Thursday, November 29, 2007

ใบไม้ ความรัก และสายลม

ใบไม้ ความรัก และสายลม-วิภพ ล้อมเขต


ในชั่วโมงของการทำงานที่เร่งรีบ ถ้อยคำของเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งที่พิมพ์ผ่านมาทางโปรแกรม MSN ทำให้สมองซีกที่กำลังคิดเรื่องงานของผม เป็นอัมพาตไปชั่วขณะหนึ่ง

“ใครเป็นแฟนเรา ถือว่าโชคดีมากๆ”

ใครเจอข้อความแบบนี้เข้าไป ก็คงไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าความรู้สึกที่ว่า เพื่อนผู้หญิงของผมคนนี้คงเป็นเอามาก มากเสียจนใครหลายคนอาจคิดว่า เธอกำลังหลงตัวเอง

ไหนๆ ก็หลงคิดไปตามถ้อยคำที่เธอบอกแล้ว เลยถือโอกาสนี้พักสมอง พิมพ์ถามเธอกลับไปแบบจริงจังว่า

“ทำไมถึงบอกว่าโชคดี”

เธอเงียบไปชั่วขณะ ก่อนที่จะพิมพ์ตอบกลับมา

“ก็เพราะเราเป็นยอดหญิงเข้าใจโลกนะสิ” คำตอบที่ได้กลับมา ทำให้ผมรู้สึกตกใจมากกว่าถ้อยคำประโยคแรกที่เธอบอกเสียอีก

ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งที่บูชาความรักคล้ายดั่งการบูชาพระเจ้า ยอดหญิงเข้าใจโลกที่เธอหมายถึง จึงเป็นเรื่องของยอดหญิงที่เข้าใจโลกของความรัก มากกว่าโลกของความเป็นจริงที่ต้องใช้ลมหายใจเป็นเชื้อเพลิง
แต่ใครคนหนึ่งเคยพูดไว้ว่า ใครที่บอกว่าเข้าใจความรัก คนๆ นั้นคือคนที่ไม่เข้าใจความรักเอาเสียเลย

ฟังดูอาจคล้าย ‘เซน’ และคงไม่ผิดหากจะมีใครคิดแบบนี้ แต่ท้ายที่สุดแล้ว จุดหมายปลายทางกลับมุ่งไปสู่ทิศทางเดียวกัน ทิศทางที่ว่านั่นคือความเข้าใจ

ผมนึกถึงประโยคหนึ่งที่เธอเคยพูดถึงแฟนเก่าให้ฟังว่า ตอนที่คบกันเธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังใส่หมวกที่ใช้ครอบหัวม้า ชีวิตในตอนนั้นมองเห็นแต่ด้านหน้า ไม่รู้จักคำว่า ซ้าย-ขวา จนวันหนึ่งที่เธอได้ถอดหมวกใบนั้นออกอย่างจริงจัง ด้านซ้ายด้านขวาที่เธอไม่เคยมองเห็นก็ดูจะชัดเจนขึ้น

ความรักอันแสนหวานมีด้านที่โหดร้ายเหมือนกัน

หลังจากตัดใจจากคนรักคนเก่า ผมไม่รู้ว่าช่วงเวลานั้นเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ทั้งที่บางทีเธออาจจะไม่ได้คิดอะไรเลยก็ได้ แต่อย่างน้อยบทเรียนครั้งนั้น ก็ทำให้เธอได้เรียนรู้ที่จะเยียวยาแผลใจด้วยตัวเธอเอง และยิ้มได้ในเช้าวันใหม่

แต่สถานที่สวยงามมักไม่เคยขาดผู้มาเยี่ยมเยียน มันจึงไม่มีเวลาซ่อมแซมตัวเองหรือได้อยู่กับตัวเองเพียงลำพัง ไม่ต่างอะไรกันนักกับหญิงสาวที่สวยงาม

หลังจากเสียใจอยู่ไม่นาน...ความรักครั้งใหม่ของเธอก็ถือกำเนิด พร้อมๆ กับความเชื่อที่ว่า เขาคือฝาแฝดของเธอที่ผลัดพรากจากกันมานานแสนนาน

เมื่อต่างฝ่ายต่างชอบพอกัน ระยะเวลาความสัมพันธ์ที่เคยดูไกลเกินเอื้อม กลับย่อย่นตัวเองลงกลายเป็นดั่งเงาของกันและกัน

“ทำไมถึงคิดว่าเขาเป็นฝาแฝด”

“ก็เราชอบอะไรเหมือนกัน นิสัยคล้ายๆ กัน ใครจะเหมือนแกล่ะ ชอบยึดติดอยู่กับอดีต”

เธอมักจะว่าผมแบบนี้เสมอทุกครั้งที่เราคุยเรื่องความรัก และแน่นอนว่าผมมักจะตอบเธอว่า “เปล่า”

“เปล่าอะไร ก็เห็นเอ่ะอะอะไรก็ชอบพูดถึงแต่เขาให้ฟัง”

“ก็เพื่อนกันนี่ ตัดยังไงก็ไม่ขาดหรอก”

“ก็ให้มันจริงเหอะที่ว่าเพื่อน แกน่าจะลองเปิดใจดูบ้าง หรือชอบที่จะอยู่กับอดีตไปตลอด”

ทั้งรับรู้และเข้าใจในความห่วงใย แต่จะให้ออกตัวว่าไม่ได้ยึดติดกับอดีต เหตุผลนี้ก็คงทำหน้าที่ได้เต็มที่นั่นคือการกลายเป็นคำแก้ตัว

ทางเดียวที่พอจะให้คำถามนี้จางหายได้ จึงเป็นการปล่อยให้ความเงียบขี่ม้าขาวมาเป็นพระเอก และดูท่าว่ามันจะได้ผล

“คิดถึงเขาจังเลย”

แน่นอนเธอหมายความถึงคนรักของเธอที่ออกไปทำงานที่ต่างจังหวัด

“คิดถึงก็โทรไปหาเขาสิ” ผมบอก

“โทรไปแล้ว แต่ก็ยังคิดถึงอยู่”

“งั้นก็โทรไปบอกอีกสิ”

“ไม่เอา...ตอนนี้เขาคงทำงานอยู่”

ใบไม้บนต้นไม้ข้างหน้าต่างสั่นไหวไปตามแรงลม บางใบหลุดร่วงหล่นลงมาจากลำต้น เพราะแรงลมหนาวที่พัดโชยมาตามช่วงฤดูกาล

“หน้าหนาวแล้วนะแก ไม่เหงาหรือไง เออ...ถ้าฝากสายลมไปบอก แกว่าความคิดถึงจะเดินทางไปถึงเขามั้ย”

“ฝากสายลมเหรอ...ประสาทหรือเปล่า คุยกับสายลม”

เธอหัวเราะในคำถามของผม ในบางความหมายความรักจึงไม่ต่างอะไรจากเรือนเพาะชำ ที่เป็นบ่ออนุบาลของความรู้สึก โดยมีความคิดถึงเป็นอาหารหล่อเลี้ยงยามต้องไกลกัน

“ไม่ได้ประสาท ก็เขาบอกว่าเวลาใบไม้สั่นไหว นั่นแสดงว่าใบไม้กำลังคุยกับสายลมอยู่นะสิ”

“เขานะใคร”

“ก็ฝาแฝดฉันที่หายไปไง แล้วแกคิดว่าไงล่ะ”

“อาจจะไปถึงช้าหน่อยมั้ง เพราะคนขับรถเขาคงขับรถเร็ว”

“อีกละ...แกก็เป็นแบบนี้ทุกที”

“เป็นอะไร”

“ก็เป็นผู้ชายที่ไม่โรแมนติกเลยนะสิ”

ลมหนาวบางวูบพัดโชยผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้องที่ผมนั่งทำงานอยู่ นั่นนะสิ ถ้าฝากความคิดถึงไปกับสายลม เขาคนนั้นจะรู้หรือเปล่า

บางที...สายลมอาจเป็นสื่อกลางของความคิดถึงได้เป็นอย่างดี หรือไม่แน่...ความคิดถึงมากมายที่สายลมบรรทุกไป ก็อาจตกหล่นหายลงระหว่างทางก็เป็นได้

ระหว่างนั่งรถตู้กลับบ้านเพียงลำพัง เบาะที่นั่งด้านข้างผมปราศจากผู้โดยสาร เงาของเสาไฟฟ้าสองข้างทางยังคงทอดผ่านตัวผมต้นแล้วต้นเล่า ในช่วงเวลาที่คำถามของเพื่อนผู้หญิงของผมที่เป็นยอดหญิงเข้าใจโลก ยังคงแว่วดังอยู่ในความรู้สึก

“ถ้าฝากสายลมไปบอก แกคิดว่าความคิดถึงจะเดินทางไปถึงเขามั้ย”

นั่นนะสิ ถ้าให้ตอบแบบจริงจังตามความรู้สึก ผมเองก็ไม่มั่นใจ และคงทำได้แต่มองดูใบไม้

ที่ปลิวล่องลอยไปตามสายลม...




9 comments:

Anonymous said...

"ก็เป็นผู้ชายที่ไม่โรแมนติกเลยนะสิ"

แอบเถียงอยู่ในใจ เพราะพ่อหนุ่มขี้เหงา(ของฉัน)ช่างลึกล้ำในความโรแมนติคน่ะสิ

แอบติ๊ต่างว่าเป็นของตัวซะงั้น -_-"

เอ่อ เรื่อง bg.โกรธหรือเปล่าค่ะ แซวเล่นอ่ะ สีออกจะน่ารักดี สีมะนาวจี๊ดนั่นน่ะ ทำให้ความเหงาของคุณอบอุ่นขึ้นหลายกองเชียว

ฉัน...ผู้หญิงที่หลงรักฤดูฝน

วิภพ ล้อมเขต said...

ฉัน...ผู้หญิงที่หลงรักฤดูฝน

คุณคือใครครับ...แต่ช่างเถอะ บางครั้งคนเราก็ไม่จำเป็นต้องรู้จักกันแบบจริงจัง รู้จักกันในโลกของถ้อยคำก็ดีเหมือนกันครับ

...ไม่ได้เป็นคนโรแมนติกอะไรหรอกครับ ส่วนเรื่องบล็อกไม่ได้โกรธครับ ผมเพียงแค่อยากลองเปลี่ยนสีของบล็อกดูบ้าง พักนี้บล็อกมันดูเฉื่อยๆแค่นั้นเองละครับ ขอบคุณที่มาเยี่ยมเยียนนะครับ

Anonymous said...

เป็นคำถามที่น่ากลัวเอาการ...เป็นแค่คนที่ชอบอ่านความรู้สึกของหนุ่มขี้เหงาเช่นคุณ...

ซึ่งฉันอาจติ๊ต่างไปเองอีกนั่นแหละว่าคุณขี้เหงา...ไม่รู้สิ ตัวอักษรของคุณมีอาการแบบนั้น

:)

ฉัน...ผู้หญิงที่หลงรักฤดูฝน

วิภพ ล้อมเขต said...

ฉัน...ผู้หญิงที่หลงรักฤดูฝน

555 ไม่ต้องตกใจครับ มีคนติ๊ต่างแบบคุณเป็น 100 กว่าคนแล้วละครับ

ว่าจะลองเปลี่ยนมาเขียนเกี่ยวกับเพลงดูบ้าง แต่มีคนบอกว่า เดี๋ยวก็ไมพ้นเพลงเหงาๆ อีกหรอก (ป่อยยย!)


ว่าแต่เป็นแค่คนที่ชอบอ่านความรู้สึกของหนุ่มขี้เหงาเช่นคุณ...เข้าใจตอบดีแฮะ ^_^

Anonymous said...

เฮ้อ...โล่งใจ ที่ฉันเป็นหนึ่งในคนส่วนใหญ่ที่ติ๊ต่างเช่นนั้น แสดงว่าฉันยังเป็นปกติอยู่ อิอิ

เขียนเกี่ยวกับเพลง..อืม ก็เห็นด้วยกับคนที่คิดเช่นนั้น แต่ฉันเชื่อว่า มุมมองของคุณจะแตกต่างออกไป จะติดตามอย่างใกล้ชิดนะคะ

ฝากสายลมที่ว่าหนาวพัดให้คุณเย็นสบายในทุกๆคราวที่ร้อนใจ..

:)

ฉัน...ผู้หญิงที่หลงรักฤดูฝน

jj said...

มะโหน่ง
ให้ฉันอ่านก่อนไปทิเบต มันเกี่ยวกันตรงไหนอะ
แต่ก็ดีอะนะ ฝากสายลมไปนะแก ไม่รู้จะถึงอะป่าวความคิดถึงอะนะ เดี๋ยวว่างๆฉันจะลองฝากไปหาแกดูนะ ถ้าถึงแล้วแกโทรบอกฉันด้วยนะ 5555+ อดีตเอาไว้เป็นบทเรียนนะเพื่อน อย่าไปยึดติดอยู่กะอดีต เปิดใจให้กว้างนะจ๊ะ มามะ แก ไปทิเบตกะฉันดีก่า
เจเจ

jj said...

มะโหน่ง
ให้ฉันอ่านก่อนไปทิเบต มันเกี่ยวกันตรงไหนอะ
แต่ก็ดีอะนะ ฝากสายลมไปนะแก ไม่รู้จะถึงอะป่าวความคิดถึงอะนะ เดี๋ยวว่างๆฉันจะลองฝากไปหาแกดูนะ ถ้าถึงแล้วแกโทรบอกฉันด้วยนะ 5555+ อดีตเอาไว้เป็นบทเรียนนะเพื่อน อย่าไปยึดติดอยู่กะอดีต เปิดใจให้กว้างนะจ๊ะ มามะ แก ไปทิเบตกะฉันดีก่า
เจเจ

พาฝัน said...

ชั้นไม่เคยบอกว่าแกไม่โรแมนติกนะยะ ดูซิเสียคนหมด...

ในวันนั้นที่เราได้ฝาก"ความคิดถึง"ไปกับสายลม ถึงหรือไม่นั้นเราไม่รู้ แต่สายลมเดียวกันนั้นคงทำให้ใบไม้ที่สกลนครบิดปลิวพริ้วไหวอยู่บ้าง และสายลมเย็นที่ทำให้ "เค้า"สูดหายใจได้เต็มปอดคงเพียงพอแล้วสำหรับ "ความรัก"(ที่เรายังไม่รู้จัก หรืออาจรู้จักดีก็เป็นได้)ในโลกของเราที่เราเป็นยอดหญิงเพียงผู้เดียว แต่ในโลกใบอื่นๆ หน้าตาของความรักคงแตกต่างกันจนจำไม่ได้ หากแต่ในโลกของความทรงจำนั้นคงมีหน้าตาและสีสันไม่ต่างกันมากนัก แล้วในโลกของโหน่งหละความทรงจำนั้นมีสีอะไร...

Anonymous said...

มาเยี่ยมค่ะ