Wednesday, July 11, 2007

รักจริงๆ นะ รักแค่ไหน

รักจริงๆ นะ รักแค่ไหน/เรื่อง/วิภพ ล้อมเขต

นอกจากคำถามที่ได้ยินบ่อยจนเริ่มชินหูว่า ‘เป็นอย่างไรบ้าง ดีขึ้นหรือยัง’ อีกหนึ่งคำถามที่ถูกถามมาติดๆ คือ ‘พี่มีรุ่นน้องคนหนึ่งน่ารัก นิสัยดี สนใจไหม’ หรือไม่ก็

‘เฮ้ย! ผมมีเพื่อนน่ารักๆ เยอะ นิสัยดี อยากรู้จักไหมพี่’

ทุกครั้งที่ได้ยินคำถามแบบนี้ ใจหนึ่งก็ดีใจที่มีคนคอยเป็นห่วง แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกต่อต้านความสัมพันธ์ใหม่ๆ อยู่ตลอด จนกลายเป็นคำพูดติดปากอยู่เสมอว่า

“ขอบใจ แต่ปล่อยให้เขาไปเจออะไรที่ดีกว่าเถอะ”

แน่นอนว่าถ้าไม่ถูกมองว่าหยิ่งก็มักจะถูกถามกลับมาว่า เป็นอะไร อย่าเพิ่งท้อสิ ไม่แน่คนนี้อาจจะทำให้อะไรๆ ดีขึ้นมาก็ได้นะ แต่จนแล้วจนรอด หลังจากได้เบอร์โทรศัพท์ของคนที่จะกลายเป็นความสัมพันธ์ใหม่ๆ มา ผมก็มักจะเป็นฝ่ายที่หยุดสานสัมพันธ์เองแทบทั้งสิ้น

ใช่ว่าการไม่ให้โอกาสตัวเองอีกครั้งเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี แต่บางช่วงจังหวะของชีวิต คนเราก็เรียนรู้ที่จะหยุดพัก หนักบ้าง เบาบ้างก็ว่ากันไป ตามจังหวะชีวิตของใครของมัน นอกจากการยอมรับความจริงแบบฉับพลัน การเรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยตัวเองจึงกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เดินเข้ามาในชีวิต

หลังจากตัดขาดกับความทรงจำและอดีตบางอย่าง เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมมีโอกาสไปเจอเพื่อนเก่าคนหนึ่งสมัยเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน แน่นอนจากน้ำเสียงที่ไม่ค่อยสู้ดีนักตอนเพื่อนโทรมาหา เมื่อเจอหน้ากันนอกจากจะไม่ได้ยินเสียงหัวเราะแล้ว เรื่องที่เพื่อนจะปรับทุกข์ด้วยจึงมีไม่น้อยอย่างที่คิด

ระหว่างเดินไปกินข้าวบนทางเท้าของถนนสายที่มีรถเมล์วิ่งผ่านไปผ่านมาอยู่ไม่ขาด เมื่อทำใจได้ที่จะระบาย สุดท้ายเพื่อนก็เอ่ยออกมา

“กูรักน้องเขาจริงๆ นะมึง”

“แล้วรักจริงๆ ของมึงนะรักแค่ไหน” ผมถามกลับแบบไม่ได้ตั้งใจกวน

“ก็น้องอยากได้อะไร อยากให้ทำอะไร กูทำให้หมดแบบเต็มใจ”

“แล้วไงต่อสำหรับความรักจริงๆ ของมึง”

“กูเป็นห่วงน้องเขา แคร์ความรู้สึกเขามาก มึงคิดดูนะ กูรอน้องเขามา 1 ปีแล้ว อะไรๆ ก็ยังไม่พัฒนาขึ้นเลย”

“แล้วมึงบอกความรู้สึกน้องเขาไปหรือยังละ”

เพื่อนเงียบไปพักหนึ่ง เราสองคนยังคงเดินต่อ ก่อนจะหยุดรอข้ามถนน แล้วเพื่อนก็พูดขึ้นมาว่า

“บอกแล้ว น้องเขารู้แล้วว่ากูรู้สึกยังไง”

“แล้วน้องเขาว่าไงละ”

“น้องเขาบอกเขาก็ยังไม่มีใคร และตอนนี้ก็ยังไม่มีกูเช่นกัน กูไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วน้องเขาฝังใจอยู่กับใครหรือเปล่า”

คำตอบของเพื่อน ทำเอาผมหยุดเดินระหว่างข้ามถนน จนเพื่อนต้องหันมาถามว่า

“เป็นไรวะ เดี๋ยวรถก็ชนตายห่าหรอก”

นอกจากยิ้มเหมือนเด็กแกล้งกลบเกลื่อนความผิด แล้วส่ายหัวบอกเพื่อนว่าไม่มีอะไร ก็รีบถามเพื่อนกลับไปให้เป็นฝ่ายตั้งรับ

“แล้วมึงจะทำไง”

เพื่อนนิ่งคิดระหว่างเดินต่อไปอีกหลายก้าว แล้วตอบกลับมาว่า

“กูอยากลองให้โอกาสตัวเองอีกครั้งหนึ่ง ถ้าอะไรไม่ดีขึ้นก็คงต้องยอมรับ”

จริงอยู่ที่ว่าคำตอบของความจริงบางอย่าง บางครั้งก็เดินมาพร้อมกับการยอมรับที่เราหลีกเลี่ยงหรือปฏิเสธไม่ได้ โดยเฉพาะกับความจริงบางอย่างที่ทำให้เราต้องเจ็บปวด

‘เป็นอย่างไรบ้าง ดีขึ้นหรือยัง'


'พี่มีรุ่นน้องคนหนึ่งน่ารัก นิสัยดี สนใจไหม’

‘เฮ้ย! ผมมีเพื่อนน่ารักๆ เยอะ นิสัยดี อยากรู้จักไหมพี่’

สามประโยคนี้มักจะโผล่เข้ามาในสมองสลับกับความทรงจำดีๆ จากหญิงสาวของผมที่เพิ่งกลายเป็นอดีตไปไม่นาน พร้อมๆ กับการเรียนรู้ที่จะพัก ในช่วงที่จังหวะชีวิตดูจะสับสนมากเกินไปบนถนนของความรู้สึก

ลองให้โอกาสตัวเองอีกครั้งหนึ่ง ถ้าไม่ดีขึ้นก็ต้องยอมรับ



รถเมล์ยังคงวิ่งผ่านไปมาอยู่ไม่ขาด ระหว่างเดินเพื่อไปหาเพื่อนและแฟนของเพื่อนอีกคนหนึ่งที่รออยู่ ใจหนึ่งก็อยากจะถามคำถามหนึ่งกับเพื่อน แต่อีกใจหนึ่งก็กลัวเพื่อนสับสนและคิดมากไปกว่าเดิม ว่าระหว่างที่ยังรัก ถ้าถูกคนที่รักขอร้องให้เดินออกไปจากชีวิต

เพื่อนจะทำอย่างไร...


15 comments:

Anonymous said...

ผมรักคนทั้งโลกกกกก......555

ปล. ว่าแต่รุ่นน้องน่ารัก ถ้าไม่เอาก็โอนมาให้ผมได้เสมอหนะ

ปล2. ขอให้ทุกคนสมหวังในความรัก

Anonymous said...

ตบมือข้างเดียวมันไม่ดังหรอก
ความรักก็เหมือนกัน....
ดังคำที่ว่า ความรักมันเป็นเรื่องของคนสองคน...
สองคน..ที่รักกัน..เข้าใจกัน
ในทางกับกันมันก็ยากอีกนะแหละกว่าจะ
พบคนที่ ใช่ สำหรับเรา..
มันไม่ใช่เรื่องง่ายจิงๆ..
กว่าจะพบคงต้องมีหลายคยผ่านเข้ามาในชีวิต
ทำให้ชีวิตมีทั้งขม ทั้งหนาว
แน่นอนพร้อมกับความทรงจำ
ถ้ามองโลกในแง่ดี..ก็อเก็บแต่เรื่องดีๆเอาไว้
เมื่อวันนึงได้กลับมาพบกัน ก็จะยังมีความรู้สึกดีๆให้กันบ้าง
แต่ถ้ามองโลกในแง่ลบ...ก็คงจะเจอกันไมได้อีก
สรุปง่ายๆสั้นๆ
ถ้าคิดจะรักก็ต้องพร้อมที่จะทุกข์
เพราะไม่มีสุขใดยืนยง หรือทุกข์ใดยืนยาวเช่นกัน
ชีวิตก็เช่นนี้แหละ...
ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ...เราก็ต้องสู้ต่อไป

Na-pongs Varunyanont said...

นับเอาจากช่วงชีวิตที่เคยผ่านร้อนผ่านหนาวในความรักมาบ้าง (แต่ไม่โชกโชนนัก)

สำหรับผมส่วนที่ยากที่สุดของความรักไม่ได้อยู่ที่การเริ่มต้น แต่อยู่ที่การเก็บรักษามันไว้กับเราให้ได้นานแสนนาน

ระหว่างบรรทัดของความรัก ก็มีแต่อะไรต่อมิอะไรจะมาพรากเราออกจากกันเสียอยู่เรื่อย

ความคิดทีจริงทีเล่น วูบเข้ามาหลังอ่านงานโหน่งจบ จะทำยังไงถ้าคนที่เรารักขอให้เราออกไปจากชีวิตเขา ถ้าเกิดเราแค่รู้จักกันผิวเผิน การจากกันในครั้งนี้ก็แค่เหมือนการโบกมือร่ำลากันเมื่อจะออกจากรถไฟฟ้า แม้ไม่ได้พบกันอีก ถึงเจ็บก็ยังไกลหัวใจ

แล้วถ้าเรารักเขาเสียหมดหัวใจแล้วหละ เป็นผมจะทำยังไงดีนะ? ไม่รู้สิ ยังไม่ได้คิดเผื่อไว้เลย...

Anonymous said...

ป้ายหน้าบ้านสวยดีว่ะ แต่แก้วเหล้า ห่าง ๆ ไว้ จะดี

แล้วมึงจะได้มีมาธิในการเขียนนนนนนนนนนน


เมาไม่เลือกเวลา ก้ไอ้แค่ ไอ้ขี้เมาคนหนึ่ง

ฮ่า ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

Anonymous said...

ใช่ว่าการไม่ให้โอกาสตัวเองอีกครั้งเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี แต่บางช่วงจังหวะของชีวิต คนเราก็เรียนรู้ที่จะหยุดพัก หนักบ้าง เบาบ้างก็ว่ากันไป ตามจังหวะชีวิตของใครของมัน นอกจากการยอมรับความจริงแบบฉับพลัน การเรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยตัวเองจึงกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เดินเข้ามาในชีวิต

เห็นควรด้วยอย่างยิ่ง

ถ้าโดนบอกขนาดนั้นมันก็ต้องเดินออกนั่นล่ะ มีทางเลือกด้วยเหรอ
แต่ก็เข้าใจนะที่จะปรึกษาเพื่อน เพราะบางคำตอบนั้นเรารู้ดีอยู่แล้วแค่ต้องการคำยืนยันให้กับหัวใจที่กำลังอ่อนแอ(แอบเสี่ยว)
จริงๆ แล้ว เราฝังใจกับคนหนึ่งแล้วก็คบกับอีกคนหนึ่งก็ได้นะ(ทำอยู่) ไม่ใช่หลายใจ แค่ไม่ควรให้การฝังใจมันทำร้ายเรามากเกินไป
แต่การจะให้คนอื่นมาช่วยเยียวยาก็ไม่ค่อยดี ระวังเจ็บซ้ำ
สรุป เรื่อยๆ ไป ไม่ต้องไขว่คว้าหรอก รอคอยเวลาเหมาะมาเองดีที่สุด
ย้ำ บางคำตอบเรารู้ดีอยู่แล้ว แค่ต้องการคำยืนยันให้กับหัวใจกำลังอ่อนแอ(แอบเสี่ยวอีกรอบ)

ป.ล. ทั้งหมดสรุปผลจากข้อมูลเท่าที่มี อาจถูกหรืออาจผิดก็ได้นะเธอ

ป.ล.2 พอเป็นเรื่องรักคอมเมนท์ยาวเว้ย โดนใจใครหลายคน

ป.ล. 3 ครั้งนี้ขี้เกียจดูแก้ให้ว่ะ ง่วง ขอลาพักงานอาจารย์ภาษาไทยครั้งนึง

วิภพ ล้อมเขต said...

Maxrio
ผมรักคนทั้งโลกกก
-อย่าลืมรักตัวเองละ

zomfurby
-เรียนหนักไปป่าวบี้ เม้นซะเห็นภาพ แล้วถ้าต้องตบยุงละ ข้างเดียวกับฝาผนังใช้ได้เปล่า

Na-pongs.
-คิดเผื่อไว้บ้างก็ดี ครั้งหนึ่งในชีวิตอาจจะได้เจอคำถามแบบนี้

ปุถุชน
-โต๊ะรกไปหน่อย แต่ก็รักมากเช่นกัน เหล้ากินไม่บ่อยหรอกพี่ หนังสือก็เขียนตลอดที่พี่ไม่กินเหล้า อย่าลืมสิว่าพี่เป็นอิสลาม มิฉะนั้นป่านนี้คงเป็นกวีเหี่ยวขี้เมาแน่ๆ haha


kimja
สงสัยแทงใจดำจนลืมจับผิด เม้นซะยาวเชียว อะแฮ่มๆ ทำไรก็นึกถึงใจเขาใจเราบ้างนะเพื่อน

Anonymous said...

ขอบคุณเพื่อนที่แสนดีแต่ล้านเหี้ย มันรู้สึกดีนะที่เราได้อ่าน อ่านแล้วทำให้ได้คิด คิดอะไรได้อีกเยอะมากเลยขอบคุณนะ "เพื่อน"

Anonymous said...

คนบางคนผ่านมา ก็ให้มันผ่านไปเหอะ (คุ้นๆ แต่แอบแปลงนิดหน่อย 555 พี่เค้าคงไม่ว่ากัน)...
อ้อ...ถ้าจะให้ดี ให้มันรีบๆ ไปด้วยนะ..จะได้ไม่เจ็บซ้ำเจ็บซากอีกต่อไป

Anonymous said...

ขอเข้ามาแก้ข่าวซะอีกรอบเดี๋ยวจะเข้าใจผิดไปไกล

ที่บอกว่าทำอยู่ หมายความเราไม่ได้ลืมใครไป แล้วก็ไม่ได้ใส่ใจมันมากเกินไป เหมือนเค้าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา คล้ายเวลากินข้าว เข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตา แปรงฟัน อะไรแบบนั้น

แล้วก็ไม่ได้ปิดบังนะเว้ย คนที่ตอนนี้คบอยู่ก็รู้ดี ไม่ประโยชน์อะไรหรอกที่เราพยายามจะลืมใครสักคน ยิ่งพยายามลืมมันจะลืมไม่ได้ สู้ยอมรับแล้วปล่อยให้มันเป็นไปดีกว่า

ทำนองนั้น เลยไม่เข้าใจว่าทำไมต้องใจเขาใจเรา

เฮ้อ เหมือนเป็นพวกร้อนตัวมากๆ เลยว่ะ

ส่วนเรื่องคอมเมนท์ยาว ก็เห็นยาวมันซะทุกคน เรื่องรักมักกระตุกต่อมคิดคน (ใครบางคนเคยกล่าวไว้เช่นนั้น)

sun on head said...

จริงแล้วมันแทงใจเจ้าของเรื่องต่างหากละ kimja ที่ไม่เคยได้ลืมอะไรไปซักที แม้จะมีความพยายาม 5555
โดนซะแล้ว มะโหน่งเอ๋ย

วิภพ ล้อมเขต said...

จริงๆ แล้วไม่โดนไรหรอกพี่ บอกไปว่าเฉยๆ พี่ก็คงไม่เชื่อหรอก 555 แล้วพี่ละฝังใจอะไรกับใครหรือเปล่า ถึงขนาดบอกว่า ห้ามเอ่ยชื่อให้ได้ยินอีก haha

Anonymous said...

- ไม่ต้องรีบหรอกค่า เรื่องแบบนี้

- รอคนที่จริงใจที่สุดดีกว่า

- ดีกว่ามาเจอคนรักที่มาจากคำแนะนำของคนอื่นนะ

- รอสักหน่อย คนที่เกิดมาเพื่อเราอยู่ไม่ไกลหรอกค่ะ

- ยังไงก็ต้องเจอกัน


from:gade

Anonymous said...

วิภพ ถ้าไม่รู้อะไรจริงเหมือนที่ไม่รู้จักตัวเอง ก็อย่าพยายามคิดให้มันเสียหายไปมากกว่านี้ แล้วกรุณาอย่าไปพาดพิงที่บลอกคนอื่นเค้า มาเม้นที่บลอกฉัน หรือไม่ถ้ามีปัญหามาก ต่างคนต่างอยู่ไปเลยดีกว่า...ฉันจะไม่มาคอมเม้นท์ใดๆ อีก รวมไปถึงคุณภาพชีวิตแกด้วย...ฉันเริ่มของขึ้นแล้ว

ป.ล. ถ้าเอาพานธูปเทียนแพมากราบไหว้ขอขมาในสามวัน ฉันอาจจะให้อภัย...Ha Ha ...พี่หมวยรอเก็บศพแกอยู่

Anonymous said...

เฮ้ย...........
เรื่องแบบนี้มันไม่เข้าใครออกใครเนอะ
พี่โหน่งบอกว่าการจะรักใครไม่ต้องเกรงใจใคร
เรื่องรักมันบังคับใจไม่ได้
ถ้ามันจะใช่มันก็ต้องใช้
ถ้ามันไม่ใช่จะฝืนยังไงมันก็ไม่ใช่
แต่ถ้าได้รักใครแล้วเราไม่คิดที่ยึดติด
ว่าเขาต้องเป็นของเรา
ความทุกข์ใจมันก็จะไม่บังเกิดขึ้น
แล้วทำไมไม่คิดละว่าถ้าไม่ได้เป็นแฟน
แต่เป็นน้องเราก็สามารถรักได้เหมือนกัน
ดูแลกันได้ ห่วงใยกันได้ แบบนี้ไม่ดีกว่าหรอ
ไม่มีเลิกกันด้วย แล้วก็มีความสุขทั้งสองฝ่ายด้วย

Anonymous said...

เรื่องของความรักนี่มันก็พูดยาก
มันไม่มีเหตุผล
มันไม่มีตัววัดกำหนด
มันไม่มีแบบแผน
มันไม่มีที่มา
บางคนว่ารักเหมือนหนังสือที่บางทีเราเสียเวลาอ่านจนจบอาจไม่ใช่เล่มที่เราชอบก็ได้

บางคนว่าความรักเหมือนการรอรถเมล์ คันแรกไม่ใช่ คันสองคนแน่น คันสามไม่ดี คันไหนๆก็ไม่ถูกใจสักที สุดท้ายกลับกระโดดขึ้นรถเมล์ผิดสายซะนี่

บางคนว่าความรักเหมือนการนั่งรถไฟ ค่อยๆไป ช้าๆแต่ก็ถึง นั่งเก็บนั่งเก็บภาพวิวสวยๆข้างทาง

บางคนว่าความรักเหมือนรองเท้า ที่มันมีคู่ของมันอยู่เสมอ คู่ที่ลงตัวเข้ากันได้พอดี

เคยมีคนบอกว่าไม่มีความบังเอิญในเรื่องของความรัก
บางคนก็ว่าอย่าได้ไปยึดติด
แล้วจริงๆเราต้องการอะไรจากความรักล่ะ

จะช้าไปมั๊ยถ้ามาเม้นเรื่องนี้ก้มันเพิ่งเม้นได้อ่ะนะ
เลยมานั่งตามอ่าน
ขอให้เพื่อนคุณวิภพโชคดีนะคะ