Monday, July 16, 2007

โต๊ะข้างหน้าต่าง


โต๊ะข้างหน้าต่าง/วิภพ ล้อมเขต


จำได้ว่าสมัยเรียนหนังสือ ทุกครั้งที่เปิดเทอม ผมมักจะไปโรงเรียนเช้ากว่าปกติ เพื่อจองโต๊ะตัวที่ตั้งอยู่ริมหน้าต่าง ทันบ้างไม่ทันบ้าง แต่ค่อนชีวิตของการเรียน ผมก็ได้นั่งเรียนติดริมหน้าต่างมากกว่านั่งติดกำแพงห้องเรียนเสมอ

พอโตขึ้นมานิสัยการนั่งติดหน้าต่างเลยกลายเป็นนิสัยประจำตัวไปโดยปริยาย และทุกครั้งที่ต้องการพักสายตา ผมมักจะมองภาพชีวิตภายนอกผ่านช่องหน้าต่างที่ผมนั่งอยู่

ตอนที่ตัดสินใจเช่าบ้านไม้สีเขียวกับพี่สาว แทนหอพักที่มีหน้าต่างแค่บานเดียว น้ำหนักในการตัดสินใจของเราสองคนมาจากจำนวนหน้าต่างที่สำรวจดูแล้วมีมากถึง 10 บาน ว่าเหมาะแก่การเป็นช่องทางอ้าแขนรับลมและแสงแดดได้ดีระดับหนึ่ง และเมื่อเราสองคนตัดสินใจเช่าบ้านไม้สีเขียว หลังจากจัดระเบียบข้าวของส่วนรวมเป็นที่เรียบร้อย พอถึงเวลาต้องจัดระเบียบข้าวของส่วนตัว โต๊ะเขียนหนังสือ รวมไปถึงบาร์เล็กๆ ที่ทำจากชั้นวางทีวีเก่าๆ ของผมจึงวางอยู่ข้างหน้าต่างอย่างไม่ต้องสงสัย

บ้านเช่าไม้สีเขียวของผมที่สะพานใหม่นั้น วันไหนอากาศดีๆ ก็จะมีลมเย็นๆ โชยมาพัดโมบายที่แขวนไว้ริมหน้าต่าง ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งคล้ายเสียงทักทายกันของสายลมกับโมบาย มองดูก้อนเมฆที่เปลี่ยนรูปทรงไปต่างๆ นานา หรือนั่งมองดูใบไม้ที่พัดไหว ถ้าไม่คิดอะไรมากไปกับชีวิต บางทีเราอาจจะหาความสุขง่ายๆ ได้จากตรงนี้

ตกตอนกลางคืน ถ้าค่ำคืนไหนพระจันทร์เต็มดวงขึ้นมา บาร์เล็กๆ ริมหน้าต่างที่อยู่ในห้องนอนของผมก็จะมองเห็นพระจันทร์ได้แบบพอดิบพอดี ได้กึ๊บอะไรพอกึ่มๆ พร้อมเพลงดีๆ สักเพลง ทุกข์มาจากไหนก็คงต้องวางลง แล้วลืมกันไปชั่วขณะ

แต่ถ้าวันไหนฝนตก ปิดหน้าต่างกันไม่ทันขึ้นมา ก็ได้เปียกฝนทั้งๆ ที่นั่งอยู่ในบ้าน แปลกดีไปอีกแบบ

เขียนมาถึงตรงนี้แล้ว ชักพาลนึกไปถึงโต๊ะที่ทำงานของออฟฟิศเก่าที่เป็นอู่ข้าวอู่น้ำเองนั้น ก็ตั้งอยู่ตรงริมหน้าต่างเช่นกัน แถมพอตกยามบ่ายที่พระอาทิตย์เริ่มตกดิน ก็จะได้ยินเสียงพี่สาวนักเขียนบอกว่า

“ทนหน่อยไอ้น้อง” หรือไม่ก็

“ถ้าเอ็งรู้สึกร้อนก็ดึงม่านลงมาปิดได้แล้วนะพี่ว่า”

แม้ผ้าม่านที่ดึงลงมาปิดหน้าต่างที่มีอยู่บานเดียวในออฟฟิศจะทำให้มองไม่เห็นอะไรข้างนอก แต่การมีหน้าต่างอยู่ใกล้ๆ ก็เป็นเรื่องดีมากกว่าการเงยหน้าขึ้นมาหลังจากการทำงาน แล้วเจอะเจอแต่กำแพงเพียงอย่างเดียวเป็นไหนๆ
พอถึงคราวต้องย้ายที่สิงสถิตใหม่ ก็ช่างเป็นเรื่องบังเอิญเหลือเกินที่โต๊ะที่เขาจัดไว้ให้นั่งทำงาน ตั้งอยู่ริมหน้าต่างพอดิบพอดี

ลองนึกย้อนดูดีๆ ถึงได้รู้สึกว่า ช่วงเวลา 4-5 ปีที่ผ่านมา ตัวเองใช้เวลาอยู่ริมหน้าต่างมากกว่าจอทีวีก็ดูจะไม่ผิดอะไรนัก

บ่อยครั้งและมากมายที่งานเขียนของผม ถูกเขียนขึ้นบนโต๊ะริมหน้าต่าง และเช่นเดียวกันกับงานเขียนชิ้นนี้เองก็เขียนขึ้นบนโต๊ะริมหน้าต่างเช่นกัน

ครั้งหนึ่งเพื่อนคนหนึ่งเคยบอกว่า นอกจากคนที่ชอบสายฝนแล้ว ใครที่ชอบนั่งริมหน้าต่างจะเป็นคนขี้เหงา ไม่มากไม่น้อยไปกว่าคนที่ชอบสายฝน

อันนี้ผมเองก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า บางทีถ้าได้เจอคนที่ชอบนั่งริมหน้าต่างเหมือนๆ กัน

ผมจะลองถามเขาดู...

13 comments:

Anonymous said...

ก็คือจะบอกว่าเป็นคนขี้เหงา และตอนนี้กำลังหาคนขี้เหงาเหมือนกัน มาเป็นเพื่อนคุยอยู่นั่นเอง(รึป่าว)

ปล.เค้าหละเหง๊าเหงา ว่างๆโทรมาคลายเหงากัน 2 คนได้นะตัว(ล้อเล่นนะไอ้สัด ไม่ต้องโทรมาจริง 555)

Anonymous said...

ชอบบล็อคเฮียนะ ดูสบายๆดี

Anonymous said...

อ่านเพลินดีครับ เบาๆ สบายๆ เหมือนนั่งมองสายฝนอยู่ข้างหน้าต่าง สูบบุหรี่ แต่กลับรู้สึกอยากเสพความเหงารส mental lights อ่อนๆ บางๆ อะไรทำนองนั้น

Anonymous said...

ตอนนี้หันหน้าเข้ากำแพง...

แต่ข้างๆเป็นหน้าต่างอ่ะ

ก้อไม่แย่เท่าไหร่นะ

อิอิ

Anonymous said...

นั่งริมหน้าต่าง มองการเปลี่ยนแปลงของท้องฟ้า

เฮ่อ... เดี๋ยวฝนตก ชัวร์

พี่มิว

ป.ล. ขออวยพรให้งานใหม่ราบรื่นนะน้องนะ
บ้านสีเขียว น่ารักดี

Anonymous said...

ชอบนั่งริมหน้าต่างตอนเรียนเพราะข้างนอกมันน่าสนใจกว่าข้างในห้อง แค่นั้นเอง

วิภพ ล้อมเขต said...

Maxrio
นับวันจะเริ่มชอบผู้ชายจริงๆ เหรอเพื่อน

Anonymous
ตั้งใจเรียนแล้วก็ทำงานนะไอ้น้อง

พี่คนหนึ่ง
สูบน้อยลงหน่อยก็ดีพี่ เปลี่ยนเป็นคิดถึงใครสักคนแทน เมนทอล ไลท์ก็ไม่เลวนะ

น้ำหวานพิษ
คงช่วยให้สบายตาขึ้นเยอะเลยใช่มั๊ยหวาน

kimja
ถูกต้องแล้วคร้าบบบ ครูภาษาไทย คราวนี้ ไม่เขียนผิดให้ถูกจับแฮะ haha

พี่มิว
ฤดูร้อน ฤดูหนาว ฤดูฝน คำตอบคือ ชอบฤดูฝนมากที่สุดครับพี่

Anonymous said...

ไอ้น้อง พิมพ์ตัวโตๆหน่อย สายตาเสียหมดต้องเพ่ง

จาก
เพื่อนของพี่คนนั้น

Anonymous said...

ภา

ดุเป็นโปรมากขึ้นนะ คล้าย ๆ ที่ลงนิตยสาร นักเขียนมีชื่อ (ทุกคนเลยเนอะ)นักเขียนจะเล่าเรื่องตัวเองแบบสิ่งละอันพันละน้อยไปเรื่อย ๆ ก็ได้ตังค์ (อิจฉาจัง) ตั้งใจจะบอกว่าอ่านเพลินแฮะ ไม่รักคุดมากนัก คอมเม้นท์เราคราวก่อนได้ผล
คราวต่อไป อยากอ่านเรื่องแปลก ๆ บ้าง (อ้าว พี่โหน่งบอก ไม่ได้เขียนเรื่องเปิดเมืองแปลกนี่)อยากโดนดึงอารมณ์ ไปรู้เรื่องแบบที่พี่ไม่เคยเขียนและคนอื่นไม่น่าจะเขียนน่ะ งงป่ะ
ถ้าพี่งงก็เขียนบบงง ๆ ได้
ปล. เพิ่งรู้ว่าพี่อยู่สะพานใหม่ ดอนเมือง ปิดเทอมภาไปฝึกงานที่กองทัพอากาศ นั่งรถผ่านทุกวันเลย รู้งี้แวะลงหาคนเลี้ยงข้าวก้ดี

Na-pongs Varunyanont said...

นั่งอยู่ริมหน้าต่างเหมือนกัน พักสายตาโดยมองออกไปข้างนอกนั่นมาหลายวันแล้ว ข้างนอกมีทั้งรถยนต์ ตึกสูง และต้นไม้
สบายใจแต่ไม่สบายตา...

นึกลุ้นอยู่เล็กๆ ว่าวันนึงอยากให้มองออกไปแล้วเจอทะเลกว้างตัดหาดทรายสีขาว ไม่ก็ป่าเขียวตัดดินที่เหยียบแล้วนุ่มเท้า

คงจะแหล่ม... ดี :)

วิภพ ล้อมเขต said...

เพื่อนของพี่คนนั้น
ก็ยังวัยรุ่นอยู่นี่ครับ haha

ภา
เขียนเรื่องภา ถือว่าเป็นเรื่องแปลกมั๊ยน้อง

Na-pongs.
เฮ้ย! ออย่าลืมที่แหล่มกว่าคือสาวๆ โอโม่ข้างล่างสิฟะ

Anonymous said...

ไอ เชี้ยโหน่งงง กุมองไม่เห็นเลย
ตัวหนังสือมึงเล็กชิบหายยยย..
ครั้งหน้าทำให้มันหย่ายกว่านี้นะมึง
เหนจายกันมั่ง....สาด

วิภพ ล้อมเขต said...

zomfurby
ด้วยความเคารพ ไอ้เหี้ย มันเป็นที่หน้าจอของแต่ละคนนะเฟ้ย เครื่องกูก็มองเห็นเป็นตัวปกติดี ไม่ได้เล็กหรืออะไรเลย เอหรือเป็นเพราะมึงตัวใหญ่ขึ้นฟะเพื่อน 555 กลับมาไทยเร็วๆ ละ คิดถึงมึง