ด้วยรัก ความตาย และหัวใจของเราทุกคน/วิภพ ล้อมเขต
ประตูไม้สีขาว ครึ่งหนึ่งมีกระจกใสกั้นกลางของร้านหนังสือเดินทางๆ ค่อยๆ ถูกเปิดออก ด้วยแรงผลักของ ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา บรรณาธิการหนุ่มไฟแรงหัวก้าวหน้าของสำนักพิมพ์ open
“เอาหนังสือธรรมมะมาฝาก” เขาเริ่มประโยคแรกเป็นคำทักทายหลังจากยกมือรับไหว้ทุกคนที่นั่งอยู่ในร้าน ซึ่งก็มีผมรวมอยู่ด้วย
“พอดีพี่เข้าไปที่เคล็ดไทยมา คุยธุระเสร็จออกมารถโดนล็อคล้อ เลยแวะเข้าไปในวัดราชบพิตรสวดมนต์ไหว้พระให้ใจเย็นๆ แล้วนึกสนุกอธิฐานขอให้ตำรวจเอาที่ล็อคล้อออก พอออกมาจากวัดก็เอาที่ล็อคล้อออกไปจริงๆ” ภิญโญเล่าพร้อมเสียงหัวเราะพลางชูใบสั่งที่เพิ่งได้มา ซึ่งก็ทำให้ทุกคนหัวเราะตามไปด้วยเช่นกัน
สำหรับผม...ไม่ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร ภิญโญยังเป็นคนเก่ง ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขันแบบเสียดสีได้อย่างสร้างสรรค์อยู่เสมอ และตลอดระยะทางของกาลเวลาตั้งแต่วันแรกที่ได้รู้จักจวบจนถึงปัจจุบัน เขายังเป็นหนึ่งในต้นแบบของความคิด บนถนนสายยาวที่ชื่อว่า ‘ชีวิต’ ของผมไม่แปรเปลี่ยน
“เปล่าหรอกคะพี่ จริงๆ ที่ตำรวจเอาที่ล็อคล้อออกเวลานี้ น่าจะเป็นเพราะตำรวจต้องใช้ที่ล็อคล้อจำนวนมากไปล็อคล้อแถวถนนข้าวสารมากกว่า” เสียงของใครคนหนึ่งพูดถึงหลักของเหตุและผลในความเป็นจริง ค้านกับความเชื่อของภิญโญ
“อ้าว...เหรอ พี่ก็นึกว่าเป็นเพราะคำอธิฐานของพี่ซะอีก” ภิญโญหัวเราะ ตบไหล่ผมเบาๆ ตอนที่เดินผ่านผมไป “เป็นไงบ้างวัยรุ่น ไม่เจอกันนานเลยนะเรา”
“สบายดีระดับหนึ่งครับพี่โญ”
ผมตอบแล้วยิ้มให้ นึกถึงตัวเองตอนที่นั่งอยู่ในรถ BMW สีเขียวตองคันเล็กๆ ของเขา ที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศบนทางด่วน
“นานแล้วที่พี่ไม่ได้ขับมัน เราโชคดีนะที่ได้นั่ง”
รถ BMW สีเขียวตองคันเล็กๆ วิ่งสุดแรงกำลังขับเคลื่อนแบบเต็มแรงของเครื่องยนต์ แต่ก็ยังถูกรถคันอื่นๆ ขับแซงคันไปแล้วคันเล่า
“หลบเข้าซ้ายก่อน พี่แกมาแรงเหลือเกิน เดี๋ยวโดนด่าพ่อเอา” พูดจบ ภิญโญค่อยๆ หักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าเลนส์ซ้าย ก่อนที่รถคันหลังจะบีบแตรไล่ได้ทันเวลา
ผมพยายามหมุนข้อมือเพื่อลดกระจกลงให้ลมภายนอกได้พัดเข้ามาภายในรถ แต่แรงเสียดทานของกระจกกับขอบยางตรงประตู ก็ดูจะไม่เต็มใจอำนวยความสะดวกให้ผมเท่าไรนัก
“กระจกหมุนลงได้ไหม เอ็งพยายามหน่อยก็แล้วกัน พี่ก็พยายามหาคลื่นวิทยุให้เอ็งได้ฟังเพลงอยู่ เฮ้ย...ไม่ต้องห่วง วันนี้พี่ส่งเอ็งถึงบ้านแน่นอน”
ผมยืนมองภาพรถ BMW สีเขียวตองคันเล็กๆ ที่ค่อยๆ ถูกกลืนหายไปในคลื่นการจราจรที่คับคั่งบนท้องถนนของกรุงเทพฯ เมื่อถึงจุดหมาย ก่อนจะเดินไปต่อรถมอเตอร์ไซด์ตรงหน้าปากซอยเพื่อเข้าบ้าน เมื่อรถ BMW สีเขียวตองคันเล็กๆ หายไปสุดสายตา
นี่คือเรื่องราวเมื่อ 3 ปี ก่อน หลังจากที่ผมได้เชิญภิญโญมาเป็นแขกรับเชิญ ในงานเสวนาประจำภาควิชาที่ผมเรียนอยู่
จากวันนั้นถึงปัจจุบัน ผมยังมีโอกาสเจอภิญโญบ้างตามงานหนังสือ หรือไม่ก็เจอด้วยความบังเอิญตามสถานที่ต่างๆ เช่นเดียวกันกับวันนี้ที่เจอเขาที่ร้านหนังสือเดินทาง
“ได้ข่าวว่าพี่เพิ่งเสียพ่อไปเมื่อสิ้นปี” ใครคนหนึ่งถามคำถามนี้ขึ้นมา เมื่อภิญโญเข้ามานั่งอยู่ในวงสนทนาของเราได้ไม่นาน
“ใช่...ดีนะแกไม่อยู่ข้ามปี ชิงเสียไปก่อน พี่ละปลงกับชีวิตเลยตอนที่ไปเก็บกระดูกพ่อ เฮ้ย! นี่หรอคนที่เคยตีเรา ด่าเรา สุดท้ายเหลือแค่นี้เองหรอวะ”
คำพูดของภิญโญทำให้ผมนึกถึงคำพูดที่ว่า สุดท้ายแล้วต่อให้รวยล้นฟ้าแค่ไหน เราต่างก็จากไปโดยเอาอะไรไปด้วยไม่ได้ มีเพียงความรู้สึกและบทเรียนบางอย่าง ที่ทิ้งไว้ให้กับคนที่ยังอยู่ภายหลัง
“ตอนพ่อตาย แม่พี่เป็นคนที่ดีใจมากที่สุด คิดดูนะว่าแกเดินไปเคาะโลงบอกพ่อเลยว่า เกิดชาติหน้า มึงไปหาเมียใหม่ละกัน” สิ้นคำพูดของตัวเองที่พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับแม่ ภิญโญหัวเราะออกมาแม้ในแววตาจะมีความเศร้าแฝงอยู่
แน่นอนว่าการเกิดมาในครอบครัวของคนจีนที่มีลูกหลานมากมายอาศัยอยู่ด้วยกันในบ้านหลังเดียวกันนั้น วิถีของความคิดและชีวิตของการเติบโตและความเป็นอยู่ จึงค่อนข้างแตกต่างไปจากครอบครัวแบบไทยๆ ที่มีเพียงพ่อแม่และลูก
“ทุกวันนี้ถ้าเกิดต้องเสียพ่อหรือแม่ไป ก็ยังรู้สึกว่าทำใจไม่ได้” ใครคนหนึ่งเปรยขึ้นมาระหว่างที่ความเงียบเริ่มปกคลุมวงสนทนาของพวกเรา
ผมนึกถึงความสัมพันธ์ของพ่อกับแม่ของตัวเองที่ไม่ค่อยลงรอยกันสักเท่าไร
แน่นอนว่ามันเป็นเหตุผลของผู้ใหญ่ที่ต่างเคยเป็นคนรักของกันและกันที่เด็กอย่างผม (ในสายตาท่านทั้งทั้งสอง) ไม่มีวันเข้าใจ แต่การเติบโตมาท่ามกลางรอยแยกของความสัมพันธ์ก็ดูจะไม่ค่อยดีนัก
ยังไม่นับพี่ชายและพี่สาวต่างแม่ ทีแม้จะมีเลือดครึ่งหนึ่งที่มีแหล่งกำเนิดจากคนเดียวกัน แต่ยิ่งนานวันความสัมพันธ์และความผูกพันของคำว่าพี่น้องก็ดูจะลางเลือนขึ้นไปทุกที
เขาว่ากันว่า เงินเปลี่ยนทุกอย่าง เปลี่ยนได้แม้กระทั่งความรักของสายเลือดที่ใครๆ ต่างนับถือว่ายิ่งใหญ่ ทุกวันนี้ข่าวฆ่าพ่อแม่หรือญาติพี่น้องของตัวเองตายเพราะเงิน จึงติดอันดับทำเนียบข่าวหน้าหนึ่งยอดฮิตของหนังสือพิมพ์หัวสีจนกลายเป็นเรื่องปกติ
พี่น้องไม่มีอยู่จริงหรอก ถ้าเราไม่เชื่อถือหรือไว้วางใจกัน – ถ้อยคำหนึ่งในงานเขียนของ วรพจน์ พันธุ์พงศ์ ยังแว่วดังอยู่ในความรู้สึกของผม
“แต่พี่ว่ามันเป็นบทเรียนที่ดีที่สุดในชีวิตเลยว่ะ” ภิญโญแย้ง พลางขยับแว่นสายตาทรงกลมของเขาให้เข้าที่ เผยให้เห็นดวงตาชั้นเดียวตามสไตล์คนไทยที่มีเชื้อสายจีนปะปนอยู่ และยังไม่ทิ้งคราบของความเศร้า
“อย่างน้อยการกลับบ้านไปงานศพพ่อครั้งนี้ ก็ทำให้พี่รู้สึกว่าเป็นการกลับบ้านไป เพื่ออยู่เป็นเพื่อนคนที่ยังอยู่มากกว่าคนที่ตายไปแล้ว เพราะมันทำให้พี่น้องของพี่ทั้งหมด 9 คนได้กลับมานั่งคุยกัน หลังจากที่ห่างเหินกันไปพักหนึ่งใหญ่ๆ ได้รู้ความเป็นอยู่ของกันและกัน และได้ช่วยเหลือกันอีกครั้งหนึ่งตามประสาพี่น้อง”
ผมนึกถึงความสัมพันธ์ของพี่น้องตัวเองและครอบครัวในช่วงเวลาปัจจุบันที่ต้องเผชิญอยู่
นั่นนะสิ…ในเรื่องราวที่ว่าแย่ หากเพียงรู้จักตั้งสติแล้วมองหาหนทางออกที่ดี แม้ความหวังจะดูริบหรี่เพียงใด หนทางที่มืดมนก็ยังคงมีทางออกอยู่เสมอ และคงไม่มีใครอยากสูญเสียคนที่ตัวเองรักไปแบบที่ยังมีลมหายใจ โดยเปลี่ยนสถานะจากคนรักกลายเป็นเพียงแค่คนอื่น
เพราะความรัก ความตาย และหัวใจของเราทุกคนนั้น ล้วนเป็นแบบทดสอบของชีวิตขั้นสูงสุด ที่เราเองนั้น ต่างก็ต้องเผชิญ
...ร่วมกัน
Monday, January 21, 2008
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
4 comments:
ไม่อยากมีบทเรียนแบบนั้นเลยอะ
ยังไม่เคย
เฮ้อ ชีวิต
ชอบคำพูดของคุณภิญโญจัง
เอนทรีนายนี้เล่าได้ดีนะ
การเผชิญปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในครอบครัว
นั่นแสดงว่าเรายังมีครอบครัวให้คิดถึง
ปล.เราก็เป็นอีกหนึ่งคน ดังนั้น เรามาเผชิญปัญหาและร่วมกันหาทางแก้ ดีกว่าการไม่ทำอะไรเลยแล้วปล่อยให้มันผ่านพ้นไป
ฉันมองเห็นความเจ็บปวดลึกๆในนี้
แต่ดูเหมือนสิ่งนั้นจะถูกตะกอนแห่งเวลาทับถม
จนเป็นเกราะป้องกันเล็กๆให้พร้อมรับบททดสอบใหม่
ฉันเคยสูญเสียคนที่รักมากจากความตาย ฉันเสียใจยิ่งกว่าเสียใจ แต่ไม่นานก็ทำใจได้ว่านั่นคือ สัจธรรม
ฉันสูญเสียคนที่รักจากความแปรเปลี่ยน ฉันเสียใจยิ่งกว่าเสียใจ และเนิ่นนานเท่าไหร่ก็ยังทำใจไม่ได้สักที
-ฉัน...ผู้หญิงที่หลงรักฤดูฝน-
จะจากเป็น หรือจากตาย
ก็เจ็บปวดไม่ต่างกัน
PLANKTON
Post a Comment