Toffee Bar บาร์ในห้องนอน…วิภพ ล้อมเขต
นอกเหนือจากการมีจักรยานโบราณมือแปดรุ่นแม่บ้านญี่ปุ่นปั่นไปซื้อของ ยี่ห้อ MIYATA แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ผมเป็นเจ้าของอย่างถูกต้องคือ บาร์เล็กๆ ในห้องนอนของตัวเองที่ผมตั้งชื่อตามชื่อหมาของผมว่า
‘Toffee Bar’
บาร์เล็กๆ ในห้องนอนของผมเปิดให้บริการหลังพระอาทิตย์ตกดินเป็นต้นไป ถ้าคุณเป็นคนช่างสังเกต คุณก็จะเห็นนาฬิกาแขวนผนังในห้องนอนของผมที่เดินไม่เคยตรงเวลา และบางครั้งก็หยุดเดินเอาดื้อๆ
ทุกครั้งเวลาผมปิดไฟในห้องนอนนาฬิกาลูกหมูดิจิตอลของผมจะส่องแสงสลับกัน 6 สี เพลงYesterdays ของ Mile Davids ที่เป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้นในแต่ละค่ำคืนของบาร์ก็จะเริ่มดังขึ้น หลังจากนั้นจะเป็นเพลงที่ไม่ได้ถูกกำหนดไว้ และจะปิดบาร์ด้วยเพลง Autumn Leaves ที่เป็นการดวลกันของเทพเจ้าแห่งทรัมเป็ตและเทพเจ้าแห่งแซ็กโซโฟน Mile Davids กับ John Coltrane เสมอ
บาร์เล็กๆ ในห้องนอนของผมทำขึ้นมาจากชั้นวางทีวีเก่าๆ โชคดีที่ชั้นล่างยังมีประตูกระจกที่ยังใช้การได้อยู่ บางเวลานอกจากจะเป็นที่เก็บ cd แล้ว จึงกลายเป็นที่เก็บบรรดาอุปกรณ์ในการชงเหล้าทั้งหลายด้วยไปโดยปริยาย ด้านขวาของบาร์เป็นโต๊ะที่ผมใช้เขียนหนังสือ ส่วนทางด้านซ้ายเป็นที่นอนเตียงเดี่ยวขนาด 3.5x5 ฟุต และนอกเหนือไปกว่านั้นคือ บาร์ของผมตั้งอยู่ริมหน้าต่างที่มีธงชาติอเมริกาเป็นผ้าม่านบังแดดในตอนกลางวัน ส่วนตอนกลางคืนเวลาที่บาร์เปิด ผมจะรวบธงชาติอเมริกาเข้าหากันเพื่อเปิดทางให้มองเห็นพระจันทร์ขึ้นได้แบบเต็มที่
สิ่งหนึ่งที่ผมตั้งใจมากเป็นพิเศษคือจำนวนของที่นั่งตรงบาร์ที่กำหนดไว้แค่ 2 ที่นั่ง และแน่นอนว่าถ้าที่นั่ง 2 ที่นั่งนี้คือที่สำหรับคู่รักคู่หนึ่งจะเยี่ยมยอดมากเลยทีเดียว แต่อะไรก็ไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิด โชคร้ายที่ผมเพิ่งแยกทางกับคนรัก ที่นั่งทั้ง 2 ที่ในบาร์ของผมจึงไม่มีโอกาสต้อนรับคนรักของผมอย่างที่ตั้งใจไว้ และด้วยความตั้งใจอย่างสุดซึ้ง นอกจาก 2 ที่นั่งนี้จะไม่ใช่ที่นั่งของผมกับเธอแล้ว บาร์ของผมก็ไม่ได้ต้อนรับใครอื่นมากเป็นพิเศษนัก ทุกๆ วันนอกจากผมแล้วก็มีเพียงท็อฟฟี่หมาของผม ที่ผมยืมชื่อมาตั้งเป็นชื่อบาร์มาใช้บริการเท่านั้นเอง แล้วถ้าพูดถึงเครื่องดื่ม บางคืนผมเปิด Spakling wine J.C.Le ROUK จาก South Africa บางคืนเป็น คนร้อยคนเป่าปี่ หรือไม่ก็เบียร์ รวมไปถึงเหล้าขาวที่บาร์ของผมและตัวผมเองก็ไม่ได้ปฏิเสธหรือรังเกียจอะไรนัก
คุณอาจจะสงสัยว่าทำไมบาร์ของผมรับได้แค่ 2 ที่นั่ง ผมบอกให้ก็ได้ว่า เป็นเพราะข้อจำกัดในเรื่องสัดส่วนของบาร์ที่พอดีกับขนาดของหน้าต่าง ถ้าคุณมาเป็นคนที่ 3 ที่นั่งที่คุณจะได้นั่งจะเป็นที่ๆ คุณไม่สามารถมองเห็นพระจันทร์เวลาขึ้น จากหน้าต่างที่มีธงอเมริกาเป็นผ้าม่านเท่านั้นเอง
นอกเหนือจากนี้เวลาผมปิดไฟในห้องนอน คืนไหนพระจันทร์เต็มดวงก็จะมีแสงของพระจันทร์ฉายเข้ามาทางหน้าต่างที่บาร์ของผมตั้งอยู่แบบพอดิบพอดี แล้วถ้าเกิดคุณได้นั่งเป็นคนที่ 3 คุณจะไม่รู้สึกเสียดายเชียวเหรอ
อย่างที่เกริ่นมาในขั้นต้น คุณคงจะพอเดาได้ว่าบาร์เล็กๆ ในห้องนอนของผมเปิดเพลงแจ๊ส และเมื่อบาร์เปิด ทุกๆ คืนผมจะนั่งดื่มอะไรไปพลาง ฟังเสียงเทเนอร์แซ็กของ John Coltrane หรือไม่ก็ทรัมเป็ตของ Mile Davis เป็นกับแกล้มมากกว่าถั่วลิสงหรือปลาหมึกแห้งบด 3 ตัว 20 บาท บางครั้งก็มีเสียงเปียโนของ Bill Evans มาแจม และถ้าคืนไหนผมเมาขึ้นมา แค่เบี่ยงตัวไปทางซ้ายนิดเดียว ผมก็จะหล่นตุ๊บลงบนที่นอนเตียงเดี่ยวขนาด 3.5x5 ฟุต แบบพอดิบพอดี ประหยัดค่าแท็กซี่ในการกลับบ้านได้เยอะพอสมควร และแน่นอนว่าเงินที่ไม่ได้จ่ายเป็นค่าแท็กซี่นั้น ผมจะเอาไปซื้อบรรดาเครื่องดื่มทั้งหลายมาตุนไว้ที่ตู้เย็นในครัวที่บ้านของผม
หลายคนอาจจะสงสัยขึ้นมาอีกว่า ปัดโถ่! ทำไมจะต้องเป็นเพลงแจ๊สด้วยวะ ทำเป็นไฮโซไปได้
ด้วยความเคารพ เปล่า! ผมไม่ได้ทำตัวไฮโซกลางวันผมก็กินข้าวแกงจานละ 25 บาท นั่งรถเมล์ไปทำงาน ติดแหงกอยู่ใต้สะพานเกษตร แต่บางช่วงจังหวะของชีวิต ผมเชื่อว่าเราทุกคนจะเรียนรู้ที่จะมีแนวดนตรีที่ชอบฟังเป็นของตัวเอง และผมเองก็เลือกแจ๊สเป็นแนวดนตรีที่ชอบ แม้ว่าก่อนหน้านี้ตอนที่ผมอายุ 19 ปี ผมจะเกลียดเพลงแจ๊สเข้าไส้ ถึงขนาดที่เคยสาบานต่อหน้ารุ่นพี่นักเขียนคนหนึ่งที่ชอบฟังเพลงแจ๊สเป็นชีวิตจิตใจว่า ชาตินี้ชีวิตนี้ผมคงไม่มีทางฟังแจ๊สแน่นอน
“วันหนึ่งเอ็งอายุมากขึ้นเดี๋ยวก็ฟัง เชื่อพี่สิ”
แล้ววันหนึ่งผมก็ผิดคำสาบาน รวมทั้งเริ่มขวนขวายหาเพลงแจ๊สมาฟังจนได้ และอัลบั้มเพลงแจ๊สอัลบั้มแรกที่ผมมีในครอบครองก็คือ Kind Of Blue ของ Mile Davis ที่ผมฝากโบบี้เพื่อนชาวนิวยอร์คเกอร์ซื้อมาจากอเมริกาในราคา 11 เหรียญ ตามมาด้วยอัลบั้ม Miles In Tokyo (Miles Davis Live In Concert) ราคา 10 เหรียญ อีกหนึ่งอัลบั้ม
แน่นอนว่าอายุอย่างผมคงไม่ทันยุคเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่ขึ้นชื่อด้านความคมชัดมากที่สุดของเสียง และด้วยกำลังทรัพย์ที่ผมมี บวกกับความจำเป็นบางอย่าง สิ่งเดียวที่ผมทำได้จึงเป็นการป้อนแผ่น cd เข้าไปในแลปท็อบของผมหรือไม่ก็เปิดเอาจากไฟล์ mp3 ต่อสายเข้ากับลำโพงดีๆ สักตัว เพื่อให้ได้ยินเสียงเดินเบสชัดขึ้นกว่าลำโพงกระป๋องที่เคยใช้ และถ้าคุณไม่เรื่องมากถึงขั้นหูเทพเกินไป แน่นอนว่าตลอดเวลาที่บาร์ในห้องนอนของผมเปิดทำการ เสียงจากลำโพงทั้งสองตัวของผมจะไม่เดินไปเตะหูของคุณให้รู้สึกรำคาญใจเลยทีเดียว และถ้าหากว่าคุณเป็นคอแจ๊ส ระดับเข้าเส้นเลือดใหญ่ที่ไหลตรงเข้าไปหล่อเลี้ยงหัวใจ ขอจงอย่าคาดหวังในเพลงที่บาร์ของผมเปิด เพราะผมไม่ได้เปิดบาร์นี้ขึ้นมาเพื่อเอาใจหรือดูดเอาเงินจากกระเป๋าใคร ผมเพียงแค่ต้องการหลีกหนีการนั่งฟังเพลงที่ผมชอบท่ามกลางฝูงชนที่ผมไม่รู้จักเท่านั้นเอง
สิ่งหนึ่งที่คนขี้ร้อนทั้งหลายควรจะรับทราบไว้ คือบาร์ของผมไม่มีเครื่องปรับอากาศ มีเพียงหน้าต่างสี่บานที่เป็นช่องทางเดินของลมกับพัดลมอีกหนึ่งตัวเท่านั้น และผมก็คิดว่าแค่นี้คงเพียงพอที่จะไม่ทำให้คุณรู้สึกร้อนอบอ้าวตลอดเวลาที่นั่งฟังเพลงกึ๊บอะไรไปพลางอยู่ในบาร์ของผม
ตลอดเวลาที่เปิดบาร์มา ผมค้นพบว่าการนั่งฟังเพลงไปพลาง ช่วยให้อารมณ์ในการเขียนหนังสือของผมนั้นลื่นไหลพอๆ กับช่วงเวลาที่ผมกึ๊บอะไรลงไปในลำคอ จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ ถ้าอยู่ๆ ผมเกิดคิดบทกวี พล็อตเรื่องสั้นหรือนิยายขึ้นมาได้ใหม่ๆ ในช่วงเวลาที่ผมนั่งกึ๊บอะไรแบบได้ที่ในบาร์ของผมเอง และทุกค่ำคืนที่บาร์เปิด ผมก็ไม่ได้เมาหัวราน้ำเสมอ เพราะผมต้องตื่นมาให้อาหารท็อฟฟี่ในตอนหกโมงเช้า และไปตอกบัตรเข้าทำงานให้ทันแปดโมงครึ่ง
แต่คุณไม่ต้องห่วงถ้าเกิดวันใดวันหนึ่ง คุณรู้สึกอยากจะมาใช้บริการบาร์แจ๊สในห้องนอนของผมขึ้นมา บางสิ่งบางอย่างในตัวผมจะทำการตรวจสอบคุณสมบัติของคุณเอง ว่าคุณเหมาะสมที่จะเข้ามาใช้บริการในบาร์ของผมหรือเปล่า และข้อห้ามหนึ่งที่คุณควรจะท่องให้ขึ้นใจคือ
เมื่อคุณกึ๊บอะไรลงคอพร้อมทั้งได้ฟังเพลงจากบาร์ในห้องนอนของผมแล้ว กรุณาอย่าพล่ามถึงความรักในอดีตที่แสนขมขื่นของคุณ เพราะมันอาจทำให้ผมคิดถึงผู้หญิงคนๆ หนึ่งขึ้นมาที่ชอบพูดว่า ผมมันก็แค่ไอ้ขี้เมา เวลาที่แม่ของเธอถามถึงผม
แต่ถึงทั้งนี้ทั้งนั้น ปัจจุบัน Toffee Bar บาร์แจ๊สเล็กๆ ในห้องนอนของผมก็ยังเปิดให้บริการมาถึงทุกวันนี้ แม้บางสิ่งบางอย่างภายนอกจะเปลี่ยนไปบ้าง
แต่ภายในไม่เคยเปลี่ยนแปลง...
Monday, July 23, 2007
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
12 comments:
ชิวโครตนะมึง อยากมีไว้ในห้องเหมือนกานวะ เอิ๊กๆ
ว่าแต่..เลิกกะสาวคนไหนวะ..คนที่เคยเล่นเวบแคมกุกุป่าววะ...
เขียนไป แอบเหงาไปด้วยรึป่าวเนี่ยพี่..ปลาอ่านเหมือนอารมณ์มานจะเหงาๆแถมแอบกัดเล็กๆนะพี่ ฮาฮา
สงสัยต้องหาเพลงแจ๊สมาฟังมั่งและ
.....ก่อนหน้านี้ไม่เคยฟังแจ๊สเลย..ตั้งแต่ได้ก้าวเข้าไปในห้องสี่เหลี่ยม เหมือนจะเป็นห้องที่ไม่มีอะไรเป็นเหมือนห้องธรรมดา แต่ในห้องๆนั้นมีอะไรๆที่มากว่าห้องสี่เหลี่ยม...ลมดี
ขอทำบัตรสมาชิกได้ปะ Toffee Bar เนี่ย ว่าแต่ห้ามพูดเรื่องความรักเก่าๆหรอวะ แล้วเวลาเมาเราจะคุยอะไรกันได้อีกวะ 555
น่าอิจฉา...มีบาร์ส่วนตัว+บรรยากาศสบายๆ
เขาว่ากันว่าบรรายากาศที่ดี จะทำให้อารมณ์..ดี
ท่าทางจะจริงนะ...ใช่ป่ะ คุณวิภพ ล้อมเขต
อ่านทีแรกนึกว่าเรื่องสั้นของมูราคามิ คิคิ
ลองแปลงเป็นเรื่องสั้นดูสิ เข้าเค้านะ
มีคนเคยบอกว่า จริงๆแล้วเพลงแจ๊ส ไม่ได้ฮิตอะไรเลยในสมัยก่อน เป็นเพลงของคนดำที่ออกจะโดนเหยียดด้วยซ้ำไป แต่ตอนนี้พอใครฟังแจ๊สก็กลับเป็นดูไฮโซไปซะนี่ อ่ะนะ เวลาเปลี่ยน คนเปลี่ยน แล้วแกหล่ะโหน่ง ยังคิดถึงผู้หญิงคนนั้นอีกเหรอ ไหนบอกกับพี่แล้วไง ว่าจะไม่ๆๆแล้ว
เพื่อนของพี่คนนั้น
zomfurby
มีไว้แล้วรับรองจะสนุกกับค่ำคืนของกรุงเทพวะเพื่อน
Lukpla*
หายไปนานเลยนะน้อง นิดนึงๆ
gift
บางครั้งชีวิตก็มีจุดเปลี่ยน
Maxrio
ค่าบัตรสมาชิกแพงนะเฟ้ย สู้ป่าว
ZA
ถูกต้องแล้วครับ
Nok
น่าสนครับพี่
เพื่อนของพี่คนนั้น
ถูกต้องครับ สมัยที่ Mile เล่นดนตรีใหม่ๆ ตอนขึ้นเวที เขากลายเป็นตัวตลกของคนในวง แถมยังถูกรุ่นพี่เอาลูกโป่งไปผูกที่เท้าอีก เล่าแค่นี้ก่อนคร่าวๆ เอาไว้เขียนให้อ่าน ออ...ทั้ง Mile และ Coltrane เป็นคนดำทั้งคู่ นอกจากนี้ทั้ง 2 คน คือตำนานของวงการเพลงแจ๊สครับ
โห เลิศค่ะ
คิดได้ไงบาร์ในห้อง
มองโลกในแง่ดีมากๆเลย
ป.ล. ในที่สุดตอนนี้
ก็หาคนชอบเพลงแจ๊สเหมือนกันได้แร้ว
FROM : Gadii
อ่านแล้วอยากจะกรี๊ด
ห้องน่าอยู่มาก
บาร์เล็กๆ ม่านธงชาติอเมริกา
นั่งมองจันทร์ เคล้าเพลงแจ๊ส แก้มปลาหมึกบดนั่นแหละใช่เลย
ดูน่าสุขใจมากคะ
อิจฉาจริงๆ
ห้องพี่ก็มีนะเว้ย มีสลัดบาร์ แหมๆ อร่อยๆๆๆ
เป็นคนชอบเพลงแจ็สเหมือนกันค่ะ ฟังแล้วสบายหู สบายใจดีค่ะ
นึกแล้วก็อยากใช้บริการToffee bar บ้าง:-)
แต่คิดว่างั้นนี้สงวนให้สำหรับคนพิเศษของคุณโหน่งดีกว่า อย่างที่คุณโหน่งต้องการ
ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
Post a Comment