Tuesday, March 13, 2007
บันทึกจังหวะชีวิต
วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่ชีวิตตอนกลางคืนของผมเหมือนฉายหนังม้วนเก่า
เริ่มจากปิดคอมฯ ที่ออฟฟิศแล้วเดินผ่านซอยคาวบอยมาขึ้นรถไฟฟ้า พอถึงช่องขายตั๋วโดยสารก็แลกเหรียญ 40 บาท จุดหมายคือสถานีปลายทางหมอชิต เมื่อเอามือรับบัตรที่เครื่องขายบัตรอัตโนมัติหลังจากที่หย่อนเหรียญไปจนครบ 4 เหรียญแล้ว ก็พาตัวเองไปให้บันไดเลื่อนพาเดินขึ้นไปรอรถไฟฟ้าที่ชั้นสองของชานชะลา (ที่ไม่เคยจะได้นั่งแถมต้องเบียดกันตอนเดินเข้าไปในโบกี้อีกต่างหาก) ถ้าไม่ได้นั่งจริงๆ เข้าไปถึงก็จะเดินไปยืนที่ประจำตรงริมหน้าต่างประตูตลอด ไม่ว่าจะขบวนไหนๆ ผมก็มักจะยืนอยู่แถวริมหน้าต่างประตูเสมอ นานๆ ถึงจะหันไปดูจอโทรทัศน์ในตู้โบกี้ และพอถึงหมอชิต ผมก็มักจะเป็นคนท้ายๆ ที่เดินออกจากตู้โบกี้
ภาพที่เห็นจนชินตาจึงเป็นภาพฝูงชนแย่งกันออกจากตู้โดยสารหรือไม่ก็การลุกขึ้นไปยืนอออยู่หน้าประตูตั้งแต่รถไฟฟ้ายังไม่จอด พอประตูเปิดผู้โดยสารก็เบียดเสียดกันออกไปเหลือไว้เพียงความว่างเปล่า จนพี่ยามเดินเข้ามาตรวจตราความเรียบร้อยนั่นแหละ ผมถึงค่อยก้าวเดินออกจากโบกี้
พูดถึงการฆ่าเวลาระหว่างเดินทางในกรุงเทพ เมื่อก่อนผมเคยอาศัยวิธีควักมือถือโทรหาใครสักคน แต่ยิ่งโตขึ้นกลับยิ่งรู้สึกว่าอยากอยู่คนเดียว และใช้เวลาทำในสิ่งที่อยากทำมากขึ้นทุกวัน เพราะเร็วๆ นี้ผมกำลังจะแต่งงาน และเมียของผมก็ท้องได้สามเดือนแล้ว
ใช่! ผมกำลังจะมีลูก ผมกำลังจะหมดสิ้นแล้วซึ่งอิสรภาพ ผมไม่มีทางเลือกและต้องเดินเข้าวงจรของหัวหน้าครอบครัว อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่สามารถเดินทางเพียงลำพัง ไม่มีเวลานอนอ่านหนังสือดีๆ สักเล่ม หรือไปดูงานศิลปะตามแกลเลอรี่ต่างๆ ได้อีก เพราะในฐานะของชายอกสามศอกผมไม่ควรปล่อยให้คนในครอบครัวต้องพบกับความลำบากและเผชิญกับการถูกทอดทิ้ง แต่ความจริงแล้วไม่ใช่
ผมเป็นโสด ไม่มีเมีย ไม่มีลูก ไม่มีแฟน และผมก็มีอิสรภาพมากมาย แต่กลับเลือกขังตัวเองเงียบๆ อยู่กับอดีตบางอย่าง บางอย่างที่พอจะทำให้ผมรีบผลักความรู้สึกนั้นออกไป หากว่าเธอคนนั้นก้าวล้ำเส้นวงที่ผมเรียกว่า เพื่อน
พอลงจากสถานีหมอชิต ผมจะต้องเดินไปขึ้นรถตู้ต่อกลับบ้านอีกที ถ้าใครเคยผ่านไปแถวย่านจตุจักรจนไปถึงย่านเกษตรคงจะรู้ดีว่า นรกที่เกิดจากรถติดนั้นเป็นยังไง และทรมานแค่ไหน ผมเกลียดการนั่งติดแหงกอยู่บนรถตู้นานนับชั่วโมงโดยที่ล้อรถตู้ไม่ได้ขยับไปไหนไกล ผมเกลียดช่วงเวลานี้ที่สุดของกรุงเทพ แม้ว่าจะเตรียมแผนรับมือมาด้วยการพกหนังสือมาอ่าน แต่พี่คนขับก็มักจะมีใจรักประเทศชาติร่วมรณรงค์ประหยัดไฟขึ้นมากะทันหันปิดไฟในรถทุกที ได้แต่อาศัยไฟจากเสาไฟฟ้าที่รถวิ่งผ่านในการอ่านอยู่เสมอ หรือไม่ก็ต้องอาศัยวิธีหลับในรถตู้ฆ่าเวลา ก่อนที่จะสะดุ้งตื่นขึ้นมาทุกครั้งที่จะถึงจุดหมายปลายทางย่านสะพานใหม่
ทันทีที่ลงจากรถตู้ ความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่มักจะสร้างขึ้นมาเองเสมอคือ หาซื้อน้ำผลไม้อะไรก็ได้สักขวด (ที่พักนี้กินแต่น้ำลูกสำรองจนแม่เตือนว่าไม่ค่อยสะอาดจึงเลิกกิน) แล้วก็เดินข้ามสะพานลอยที่คนแก่เห็นแล้วต้องน้ำตาไหลกันทุกคนไปอีกฝั่งหนึ่ง ไหนๆ ก็ต้องขึ้นสะพานลอยชันๆ อยู่แล้วเลยอาศัยบันได 19 ขั้นของสะพานลอย เป็นที่ออกกำลังกายด้วยการวิ่งขึ้นไป แต่เจ้ากรรมนายเวรที่ชื่อโน๊ตบุ๊คที่แบกอยู่กลางหลัง กลับทำให้โลกกลมใบนี้มีแรงดึงดูดเพิ่มขึ้น จนต้องไปยืนขาสั่นอยู่บนสะพานลอยด้วยความเหนื่อยเสมอ
ลงจากสะพานลอยก็จะผ่านร้านวีดีโอ ด้วยนิสัยที่ไม่ใช่คอหนัง ถ้าไม่เต็มที่จริงๆ ก็จะไม่ย่างกายเข้าไปเลยสักนิดเดียว ยิ่งไม่มีหนังที่อยากดูมากเป็นพิเศษร้านวีดีโอก็ไม่ต่างอะไรจากทางผ่าน และวันไหนเกิดคิดถึงมาวิน(ลูกบุญธรรมที่อยู่เดนมาร์กขึ้นมาจับใจ) ผมก็จะเดินไปร้านเน็ตทันที ได้คุยบ้างได้เจอบ้างก็แล้วแต่ตามโชคชะตาและการอนุญาตของแม่เขา
คืนไหนได้คุยได้เจอลูกชาย คืนนั้นจะกลับเข้าบ้านด้วยอารมณ์ดีเป็นพิเศษ แต่พักหลังๆ ก็ได้คุยน้อยลง ทำได้เพียงนั่งมองหน้ามาวินแล้วยิ้มให้ด้วยความคิดถึง แรกเริ่มเดิมทีที่รู้จักกัน ผมไม่เคยคิดว่าจะรู้สึกผูกพันกับมาวินมากเป็นพิเศษ ยิ่งมาวินเรียก “ป๊า” และสะกิดบอกแม่เขาที่เห็นหน้าผมว่า “แม่ นั่นป๊านี่” ผมกลับยิ่งรักมาวินมากขึ้นเป็นพิเศษ หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะความสูญเสียบางอย่างที่มาวินต้องเผชิญเหมือนกับผมก็เป็นได้ที่ทำให้ผมรู้สึกแบบนี้ มาวินทำให้ผมได้รู้ว่าถ้าผมมีลูกขึ้นมาจริงๆ ผมจะรักเขามากแค่ไหน และที่เป็นเช่นนี้อาจเพราะผมไม่เคยมีโอกาสสัมผัสและได้รับความรู้สึกจากคำว่า พ่อกับลูก
หลังจากคุยกับมาวิน จุดหมายสุดท้ายคือการกลับบ้านทุกครั้ง พร้อมๆ กับไก่ทอดกระเทียมพริกไทยสูตรเด็ดหน้าปากซอยพร้อมข้าวเหนียวที่ผมจะซื้อเอาไว้ตุนยามค่ำคืนระหว่างนั่งเขียนหนังสือเสมอ
ซื้อไก่เสร็จวันไหนไม่ได้เอาไอ้ดอกไม้มาผมก็จะนั่งมอเตอร์ไซด์รับจ้างเข้าบ้าน แต่ถ้าวันไหนเอาไอ้ดอกไม้มาก็จะเดินเข้าไปในซอยหาไอ้ดอกไม้ที่ร้านรับฝากรถ บางครั้งป้าเจ้าของร้านมักจะร้องทุกข์แทนดอกไม้อยู่เสมอว่าถ้าเป็นคนหรือเป็นแฟน ดอกไม้คงน้อยใจและทิ้งผมไปแล้วแน่ๆ เหตุเพราะบางครั้งผมเอาดอกไม้มาจอดไว้ที่ร้านของป้า 2-3 วัน ที่เป็นแบบนี้ไม่ใช่ว่าผมลืม แต่บางครั้งกว่าจะกลับมาถึงบ้านก็ห้าทุ่มกว่าๆ เข้าไปแล้ว และร้านป้าก็ปิดตั้งแต่ห้าทุ่ม
ทุกครั้งที่ป้าแกร้องทุกข์แทนไอ้ดอกไม้ ผมจะบอกแกไปเสมอว่า ไม่ทิ้งหรอกป้า อยู่กันจนแก่นั่นแหละ รักจะตาย ตำรวจมาขอซื้อยังไม่ขายเลย แล้วก็ปั่นไอ้ดอกไม้กลับบ้าน พร้อมเบียร์สองขวดยี่ห้อใหม่ที่ยังไม่เคยชิม
ผมชอบช่วงเวลาที่ปั่นไอ้ดอกไม้กลับบ้าน โดยมีลมเย็นๆ ยามค่ำคืนที่โชยมานั่งซ้อนท้าย ยิ่งค่ำคืนไหนที่พระจันทร์เต็มดวงก็จะชอบจินตนาการว่าตัวเองกำลังปั่นไอ้ดอกไม้เดินทางไปเรื่อยๆ จนเสียงแตรรถยนต์ที่บีบไล่ดังขึ้นก็จะหลุดออกมาจากภวังค์นั้นแล้วหลบเข้าข้างทางสุดๆ
พอถึงบ้านและเอาไอ้ดอกไม้เข้านอนก็ไขกุญแจเข้าบ้าน (ที่บางวันก็ลืมจนต้องปีนเข้าบ้าน) เปิดประตูได้ก็ยิ้มให้รูปของพี่สาวที่ยืนอยู่อีกโลกหนึ่ง วางเป้ที่สะพายอยู่บนหลังไว้บนโซฟา ถอดถุงเท้าที่ซื้อมายกโหลจากสำเพ็ง ปลดนาฬิกาที่ข้อมือซ้าย ถอดสร้อยหลวงปู่สงฆ์กับกรมหลวงที่แม่ให้ไว้แขวนติดตัวมาตั้งเด็กๆ ยามที่อยู่ห่างสายตา ปลดสร้อยข้อมือหนังที่ใส่ทุกวันของรุ่นน้องคนหนึ่งที่ซื้อให้วางไว้ใกล้นาฬิกา หยิบกระเป๋าตังค์ออกมาจากกางเกงโดยไม่คิดจะเปิดดูว่าเหลือตังค์เท่าไรอยู่ในกระเป๋า เพราะกลัวว่าถ้ามันน้อยเกินไปเดี๋ยวจะทุกข์ขึ้นมาอีก และพอถอดเสื้อได้ก็นั่งลงนิ่งๆ ตรงโซฟามองดูโทรทัศน์ที่ยังไม่ได้ถูกเปิดอยู่นานเท่านาน เห็นเพียงเงาสะท้อนของตัวเองอยู่ในจอแก้ว
ผมอาศัยช่วงเวลานี้นั่งอยู่นิ่งๆ พูดคุยกับตัวเองอยู่เสมอ หลังจากที่วันนี้ทั้งวันต้องเผชิญอะไรมามากมาย South of the border, west of the sun ของ มูราคามิ ที่อยู่ในเป้ยังคงนอนแน่นิ่งอยู่ที่เดิม ไม่มีวี่แววที่จะถูกหยิบขึ้นมาอ่าน หากมีเพียงแต่เรื่องราวของคนในอดีตบางคนที่ยังวิ่งวนอยู่ในความทรงจำ
หยิบผ้าเช็ดตัวได้ก็อาบน้ำ พออาบเสร็จก็กุลีกุจอเดินขึ้นไปบนห้องนอน กองหนังสือข้างที่นอนยังก่ายกองอยู่เหมือนเดิม คืนไหนนอนดิ้นแล้วไปชนเข้า กองหนังสือก็จะทลายลงมาให้ได้รู้สึกตัวตื่นกันกลางค่ำกลางคืนตลอด แต่ก่อนจะล้มตัวลงนอนก็จะต้องหยิบโน๊ตบุ๊คออกมาวางบนโต๊ะที่ตั้งอยู่ตรงริมหน้าต่าง เปิดเครื่องขึ้นมาอีกครั้ง และทันทีที่เสียงเปียโนจากไฟล์เพลงดังขึ้น นิ้วทั้ง 10 ก็ค่อยๆ ร่ายระบำไปบนเวทีของแป้นพิมพ์
“ฝึกให้เป็นนิสัย แม้ไม่มีปากกาก็ให้ใช้ตาเขียนลงไปบนสมอง” คือถ้อยคำที่ ชาติ กอบจิตติ สอนผม จนเวลาเที่ยงคืนล่วงเลยผ่าน ในช่วงเวลาที่เบียร์ทั้งสองขวดหลอมรวมกับร่างกายกลายเป็นขวดที่ว่างเปล่า ผมลุกจากโต๊ะเขียนหนังสือมานั่งบนที่นอนมองดูพระจันทร์ตรงหน้าต่าง เปิดไฟจากโคมไฟกระดาษสีม่วง แล้วค่อยๆ เอนตัวลงนอนในช่วงเวลาที่สมองมีแต่เรื่องอะไรมากมายให้ได้ขบคิด
ก่อนที่จะอาศัยช่องว่างของความว้าวุ่นหนีโลกใบนี้ไปอีกค่ำคืน…
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
6 comments:
ฮืมมมมม
มาลงชื่อว่าอ่านแล้วจ๊ะ
พี่ปู สายลมฯ
เป็นจังหวะที่แสนเหงา อ่านที่คุณเขียนทีไร น้ำตาพาลจะไหล
ฉันเอง พยายามแสร้งว่าหลงลืมอดีต อดีตที่ไม่เคยได้รับอ้อมกอดจากพ่อ
แต่ยิ่งมืด ภาพกลับฉายชัดในความรู้สึก
ก็ต่อเมื่อกดหัวให้ชิดกับความว่างเมื่อนั้นวังวนแห่งอดีตก็จะค่อยๆจาง
ดีดีนะ
มันเป็นวังวนที่หนีไม่เคยพ้นอะครับ แต่ก็ใช่ว่าขาดเขาเราจะอยู่ไม่ได้ เขาให้ชีวิตมาแล้ว ก็ต้องทำให้เขาเห็นว่า เราอยู่ได้สบาย
เหมือนน้อยใจอยู่ลึกๆนะนั่น แต่ก็นะ ฉันเองก็น้อยใจจนชินแล้วล่ะ
ฉันพยายามก้าวไปหาพ่อ แต่ความห่าง ก็กั้นเราไว้เสมอ
เราสองคนเหมือนมีกระจกใสๆกั้นกลาง
พอจะเอื้อมมือไปแตะก็ไปไม่ถึงสักที เง้อ...
ไม่เอาแล้ว เดี๋ยวจะเศร้ากันไปใหญ่
ดีดีนะ
ด.ญ.ปิยวรรณ
อ่านหนังสือบนรถระวังสายตาเสียค่ะ
กลางวันเลยต้องถนอมสายตาด้วยแว่นกันแดดไงครับ...ไว้จะมาอัพบล็อกนะครับ ช่วงนี้ปั่นงานประจำกับนิยายร่างสุดท้ายอยู่...ขอบคุณที่มาเยี่ยมครับ
Post a Comment