Thursday, December 06, 2007

คุณสมบัติซึ่งทำให้ตาเห็น

คุณสมบัติซึ่งทำให้ตาเห็น-วิภพ ล้อมเขต

สมัยยังเด็ก หนึ่งในกิจกรรมที่ผมชอบมาก คือการระบายสีในชั่วโมงวาดเขียน

ชอบมากถึงขนาดที่ว่า หลังจากชั่วโมงวาดเขียนจบไป กลับถึงบ้านเมื่อไรกำแพงบ้านมักจะต้องเต็มไปด้วยรูปวาดฝีมือผมที่ระบายสีลงไปแบบเกินขอบเขตอยู่เสมอ และเมื่อผู้ใหญ่หลายคนในตอนนั้นเห็นเข้า ก็พากันทำนายอนาคตของผมว่า โตขึ้นผมต้องเป็นพวกศิลปินวาดรูปแน่ๆ

แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเท่านาน จากเด็กน้อยเติบโตเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ผมกลับมีโอกาสระบายสีน้อยลง และพอเอาเข้าจริงแล้ว ผมก็ไม่ได้เป็นศิลปินวาดรูปอย่างที่ผู้ใหญ่หลายคนเคยทำนายไว้เพียงเพราะว่า เมื่อไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองถนัด ผมก็ไม่รู้ว่าจะทำมันไปเพื่ออะไร

ตลอดระยะระหว่างทางของชีวิตที่ผ่านมา แม้จะไม่ได้ระบายสีทุกวันเหมือนวันเก่าๆ แต่ ‘สี’ ก็ไม่เคยตกหล่นหายไปจากชีวิตของผม เมื่อมีเวลาว่างหรือรู้สึกว่าใจว้าวุ่นขึ้นมาเมื่อไร ผมจะซื้อสี พู่กัน และกระดาษ มานั่งวาดรูประบายสีเพียงลำพังเสมอ

แน่นอนว่ารูปที่วาดก็ไม่ได้ตั้งใจคิดตั้งแต่แรกไว้ว่าจะเป็นรูปอะไร อยากลากเส้นตรงไหน ลงสีอะไร เรื่องราวเหล่านี้มักเกิดขึ้นหลังจากที่พู่กันจุ่มสีได้ไม่นานนัก
หลังจากวาดรูปเสร็จ ผมชอบนั่งมองรูปที่วาดนิ่งๆ เพียงลำพัง

แม้รูปที่วาดจะแตกต่างไปจากในวัยเด็กมาก แต่สิ่งเดียวที่ยังเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน คือการระบายสีลงไปแบบเกินขอบเขต จนเหลื่อมล้ำไปผสมกับอีกสีหนึ่งแล้วกลายเป็นสีอื่น ไม่ต่างอะไรกับความสัมพันธ์กับใครบางคน ที่อาจทำให้เราต้องรู้สึกเกินเลยไปกว่าที่ตั้งใจไว้ในตอนแรก

จะว่าไปแล้วตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผมไม่เคยรู้ถึงความหมายที่แท้จริงเลยว่า ‘สี’ นั้นหมายถึงอะไร ได้แต่คิดเองเออเองว่า สีคือคำเรียกแทนบางสิ่งบางอย่าง ที่เราต่างตั้งมันขึ้นมาเพื่อไม่ให้เกิดความสับสน

หลังจากล้างพู่กันเพื่อเอาสีที่ติดอยู่ออก ผมเดินกลับขึ้นไปบนห้องนอน แล้วนั่งลงที่โต๊ะเขียนหนังสือ

ผมค่อยๆ หยิบหนังสือคลังคำเล่มเขื่องที่ตั้งอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือขึ้นมา เปิดไปหน้าดัชนีเพื่อพลิกหาความหมายของคำว่า ‘สี’ ที่มีความหมายในเชิงเปรียบเทียบที่หลากหลาย แต่ความหมายที่ดูจะสะกิดใจผมมากเป็นพิเศษ กลับเป็นความหมายที่ว่า

‘สี’ คือ ‘คุณสมบัติซึ่งทำให้ตาเห็น’

ลองนึกตามถึงความหมายก็ท่าจะจริง เพราะชีวิตนี้ถ้าเกิดไม่มีสี ก็คงทำให้มองเห็นอะไรได้ยากขึ้น โดยเฉพาะกับในแง่ของความเป็นจริงนั้น สีสามารถเป็นตัวแทนของความรู้สึกอะไรได้หลายอย่าง ที่มีทั้งจับต้องได้และจับต้องไม่ได้

ส่วนในโลกของความรู้สึกที่จับต้องไม่ได้อย่างความรักนั้น กลับมีเพียงสีไม่กี่สีที่ถูกเปรียบเทียบไว้ ในแง่ของการแทนค่าทางความรู้สึก

หลายคนเชื่อว่าโลกของคนที่มีความรักย่อมเป็นสีชมพู ต่างกันกับคนที่อกหักความรักมักเป็นสีเทา ส่วนคนที่ฝังใจกับด้านลบของความรักก็มักจะมีสีดำเป็นตัวแทนของความรักเสมอ

ผมไม่รู้ว่าใครเป็นคนกำหนดสีให้เรื่องราวเหล่านี้ ไม่เข้าใจว่าทำไมสีชมพูถึงเป็นตัวแทนของความรักที่แสนหวาน ทำไมสีเทาต้องเป็นตัวแทนของคนที่อกหัก ดูเหงาๆ เศร้าๆ ทึมๆ หรือทำไมสีดำต้องเป็นตัวแทนของความมืดมนที่หมดหวังซึ่งทุกสิ่งทุกอย่าง และพร้อมจะทำร้ายใครสักคนที่เข้ามาในชีวิตเสมอเพื่อประชดความรักที่เพิ่งผ่านพ้นไป ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้ว ใครคนใหม่ที่เพิ่งเดินเข้ามาไม่ได้มีส่วนข้องเกี่ยวใดๆ เลยทั้งสิ้น และถ้าจะให้พูดถึงเหตุผลแบบมักง่าย ก็คงเป็นเพราะแค่เหงาอยู่คนเดียวไม่ได้ จนวันหนึ่งที่หายเหงาก็แค่บอกเลิกกันไป และทำเหมือนกับว่า ชีวิตนี้ไม่เคยได้ทำร้ายความรู้สึกของใครเลย

หลายครั้งผมเคยเปิดประตูความรู้สึก แล้วปล่อยให้ความรักเข้ามาเดินเล่นในจังหวะชีวิต แต่ทุกครั้งที่ต้องเดินแยกกันไปคนละทางกับความรัก ผมกลับรู้สึกว่า ผมไม่เคยรู้เลยว่า ความรักของผมนั้นเป็นสีอะไร

ไม่ใช่ว่าไม่ใส่ใจ แต่การแทนค่าความรักของตัวเองที่เพิ่งผ่านพ้นไปด้วยสีใดสีหนึ่ง นั้นดูเป็นการแทนค่าที่จะทำร้ายความรู้สึกกันไปเสียหน่อย
โดยเฉพาะกับการแทนค่าสีของความรักที่จูงมือรอยยิ้มไปจากเรา

ครั้งหนึ่งผมเคยเดินจูงมือคนตาบอดเพื่อไปรอขึ้นรถเมล์ แน่นอนว่าถ้าไม่ได้ผมเป็นผู้นำทาง มันก็อาจเกิดความลำบากกับเขาสักหน่อย แม้ว่าเขาจะเคยชินกับโลกที่มืดสนิทมานานสักเพียงใดก็ตาม

อาจจะดูเป็นเรื่องจริงที่ว่า มันเศร้าอยู่ไม่น้อยที่โลกของเขานั้นมืดสนิท แต่ในทางกลับกันบนโลกใบนี้ที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนที่ยากเกินกว่าจะบรรยาย ความมืดก็อาจสอนให้เขาได้รู้ว่า

บางครั้งภาพจากดวงตา ก็ไม่ได้บอกอะไรมากมายนัก

ผมไม่รู้ว่าถ้าเกิดคนตาบอดคนนั้นตาเป็นปกติ และมีโอกาสได้หลงใหลใน ‘คุณสมบัติซึ่งทำให้ตาเห็น’ ในแง่ของความรัก ที่ใครหลายคนต่างลุ่มหลงแล้วจะเป็นอย่างไร

เพราะในขณะที่โลกของคนตาบอดนั้นมองไม่เห็นสีอื่นใดนอกจากสีของความมืดมน ‘คุณสมบัติซึ่งทำให้ตาเห็น’ ในโลกของคนตาดีๆ อย่างเรา กลับถูกความลุ่มหลงในความรัก

สาปแช่งให้กลายเป็นคนตาบอดเสียยิ่งกว่า...

5 comments:

Anonymous said...

ช่างเชือดได้นิ่มดีจัง พ่อหนุ่มขี้เหงา(ของฉัน)
นั่นสิ สีบ่งบอกเกี่ยวกับความรักได้ตรงตามนั้น จริงหรือ

บางที ความรัก คือ สิ่งกลวงเปล่า ที่เราเอาความรู้สึกมาแต่งเติม

น้อยไปก็ขาด มากไปก็เกิน แต่บางครั้งเมื่อพอดีกลับไม่ใช่ เพราะความรักมิใช่เราคนเดียวที่เป็นผู้แต่งเติม

ว่าแต่.. เมื่อเช้าคุณสมบัติซึ่งทำให้ตาเห็นไม่ใช่สีนี้นี่นา อิอิ

ฉัน..ผู้หญิงที่หลงรักฤดูฝน

วิภพ ล้อมเขต said...

ฉัน..ผู้หญิงที่หลงรักฤดูฝน

555 ใช่แล้วครับ ผมเขียนบทความนี้เพื่อเป็นการเชือดจริงๆ ไม่คิดเลยนะว่าจะมีคนรู้ทัน

ว่าแต่.. เมื่อเช้าคุณสมบัติซึ่งทำให้ตาเห็นไม่ใช่สีนี้นี่นา ---หมายถึงอะไรหรอครับ

Anonymous said...

bg. ไงค่ะ ออกลายไทยๆอ่ะ เอ...หรือว่า ฉันตาลาย

:)

ฉัน..ผู้หญิงที่หลงรักฤดูฝน

Anonymous said...

เออ อันนี้ดี อ่านแล้วชอบหวะ
นป

Anonymous said...

โลกของคนที่มีความรักอาจจะไม่ได้เป็นสีชมพู
บางทีเขา และเธออาจกำลังใส่แว่นตาสีชมพูอยู่ก็ได้