไปชนกระจกตรงหน้าต่างทางลงบันไดแบบเต็มๆ ร่วงลงมายืนมึนอยู่กับที่พักหนึ่ง ถ้าในบ้านมีแมวอยู่ วินาทีต่อมา ผมรับรองได้เลยว่า เจ้านกกระจอกจะไม่ได้ขยับปีกบินอีกแน่ๆ ผมเลยคิดว่าจะอาศัยช่วงเวลาที่มึนๆ เอามือจับเจ้านกกระจอกไปปล่อยนอกบ้าน แต่ความกลัวเรื่องไข้หวัดนกก็ขึ้นสมองขึ้นมาทันทีจนต้องหยุดคิด เลยยืนรอให้เจ้านกกระจอกหายมึนเสียก่อน

พอหายมึนเจ้านกกระจอกก็บินกลับเข้าไปในห้องผมอีกครั้งหนึ่ง แต่มันน่าหวาดเสียวตรงที่ว่า คราวนี้มันบินไปเกาะอยู่บนรูปคู่ของผมกับคนในอดีตบางคนผมรักมากเป็นพิเศษ แม้ปัจจุบันเธออาจจะกลืนผมหายไปกับกาลเวลาแล้วก็ตาม แต่ที่บอกว่าน่าหวาดเสียวก็เพราะว่าถ้ามันตกใจขึ้นมา ตอนที่มันบินหนีอีกครั้งแรงถีบตัวจากความตกใจก็อาจทำให้รูปหล่นลงมาแตกเอาได้ง่ายๆ

ผมมีรูปที่ถ่ายคู่เธออยู่ใบเดียว ยิ่งคิดถึงช่วงเวลาที่รูปหล่นลงมาแตกจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าตลกนัก ผมเลยเดินออกมาจากห้องอีกครั้ง ได้ผล ถึงเจ้านกกระจอกจะยังไม่บินออกไปทางหน้าต่างแต่มันก็ค่อยๆ กระโดดเบาๆ ลงมาจากรูป บินไปซ่อนตัวอยู่ในกองหนังสือแทน
ผมตัดสินใจรื้อกองหนังสืออีกครั้งแม้จะรู้ว่าหลังจากรื้อแล้วคงต้องนั่งเก็บเองคนเดียวอีกพักหนึ่ง เจ้านกกระจอกซอกแซกไปตามช่องว่างของหนังสือที่วางพาดกันแต่ละเล่ม ลองนึกสภาพผู้ชายคนหนึ่งไม่มีแฟนทำงานหาเช้ากินค่ำ กลับมาบ้านไม่เจอใคร แล้วยังต้องมาไล่จับนกในบ้านจนเหงื่อแตกท่วมตัว ชั่วโมงนี้ใครจะว่าผมบ้าที่พูดอยู่กับนกคนเดียว ผมก็ไม่สนใจทั้งนั้น

“ตกลงจะเอาไงเนี่ยจะออกไม่ออก เหนื่อยแล้วนะ เดี๋ยวจับขังกรงเลย ดีมั๊ย” ผมเริ่มสวมบทโหดพลางนึกถึงคำพูดของแม่ตอนเด็กๆ ที่ชอบพูดกับผมเวลาเจอสัตว์เสมอว่า
“อย่าไปทำมันลูก สงสารมัน”

ผมค่อยๆ หยิบหนังสือออกที่ละเล่ม พอเอามือยกหนังสือเล่มที่เห็นและมั่นใจว่ามันเข้าไปหลบอยู่ก็ต้องสะดุ้งตกใจ ร้องเฮ้ย ! ออกมาอย่างไม่รู้ตัว เมื่อเห็นนกกระจอกนอนตายหงายท้องแน่นิ่งอยู่กับที่ นึกในใจ นี่มันจะโง่ขนาดวิ่งหนีเข้าไปชนผนังบ้านจนตายเลยเหรอ หรือว่ามันจะกระจอกสมชื่อจริงๆ
หลังจากยืนชันสูตรศพเจ้านกกระจอกอยู่พักหนึ่ง ผมตัดสินใจหยิบร่างไร้วิญาณนั้นขึ้นมา พอพลิกดูอีกด้านหนึ่งของตัวนกก็เห็นซากหนอนที่แห้งตายคาตัวนก ถึงได้รู้ว่านกตัวนี้คงตายมาได้สักพักหนึ่งใหญ่ๆ หลายวันก่อนหน้านี้ที่ได้กลิ่นเหม็นตุๆ ในห้องแล้วนึกว่าเป็นกลิ่นหนูตายจึงเป็นเรื่องที่คิดผิดไปถนัด
ผมนึกถึงช่วงเวลาที่สะพายกระเป๋าใส่ความหวังของแม่เดินออกมาจากบ้าน โดยไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นจะตายยังไง เมื่อไปเดินป่าแล้วหลงอยู่ในป่า 2 วัน แต่โชคดีที่สุดท้ายก็รอดกลับออกมาได้

ผมเอาซากนกกระจอกตัวที่ตายไปทิ้ง กลับมามองหาเจ้านกกระจอกอีกตัวที่หลบอยู่ในกองหนังสือก็ยิ่งมั่นใจว่า ถ้าไม่เอามันออกมาจากกองหนังสือ อีกไม่เกิน 3-4 วัน คงได้กลิ่นเหม็นอีกแน่ๆ แต่ยิ่งรื้อเท่าไรก็ยิ่งหาไม่เจอ เหงื่อที่ชุ่มเหงื่อเพราะอากาศที่ร้อนก็เริ่มเพิ่มมากขึ้น

ผมหาเจ้านกกระจอกจนเกือบจะถอดใจสวมวิญาณซาตานอีกครั้ง คิดในใจปล่อยให้เจ้านกกระจอกหลงอยู่ในกองหนังสือแล้วเป็นศพไปเลย หลังจากนั้น 2-3 วัน ค่อยมาหาซากศพอีกทีเลยดีมั๊ย แต่พอนึกถึงรังนกเล็กๆ ของเจ้านกกระจอกที่อยู่ตรงช่องลมก็ตัดสินใจหาตัวเจ้านกกระจอกต่อ

หากต้องออกจากบ้านมาแล้วหลงอยู่ในโลกภายนอกจวบจนตัวตายไปโดยไม่ได้หวนคืนกลับบ้าน มันคงเป็นความเศร้าอย่างหนึ่งที่โหดร้ายสำหรับคนที่รอคอยมากเลยทีเดียว หลังจากพยายามหาทุกซอกทุกมุม ในที่สุดก็เจอเจ้านกกระจอกยืนหลบอยู่ในมุมๆ หนึ่งโดยเอาหน้าซุกปีกของตัวเองไว้ แต่พอมันเห็นว่าทางข้างหน้าเปิดกว้างมันก็บินเข้าไปอยู่ในตัวกีตาร์โปร่งที่วางอยู่ใกล้ๆ ทันที

ผมถอนหายใจออกมาเพราะคิดว่าคงเหนื่อยน้อยลง เดินไปหยิบกีตาร์โปร่งออกไปวางบนหลังคาข้างบ้านใกล้ๆ กับหน้าต่างบานที่เปิดมุ้งลวดไว้ แต่เจ้านกกระจอกก็ยังหลบนิ่งอยู่ในตัวกีตาร์โปร่ง จะล้วงมือเข้าไปจับก็ใช่ที่ เผลอๆ จะโดนจิกเอาอีก หลังจากปิดมุ้งลวดก็ยืนมองเจ้านกกระจอกที่หลบอยู่ในกีตาร์โปร่ง คิดถึงเพลง Home ของ Michael Buble ที่เพื่อนคนหนึ่งเคยส่งมาให้ฟังจนน้ำตาซึมอยู่บ่อยๆ ยามคิดถึงบ้านที่ต่างจังหวัด

หยิบโทรศัพท์มาโทรหาแม่ เล่าเรื่องนกกระจอกที่บินอยู่ในบ้านให้แม่ฟัง คำแรกที่แม่ถามคือคำว่า “ช่วยนกได้หรือยังลูก แล้วเมื่อไรจะกลับบ้าน” ชะเง้อมองดูกีตาร์โปร่งที่วางอยู่บนหลังคา ยังไม่ทันจะได้ตอบคำถามแม่ ก็เห็นเจ้านกกระจอกกระโดดขึ้นมาเกาะบนตัวกีตาร์โปร่ง พอหันมองซ้ายมองขวาจนหายงง ก็โผบินออกไปไกล โดยไม่รู้ว่าเมื่อไรจะบินกลับรัง …

4 comments:

Anonymous said...

บัวคงโชคดี ที่ยังไม่ต้องออกจากรัง

ดูเหมือนเป็นคนรักอิสระ แต่บัวยังชอบที่ได้กลับบ้านทุกวัน

การเดินทางไกลทุกวัน มันก็เหนื่อยนะ

แต่หากระหว่างการเดินทางเรารู้ว่ามีบ้านและคนที่บ้านรอเราอยู่ มันก็คุ้มที่จะเหนื่อยใช่ไหม..

Anonymous said...

"...โดยไม่รู้ว่าเมื่อไรจะบินกลับรัง..."
เหมือนการตั้งคำถามให้ตัวเอง
ทว่า
แม้ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่
แต่
ท้ายที่สุด
เราย่อมบินกลับรังเสมอ

สายลมอิสระ

Anonymous said...

นกเลือกคู่
ซื้อบ้านก่อนซื้อรถ คุ้นมาก
อย่าลืมมาจ่ายคอมมิสชั่นพี่ด้วย
ยาวไปนิดนึงนะ
แต่อ่านได้เรื่อยๆ
ชอบภาพนกจัง
สวยมากน้อง

Anonymous said...

อ่านแล้ว เหงา จัง

ถึงจะไม่ได้อยู่เมืองหลวงแต่ก็ไกลบ้าน
บางทีการที่บินออกมาไกลก็ทำให้คิดถึงรัง
แต่ครั้นจะเบนเข็มกลับ ปีกก็พยศ

แอบเป็นนกกระจอกแอบบินเข้ามาอ่านในบล๊อก ไม่ว่ากันเนาะ