Wednesday, December 26, 2007

ข้ามคืนเพียงลำพัง

ข้ามคืนเพียงลำพัง-วิภพ ล้อมเขต

ค่ำคืนนี้มาเยี่ยมอีกครา โดยมีพระจันทร์เต็มดวงส่องแสงสว่างจ้า อยู่ไกลแสนไกล
ทุกครั้งที่รถไฟฟ้าจอดสนิทที่สถานีปลายทาง ผมมักจะนั่งมองผู้โดยสารคนอื่นๆ ที่ไปยืนออกันตรงประตูทางออก แล้วเดินออกมาจากตู้โบกี้เป็นคนสุดท้ายเสมอ

หลังจากนั้นผมจะเดินตามขบวนผู้โดยสารลงไปทางบันได หยิบบัตรโดยสารขึ้นมาเพื่อสอดลงไปในช่องสอดบัตรตรงประตูทางออก

พอเดินผ่านประตูทางออก ภาพการจราจรที่คลาคล่ำไปด้วยไฟสีแดงของท้ายรถ มักจะทำให้ผมนึกถึงช่วงเวลาต่อไป ซึ่งก็คือช่วงเวลาของการนั่งรถตู้กลับบ้าน และเมื่อขึ้นรถตู้ได้ ถ้าไม่หลับ ผมก็จะใช้เวลาที่เหลือตลอดระยะทาง คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย เรื่อยเปื่อยถึงขนาดที่ว่า

เรื่องบางเรื่องที่ผ่านพ้นไปนานแล้ว ผมก็ยังเก็บเอามาคิดได้อยู่บ่อยๆ จนบางครั้งแผลของความรู้สึกที่หายไปแล้ว ก็เริ่มที่จะมีความเจ็บปวดไหลซึมออกมา
ระหว่างทางกลับบ้าน เสียงใครคนหนึ่งก้องดังอยู่ในหัวของผม

“คิดมากอีกแล้วนะ เราต้องสนุกกับชีวิตสิ”
“สนุกกับชีวิตเหรอ” ผมถามเธอในตอนนั้น
“อือ…สนุกกับชีวิต”เธอตอบ

คำพูดของเธอที่ตอบกลับมา ทำให้ผมเกิดคำถามกับตัวเองว่า นี่ผมดูเป็นคนที่ชอบคิดมากขนาดนั้นเชียวเหรอ หรือว่าจริงๆ แล้วนั้น เป็นเพราะเราสองคนมีมุมมองต่อโลกใบนี้ที่ต่างกัน

ต่างกันถึงขนาดที่ว่า บางช่วงเวลา...เราก็ลืมดูแลความรู้สึกของกันและกัน จนบางครั้งคำขอโทษก็ไม่ได้มีค่าพอสำหรับการไปตามหาความรู้สึกดีๆ ที่หายไปให้กลับคืนมา

แต่เรื่องบางเรื่องผ่านไปแล้วก็ต้องปล่อยให้มันผ่านเลยพ้นไป ผมจึงไม่ได้ยึดติดอะไรมากนัก นอกจากพยายามประคองไม่ให้เกิดเรื่องราวแบบเดิมซ้ำอีกเป็นครั้งที่สอง

หลังจากลงจากรถตู้ ผมเดินไปเอาไอ้ดอกไม้ที่ร้านฝากรถร้านประจำ แล้วปั่นไอ้ดอกไม้กลับเข้าบ้าน

ระหว่างปั่นไอ้ดอกไม้แบบก้าวต่อก้าว ลมหายใจที่หอบถี่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สวนทางกับวงล้อของไอ้ดอกไม้ที่หมุนวนไปข้างหน้าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
พอเปิดประตูบ้านได้ สิ่งแรกที่ทำ คือการล้มตัวลงนอนบนโซฟา นอนได้สักพักก็ลุกขึ้นไปอาบน้ำ ก่อนจะเดินขึ้นไปบนห้องนอนที่ผมพยายามดัดแปลงให้สามารถใช้ชีวิตอยู่ในห้องนี้ได้ทั้งวัน มากกว่าการเอาไว้นอนเพียงอย่างเดียว

ผมชอบช่วงเวลาที่อินโทรของเพลง It's On Tonight ของ Brian Culbertson เริ่มแว่วดังขึ้นมา ในช่วงเวลาที่ฟองเบียร์เม็ดเล็กๆ ผุดประกายกลมลอยขึ้นมาจากก้นแก้ว ท่ามกลางหลอดไฟนีออนในห้องที่ถูกดับลง และมีเพียงเปลวเทียนส่องแสงสว่างขยับสั่นไหวไปตามแรงลมที่พัดเข้ามาทางหน้าต่าง
เปล่า...ผมไม่ได้มีความทรงจำฝังใจใดๆ กับใครในเพลงนี้ แต่ก็เคยพูดให้เพื่อนสนิทฟังอยู่บ่อยๆ ว่า ถ้าสมมติว่าเพลง It's On Tonight เป็นหญิงสาว ผมจะคุกเข่าขอเธอแต่งงานทันที

ไม่ต้องแปลกใจไป...เธอในที่นี้ คือเธอที่เดินออกมาจากเพลง It's On Tonight ไม่ใช่เธอที่เคยเดินเข้ามาในชีวิตของผม

ดึกมากแล้ว แต่ผมยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดียวที่ไม่มีพนักพิงหน้าเคาน์เตอร์บาร์เล็กๆ ในห้องนอน มองดูพระจันทร์เต็มดวงในค่ำคืนนี้เพียงลำพัง
นั่งนิ่งๆ ได้สักพักหนึ่งจึงหยิบมือถือขึ้นมากดเบอร์โทรศัพท์ ไล่ดูรายชื่อคนที่อยากคุยด้วยก็ไม่พบใคร

จากที่เคยได้ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการส่งความรู้สึกไปถึงใครต่อใคร มือถือในตอนนี้จึงมีค่าไม่ต่างอะไรกับที่ทับกระดาษที่สามารถบอกเวลาได้
เพลง It's On Tonight จบลงแล้ว เช่นเดียวกันกับที่เบียร์ในแก้วนั้นหมดลง

ผมหันไปมองนาฬิกาแขวนผนังที่บ่งบอกเวลาในยามค่ำคืน เดินลงไปในห้องครัวเปิดตู้เย็น แล้วหยิบเบียร์ติดมือกลับขึ้นมาบนห้องอีก 1 ขวด

ไม่นานนัก ฟองเบียร์เม็ดเล็กๆ ก็ผุดประกายกลมลอยขึ้นมาจากก้นแก้ว ท่ามกลางหลอดไฟนีออนในห้องที่ถูกดับลง และมีเพียงเปลวเทียนส่องแสงสว่างขยับสั่นไหวไปตามแรงลมที่พัดเข้ามาทางหน้าต่างอีกครั้งหนึ่ง ต่างกันก็แค่เพียงไม่มีเสียงอินโทรของเพลง It's On Tonight แว่วดังขึ้นมา และเปลวเทียนนั้นก็เริ่มหรี่ตัวลงแต่ยังคงสั่นไหว เมื่อสายลมยามค่ำคืนพัดโชยเข้ามาทางหน้าต่าง

ผมไม่ใช่คนดื่มหนัก แต่เป็นคนดื่มได้เรื่อยๆ ส่วนเรื่องเมาแล้วโวยวายเสียงดังนั้นลืมไปได้เลย เพราะนอกจากยิ้มกับพูดน้อยลงแล้ว อาการสุดท้ายเวลาเมา คือการหลับแบบที่ตื่นขึ้นมาแล้วจะจำอะไรไม่ค่อยได้ คล้ายๆ กับการถอดปลั๊กของตัวเองออก

แต่อาการถอดปลั๊กแบบนี้ก็เกิดขึ้นกับผมน้อยมาก น้อยมากเสียจนนับครั้งได้ เวลามีใครมาว่าผมว่าเป็นพวกขี้เมา ผมจึงรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมที่ตัดสินกันจากแค่ภายนอก

พระจันทร์เต็มดวงในค่ำคืนนี้เคลื่อนตัวสูงข้ามหน้าต่าง ทิ้งไว้เพียงดวงดาวที่ยังคงอยู่ที่เดิม ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่เบียร์ในขวดนั้นหมดลง

ผมทิ้งตัวลงจากเก้าอี้ตัวเดียวที่ไม่มีพนักพิงลงบนที่นอน แล้วปล่อยให้ฤทธิ์เบียร์พาผมข้ามผ่านคืนนี้ไป

ในโลกอีกใบหนึ่ง...

6 comments:

Anonymous said...

อดไม่ได้ที่จะบอกว่า อ่านแล้วเหงา หรือ ความจริงฉันเอาคุณเป็นตัวตั้งของความเหงา อ่านอะไรของคุณก็ชวนเหงาไปเสียหมด

เหงาครั้งนี้ เหงาแบบเงียบเชียบ แต่กลับได้ยินเสียงกระซิบของคุณได้อย่างชัดเจน

ถนอมสุขภาพนะคะ :)

ฉัน...ผู้หญิงที่หลงรักฤดูฝน

Anonymous said...

คนเหงาขอเพลงแต่งงาน
...

ขอบ้างได้ไหมหนอ

Unknown said...

สวัสดีปีใหม่ค่ะ

Anonymous said...

เห็นด้วยกับไอ้ที่ทับกระดาษที่มีเบอร์ของใครต่อใครมากมาย แต่หาเบอร์คนที่เราจะคุยได้ในยามนี้ ไม่มี
ไม่มีสักคน คงได้แต่คุยกับตัวเองละครับดีที่สุด
สวัสดีปีใหม่ สวัสดีความเหงา

Anonymous said...

ทำไมพออ่านจบแล้วถึงรู้สึกว่าเหงา
แต่มันก็สุข
เหงาๆสุขๆไปพร้อมๆกัน
หรือจริงๆความเหงามันไม่ได้เลวร้ายเสมอไป

Anonymous said...

เพิ่งเคยเข้ามาอ่านครับ ถ้าจะให้คอมเม้นท์แบบนักวิจารณ์ดื่นดาษ ผมอาจจะบอกว่า บทความชิ้นนี้เป็นงานเขียนร่วมสมัยที่สะท้อนอารมณ์ออกมาได้ดี...

แต่ถ้าจะให้ลึกลงไป
ผมว่าผมคงต้องอ่านบทความอื่นอีกในบล็อคนี้

โอกาสหน้าจะเข้ามาอ่านอีกทีครับ