Tuesday, December 18, 2007

ในค่ำคืนของแสงไฟ บนท้องถนน

ในค่ำคืนของแสงไฟ บนท้องถนน -วิภพ ล้อมเขต

ทันทีที่ก้าวเท้าลงจากรถเมล์ ผมหยิบมือถือขึ้นมาแล้วโทรไปหาเพื่อนคนหนึ่ง อารมณ์ประมาณว่า ‘คิดถึง’ ไม่ได้เจอกันเสียนาน เมื่อมาเหยียบถึงถิ่นขนาดนี้ ถ้าไม่โทรหากันหน่อยก็ดูจะใจดำเกินไปสำหรับคำว่า ‘เพื่อน’

‘089-700-xxxx’ -เธอจะมีใจหรือเปล่า เธอจะมองมาที่ฉันหรือเปล่า-...เสียงเพลงรอสาย ‘อยากรู้ แต่ไม่อยากถาม’ ของวง Calories Blah Blah ดังอยู่นานเท่านานก่อนจะสิ้นสุดลงด้วยการไม่รับสาย

สงสัยมันคงไม่ได้พกโทรศัพท์ติดตัว-ผมบอกกับตัวเอง แต่พอตั้งสติได้ ลองนึกดูดีๆ ถึงได้รู้ว่าผมกดเบอร์เพื่อนผิดไป 1 ตัวนี่หว่า
คราวนี้ผมลองใหม่ ‘086-700-xxxx’ ไม่มีเสียงเพลงรอสายใดๆ ดังขึ้น นอกเสียจากเสียงสัญญาณรอสายแบบธรรมดา - ผมมั่นใจ ผมกดเบอร์ไม่ผิดแน่นอน

“เออ...นึกไงโทรมาวะ” เพื่อนเป็นฝ่ายเริ่มต้นประโยคแรกในการทักทายผม

เรารู้จักกันครั้งแรกในงานอบรมเยาวชนนักเขียนแห่งหนึ่ง ในวันนั้นความฝันของเพื่อนไม่ใช่การเป็นนักเขียน แต่เป็นการแต่งเพลง เวลาผ่านมานานเท่านานจนถึงปัจจุบัน ความฝันที่จะเป็นนักแต่งเพลงของเพื่อนเริ่มออกมายืนอยู่บนโลกของความจริงแบบก้าวต่อก้าว

ผมมีโอกาสฟังเพลงที่เพื่อนแต่งบ้างเป็นครั้งคราว ส่วนความฝันของผมนั้นเป็นเรื่องตลก สิ่งเดียวที่ผมมีจึงมีเพียงเรื่องเดียว นั่นคือการดำรงชีพให้ได้ด้วยการเขียนหนังสือบนโลกของความเป็นจริง ไม่ใช่ในโลกของความฝันที่นักอยากเขียนทั้งหลายต่างคิดปั้น เติมแต่งมันให้สวยหรู

“กูคิดถึงมึง...ออกมาเจอกูหน่อย” คือคำตอบและเหตุผลที่ผมบอกเพื่อน
“กูติดงานวะ มึงอยู่แถวนี้อีกนานมั๊ยละ”
“ถ้ากูรอแล้วมึงออกมาหา กูจะอยู่” ผมบอกและรู้สึกแบบนี้จริงๆ
“เออ...งั้นไว้เดี๋ยวเย็นๆ เจอกัน”

เสียงตามสายของเพื่อนจบลงไปนานแล้ว แต่เสียงของเพื่อนยังก้องดังอยู่ในหัว
แน่นอน...ถ้าจำกัดเวลาแค่ทำธุระเสร็จ ผมคงไม่ได้อยู่รอเจอหน้าเพื่อนคนนี้แน่ๆ คิดได้ดังนี้จึงเดินเล่นฆ่าเวลาแถวถนนข้าวสาร เห็นภาพนักท่องเที่ยวเดินสะพายเป้ลูกใหญ่คราใด หัวใจก็มักจะสั่งให้ความรู้สึกโหยหาการเดินทางอยู่เสมอ

ผมนึกถึงคราวสะพายเป้เดินอยู่ในป่า นึกถึงเวลาที่ใจของตัวเองมีคนให้คอยเป็นห่วง จนไม่กล้าออกเดินทางท่องเที่ยวได้อย่างที่หวังไว้ แต่ปัจจุบันเมื่อกลายเป็นคนที่ไม่มีใครให้คอยห่วง ภาระหน้าที่ของการงานกับฉุดรั้งผมไว้ ให้ค่อยๆ ห่างเหินการเดินทางจนเกือบกลายเป็นคนแปลกหน้าซึ่งกันและกัน

หลังจากทำธุระเสร็จ ผมได้หนังสือมาจำนวนหนึ่ง พร้อมไวน์ 1 ขวดที่นอนแน่นิ่งอยู่ในกระเป๋า และความหวังบางอย่างที่เดินตามติดผมมาเป็นเงาตามตัว จากญาติน้ำหมึกผู้ใหญ่คนหนึ่งที่มีความเชื่อว่า ผมต้องทำได้

“ก็ถ้ารางวัลมันมีกรอบที่เราเห็นได้อย่างชัดเจนแล้ว ทำไมถึงไม่ตั้งใจทำตามกรอบนั้นให้ดีขึ้นกว่าเดิมละ”

เปล่า...ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อหรือดื้อรั้น แต่กับช่วงเวลาในปัจจุบัน ผมก็ยังไม่พร้อมที่จะต้องเผชิญกับอะไรบางอย่าง

สุดท้ายผมตัดสินใจเข้าไปรอเพื่อนที่ร้านหนังสือเดินทาง ร้านหนังสือร้านประจำที่แทบจะกลายเป็นบ้านหลังที่ 2 ในกรุงเทพฯ ไปแล้ว

ระหว่างนั่งรอเพื่อนก็คงต้องบอกว่า ไม่รู้วันนี้เป็นวันอะไร พรรคพวกที่ไม่ได้เจอกันมานาน อยู่ๆ ก็มาพร้อมกันที่ร้านหนังสือเดินทางอย่างไม่ได้นัดหมาย แน่นอนว่าส่วนหนึ่งพี่หนุ่ม เจ้าของร้านเป็นคนโทรตาม เหตุผลคงไม่มีอะไรมากกว่าความต้องการเสียงหัวเราะหลังจากที่เราต่างก็ไม่ได้พบหน้ากัน

ยิ่งคิดถึงกันมากเท่าไร เราจึงหาเรื่องแกล้งกันจนมีเรื่องให้หัวเราะมากขึ้น ไวน์ 1 ขวดที่นอนแน่นิ่งอยู่ในกระเป๋า จึงถูกเปิดออกฉลองการรวมตัวกันในครั้งนี้ เล่นเอาลูกค้าที่เปิดประตูเข้ามาในร้านถึงกับตกใจ เพราะตามประวัติของร้านหนังสือเดินทางนั้น ห้ามดื่มเครื่องดื่มมึนเมาทุกชนิดในร้าน แต่กรณีนี้เพื่อน้องๆ และเสียงหัวเราะกฎที่ว่าจึงเหมือนถูกลืมเลือน

ไวน์พร่องลงไปเหลือครึ่งขวด ในขณะที่จำนวนความถี่ของเสียงหัวเราะเริ่มสวนทางเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานนักเพื่อนก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมหญิงสาวคนหนึ่งที่ผมไม่รู้จัก

หลังจากทักทายกันตามประสาเพื่อนที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาเสียนานแบบพอประมาณ แม้ทรงผมและสีผมของเพื่อนจะเปลี่ยนไปจากเดิมมาก แต่ผมก็รู้สึกได้ว่า ภายในความรู้สึกของเราสองคนกับไม่เปลี่ยนไปและยังคงเหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็นมา

“มึงเป็นไงบ้างวะ...เออนี้ แฟนกู รู้จักกันไว้”
“สวัสดีค่ะ ได้ข่าวว่าเป็นนักเขียนเหรอค่ะ” เธอยิ้มและเริ่มทักทายผม

สาบานสิ ให้ตาย เวลาถูกถามแบบนี้ขึ้นมาทีไร ผมมักจะไม่สะดวกใจที่จะตอบว่าตัวผมเป็นนักเขียนทุกที
เปล่า...ผมไม่ได้อายที่จะบอกใครต่อใครว่าผมดำรงชีพด้วยอาชีพนี้ แต่ที่ผมไม่มั่นใจจะบอกใครต่อใครว่าผมเป็นนักเขียน เพราะรู้สึกว่าตัวเองยังไม่ถึงระดับนักเขียนที่เป็นนักเขียนจริงๆ ที่แตกต่างจากนักอยากเขียนที่เพ้อเจ้อไปวันๆ ว่า ความฝันของกูคือการเป็นนักเขียน แต่วันๆ ไม่เคยทำอะไรเลย นอกจากปรุงแต่งความเพ้อเจ้อของตัวเองบนโลกของความเป็นจริง หรือไม่ก็ถือหนังสือเล่มหนึ่งเดินไปเดินมาเป็นเดือนๆ จนหนังสือขาด

ตอนแรกผมตั้งใจว่าจะปลีกตัวออกมานั่งคุยกับเพื่อนก่อน แต่ระหว่างที่นั่งคุยกันเมื่อเพื่อนแสดงความห่วงใยด้วยการถามว่า แล้วเมื่อไรผมถึงจะเลิกไปไหนมาไหนตัวคนเดียว

เมื่อไม่รู้ว่าจะตอบเพื่อนยังไงให้ดูดี ผมจึงเผ่นออกมาจากโต๊ะเพื่อนเพื่อจัดการไวน์อีกครึ่งขวดที่เหลืออยู่

ไวน์ในขวดหมดแล้ว แต่คำถามของเพื่อนยังก้องดังอยู่ในหัว ผมนึกถึงคำพูดของรุ่นพี่คนหนึ่งที่เป็นบรรณาธิการหนังสือหนังเล่มหนึ่งที่เคยบอกผมว่า

“เมื่อเจอคนที่ใช่ หัวใจจะบอกเอง”

เก็บคำของรุ่นพี่มาคิดก็ได้แต่เกิดความสงสัย ถ้าเจอคนที่ใช่ แล้วถ้าเกิดว่าเขาต้องเดินจากเราไปอีกผมจะต้องทำอย่างไร
ผมไม่เคยถามคำถามนี้กับรุ่นพี่ เลยได้แต่ปล่อยไว้ให้กลายเป็นคำตอบของอนาคต

ลมหนาวยามค่ำคืนมาเยือนอีกครั้ง

เราเดินออกมาจากร้านหนังสือเดินทาง โดยมีปลายทางเป็นถนนข้าวสาร
ระหว่างทางที่เดินไป เพื่อนเดินกุมมือแฟนอยู่ข้างหน้า ส่วนสองมือของผมนั้นไม่ได้กุมมือใคร นอกจากกอดหนังสือไว้ในอ้อมกอด
แล้วได้แต่แหงนหน้ามองดูแสงไฟ
ในยามค่ำคืน...

5 comments:

Anonymous said...

หายไปนานเชียวนะคะ

ฉันเองเพ้อเจ้อกับการเขียนหนังสือไปวันๆ มันไม่ได้สวยงาม ไม่ได้โดนใจ เป็นเพียงฝันที่เปลือยเปล่า แต่ก็ยังทำ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไปทำไม...

เขียนได้อบอุ่นปนเหงา..ดีจัง

:)

ฉัน...ผู้หญิงที่หลงรักฤดูฝน

วิภพ ล้อมเขต said...

ฉัน...ผู้หญิงที่หลงรักฤดูฝน
มันไม่ใช่ความฝันที่เปลือยเปล่าหรอกครับ...สู้ๆ ครับ

Anonymous said...

ขอบคุณค่ะ รอยยิ้มของคุณ ขอนะ

ฉัน...ผู้หญิงที่หลงรักฤดูฝน

Unknown said...

"ถ้าเจอคนที่ใช่ แล้วถ้าเกิดว่าเขาต้องเดินจากเราไปอีกผมจะต้องทำอย่างไร"

ก็ทำใจว่าเขาไม่ใช่สิจ๊ะ

Anonymous said...

ได้กอดหนังสือก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรให้กอดนะ
..อย่างน้อยก็คงเป็นหนังสือที่เรารัก หรือสนใจ
จริงไหม?