Toffee Bar บาร์ในห้องนอน…วิภพ ล้อมเขต
นอกเหนือจากการมีจักรยานโบราณมือแปดรุ่นแม่บ้านญี่ปุ่นปั่นไปซื้อของ ยี่ห้อ MIYATA แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ผมเป็นเจ้าของอย่างถูกต้องคือ บาร์เล็กๆ ในห้องนอนของตัวเองที่ผมตั้งชื่อตามชื่อหมาของผมว่า
‘Toffee Bar’
บาร์เล็กๆ ในห้องนอนของผมเปิดให้บริการหลังพระอาทิตย์ตกดินเป็นต้นไป ถ้าคุณเป็นคนช่างสังเกต คุณก็จะเห็นนาฬิกาแขวนผนังในห้องนอนของผมที่เดินไม่เคยตรงเวลา และบางครั้งก็หยุดเดินเอาดื้อๆ
ทุกครั้งเวลาผมปิดไฟในห้องนอนนาฬิกาลูกหมูดิจิตอลของผมจะส่องแสงสลับกัน 6 สี เพลงYesterdays ของ Mile Davids ที่เป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้นในแต่ละค่ำคืนของบาร์ก็จะเริ่มดังขึ้น หลังจากนั้นจะเป็นเพลงที่ไม่ได้ถูกกำหนดไว้ และจะปิดบาร์ด้วยเพลง Autumn Leaves ที่เป็นการดวลกันของเทพเจ้าแห่งทรัมเป็ตและเทพเจ้าแห่งแซ็กโซโฟน Mile Davids กับ John Coltrane เสมอ
บาร์เล็กๆ ในห้องนอนของผมทำขึ้นมาจากชั้นวางทีวีเก่าๆ โชคดีที่ชั้นล่างยังมีประตูกระจกที่ยังใช้การได้อยู่ บางเวลานอกจากจะเป็นที่เก็บ cd แล้ว จึงกลายเป็นที่เก็บบรรดาอุปกรณ์ในการชงเหล้าทั้งหลายด้วยไปโดยปริยาย ด้านขวาของบาร์เป็นโต๊ะที่ผมใช้เขียนหนังสือ ส่วนทางด้านซ้ายเป็นที่นอนเตียงเดี่ยวขนาด 3.5x5 ฟุต และนอกเหนือไปกว่านั้นคือ บาร์ของผมตั้งอยู่ริมหน้าต่างที่มีธงชาติอเมริกาเป็นผ้าม่านบังแดดในตอนกลางวัน ส่วนตอนกลางคืนเวลาที่บาร์เปิด ผมจะรวบธงชาติอเมริกาเข้าหากันเพื่อเปิดทางให้มองเห็นพระจันทร์ขึ้นได้แบบเต็มที่
สิ่งหนึ่งที่ผมตั้งใจมากเป็นพิเศษคือจำนวนของที่นั่งตรงบาร์ที่กำหนดไว้แค่ 2 ที่นั่ง และแน่นอนว่าถ้าที่นั่ง 2 ที่นั่งนี้คือที่สำหรับคู่รักคู่หนึ่งจะเยี่ยมยอดมากเลยทีเดียว แต่อะไรก็ไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิด โชคร้ายที่ผมเพิ่งแยกทางกับคนรัก ที่นั่งทั้ง 2 ที่ในบาร์ของผมจึงไม่มีโอกาสต้อนรับคนรักของผมอย่างที่ตั้งใจไว้ และด้วยความตั้งใจอย่างสุดซึ้ง นอกจาก 2 ที่นั่งนี้จะไม่ใช่ที่นั่งของผมกับเธอแล้ว บาร์ของผมก็ไม่ได้ต้อนรับใครอื่นมากเป็นพิเศษนัก ทุกๆ วันนอกจากผมแล้วก็มีเพียงท็อฟฟี่หมาของผม ที่ผมยืมชื่อมาตั้งเป็นชื่อบาร์มาใช้บริการเท่านั้นเอง แล้วถ้าพูดถึงเครื่องดื่ม บางคืนผมเปิด Spakling wine J.C.Le ROUK จาก South Africa บางคืนเป็น คนร้อยคนเป่าปี่ หรือไม่ก็เบียร์ รวมไปถึงเหล้าขาวที่บาร์ของผมและตัวผมเองก็ไม่ได้ปฏิเสธหรือรังเกียจอะไรนัก
คุณอาจจะสงสัยว่าทำไมบาร์ของผมรับได้แค่ 2 ที่นั่ง ผมบอกให้ก็ได้ว่า เป็นเพราะข้อจำกัดในเรื่องสัดส่วนของบาร์ที่พอดีกับขนาดของหน้าต่าง ถ้าคุณมาเป็นคนที่ 3 ที่นั่งที่คุณจะได้นั่งจะเป็นที่ๆ คุณไม่สามารถมองเห็นพระจันทร์เวลาขึ้น จากหน้าต่างที่มีธงอเมริกาเป็นผ้าม่านเท่านั้นเอง
นอกเหนือจากนี้เวลาผมปิดไฟในห้องนอน คืนไหนพระจันทร์เต็มดวงก็จะมีแสงของพระจันทร์ฉายเข้ามาทางหน้าต่างที่บาร์ของผมตั้งอยู่แบบพอดิบพอดี แล้วถ้าเกิดคุณได้นั่งเป็นคนที่ 3 คุณจะไม่รู้สึกเสียดายเชียวเหรอ
อย่างที่เกริ่นมาในขั้นต้น คุณคงจะพอเดาได้ว่าบาร์เล็กๆ ในห้องนอนของผมเปิดเพลงแจ๊ส และเมื่อบาร์เปิด ทุกๆ คืนผมจะนั่งดื่มอะไรไปพลาง ฟังเสียงเทเนอร์แซ็กของ John Coltrane หรือไม่ก็ทรัมเป็ตของ Mile Davis เป็นกับแกล้มมากกว่าถั่วลิสงหรือปลาหมึกแห้งบด 3 ตัว 20 บาท บางครั้งก็มีเสียงเปียโนของ Bill Evans มาแจม และถ้าคืนไหนผมเมาขึ้นมา แค่เบี่ยงตัวไปทางซ้ายนิดเดียว ผมก็จะหล่นตุ๊บลงบนที่นอนเตียงเดี่ยวขนาด 3.5x5 ฟุต แบบพอดิบพอดี ประหยัดค่าแท็กซี่ในการกลับบ้านได้เยอะพอสมควร และแน่นอนว่าเงินที่ไม่ได้จ่ายเป็นค่าแท็กซี่นั้น ผมจะเอาไปซื้อบรรดาเครื่องดื่มทั้งหลายมาตุนไว้ที่ตู้เย็นในครัวที่บ้านของผม
หลายคนอาจจะสงสัยขึ้นมาอีกว่า ปัดโถ่! ทำไมจะต้องเป็นเพลงแจ๊สด้วยวะ ทำเป็นไฮโซไปได้
ด้วยความเคารพ เปล่า! ผมไม่ได้ทำตัวไฮโซกลางวันผมก็กินข้าวแกงจานละ 25 บาท นั่งรถเมล์ไปทำงาน ติดแหงกอยู่ใต้สะพานเกษตร แต่บางช่วงจังหวะของชีวิต ผมเชื่อว่าเราทุกคนจะเรียนรู้ที่จะมีแนวดนตรีที่ชอบฟังเป็นของตัวเอง และผมเองก็เลือกแจ๊สเป็นแนวดนตรีที่ชอบ แม้ว่าก่อนหน้านี้ตอนที่ผมอายุ 19 ปี ผมจะเกลียดเพลงแจ๊สเข้าไส้ ถึงขนาดที่เคยสาบานต่อหน้ารุ่นพี่นักเขียนคนหนึ่งที่ชอบฟังเพลงแจ๊สเป็นชีวิตจิตใจว่า ชาตินี้ชีวิตนี้ผมคงไม่มีทางฟังแจ๊สแน่นอน
“วันหนึ่งเอ็งอายุมากขึ้นเดี๋ยวก็ฟัง เชื่อพี่สิ”
แล้ววันหนึ่งผมก็ผิดคำสาบาน รวมทั้งเริ่มขวนขวายหาเพลงแจ๊สมาฟังจนได้ และอัลบั้มเพลงแจ๊สอัลบั้มแรกที่ผมมีในครอบครองก็คือ Kind Of Blue ของ Mile Davis ที่ผมฝากโบบี้เพื่อนชาวนิวยอร์คเกอร์ซื้อมาจากอเมริกาในราคา 11 เหรียญ ตามมาด้วยอัลบั้ม Miles In Tokyo (Miles Davis Live In Concert) ราคา 10 เหรียญ อีกหนึ่งอัลบั้ม
แน่นอนว่าอายุอย่างผมคงไม่ทันยุคเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่ขึ้นชื่อด้านความคมชัดมากที่สุดของเสียง และด้วยกำลังทรัพย์ที่ผมมี บวกกับความจำเป็นบางอย่าง สิ่งเดียวที่ผมทำได้จึงเป็นการป้อนแผ่น cd เข้าไปในแลปท็อบของผมหรือไม่ก็เปิดเอาจากไฟล์ mp3 ต่อสายเข้ากับลำโพงดีๆ สักตัว เพื่อให้ได้ยินเสียงเดินเบสชัดขึ้นกว่าลำโพงกระป๋องที่เคยใช้ และถ้าคุณไม่เรื่องมากถึงขั้นหูเทพเกินไป แน่นอนว่าตลอดเวลาที่บาร์ในห้องนอนของผมเปิดทำการ เสียงจากลำโพงทั้งสองตัวของผมจะไม่เดินไปเตะหูของคุณให้รู้สึกรำคาญใจเลยทีเดียว และถ้าหากว่าคุณเป็นคอแจ๊ส ระดับเข้าเส้นเลือดใหญ่ที่ไหลตรงเข้าไปหล่อเลี้ยงหัวใจ ขอจงอย่าคาดหวังในเพลงที่บาร์ของผมเปิด เพราะผมไม่ได้เปิดบาร์นี้ขึ้นมาเพื่อเอาใจหรือดูดเอาเงินจากกระเป๋าใคร ผมเพียงแค่ต้องการหลีกหนีการนั่งฟังเพลงที่ผมชอบท่ามกลางฝูงชนที่ผมไม่รู้จักเท่านั้นเอง
สิ่งหนึ่งที่คนขี้ร้อนทั้งหลายควรจะรับทราบไว้ คือบาร์ของผมไม่มีเครื่องปรับอากาศ มีเพียงหน้าต่างสี่บานที่เป็นช่องทางเดินของลมกับพัดลมอีกหนึ่งตัวเท่านั้น และผมก็คิดว่าแค่นี้คงเพียงพอที่จะไม่ทำให้คุณรู้สึกร้อนอบอ้าวตลอดเวลาที่นั่งฟังเพลงกึ๊บอะไรไปพลางอยู่ในบาร์ของผม
ตลอดเวลาที่เปิดบาร์มา ผมค้นพบว่าการนั่งฟังเพลงไปพลาง ช่วยให้อารมณ์ในการเขียนหนังสือของผมนั้นลื่นไหลพอๆ กับช่วงเวลาที่ผมกึ๊บอะไรลงไปในลำคอ จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ ถ้าอยู่ๆ ผมเกิดคิดบทกวี พล็อตเรื่องสั้นหรือนิยายขึ้นมาได้ใหม่ๆ ในช่วงเวลาที่ผมนั่งกึ๊บอะไรแบบได้ที่ในบาร์ของผมเอง และทุกค่ำคืนที่บาร์เปิด ผมก็ไม่ได้เมาหัวราน้ำเสมอ เพราะผมต้องตื่นมาให้อาหารท็อฟฟี่ในตอนหกโมงเช้า และไปตอกบัตรเข้าทำงานให้ทันแปดโมงครึ่ง
แต่คุณไม่ต้องห่วงถ้าเกิดวันใดวันหนึ่ง คุณรู้สึกอยากจะมาใช้บริการบาร์แจ๊สในห้องนอนของผมขึ้นมา บางสิ่งบางอย่างในตัวผมจะทำการตรวจสอบคุณสมบัติของคุณเอง ว่าคุณเหมาะสมที่จะเข้ามาใช้บริการในบาร์ของผมหรือเปล่า และข้อห้ามหนึ่งที่คุณควรจะท่องให้ขึ้นใจคือ
เมื่อคุณกึ๊บอะไรลงคอพร้อมทั้งได้ฟังเพลงจากบาร์ในห้องนอนของผมแล้ว กรุณาอย่าพล่ามถึงความรักในอดีตที่แสนขมขื่นของคุณ เพราะมันอาจทำให้ผมคิดถึงผู้หญิงคนๆ หนึ่งขึ้นมาที่ชอบพูดว่า ผมมันก็แค่ไอ้ขี้เมา เวลาที่แม่ของเธอถามถึงผม
แต่ถึงทั้งนี้ทั้งนั้น ปัจจุบัน Toffee Bar บาร์แจ๊สเล็กๆ ในห้องนอนของผมก็ยังเปิดให้บริการมาถึงทุกวันนี้ แม้บางสิ่งบางอย่างภายนอกจะเปลี่ยนไปบ้าง
แต่ภายในไม่เคยเปลี่ยนแปลง...
Monday, July 23, 2007
Monday, July 16, 2007
โต๊ะข้างหน้าต่าง
โต๊ะข้างหน้าต่าง/วิภพ ล้อมเขต
จำได้ว่าสมัยเรียนหนังสือ ทุกครั้งที่เปิดเทอม ผมมักจะไปโรงเรียนเช้ากว่าปกติ เพื่อจองโต๊ะตัวที่ตั้งอยู่ริมหน้าต่าง ทันบ้างไม่ทันบ้าง แต่ค่อนชีวิตของการเรียน ผมก็ได้นั่งเรียนติดริมหน้าต่างมากกว่านั่งติดกำแพงห้องเรียนเสมอ
จำได้ว่าสมัยเรียนหนังสือ ทุกครั้งที่เปิดเทอม ผมมักจะไปโรงเรียนเช้ากว่าปกติ เพื่อจองโต๊ะตัวที่ตั้งอยู่ริมหน้าต่าง ทันบ้างไม่ทันบ้าง แต่ค่อนชีวิตของการเรียน ผมก็ได้นั่งเรียนติดริมหน้าต่างมากกว่านั่งติดกำแพงห้องเรียนเสมอ
พอโตขึ้นมานิสัยการนั่งติดหน้าต่างเลยกลายเป็นนิสัยประจำตัวไปโดยปริยาย และทุกครั้งที่ต้องการพักสายตา ผมมักจะมองภาพชีวิตภายนอกผ่านช่องหน้าต่างที่ผมนั่งอยู่
ตอนที่ตัดสินใจเช่าบ้านไม้สีเขียวกับพี่สาว แทนหอพักที่มีหน้าต่างแค่บานเดียว น้ำหนักในการตัดสินใจของเราสองคนมาจากจำนวนหน้าต่างที่สำรวจดูแล้วมีมากถึง 10 บาน ว่าเหมาะแก่การเป็นช่องทางอ้าแขนรับลมและแสงแดดได้ดีระดับหนึ่ง และเมื่อเราสองคนตัดสินใจเช่าบ้านไม้สีเขียว หลังจากจัดระเบียบข้าวของส่วนรวมเป็นที่เรียบร้อย พอถึงเวลาต้องจัดระเบียบข้าวของส่วนตัว โต๊ะเขียนหนังสือ รวมไปถึงบาร์เล็กๆ ที่ทำจากชั้นวางทีวีเก่าๆ ของผมจึงวางอยู่ข้างหน้าต่างอย่างไม่ต้องสงสัย
บ้านเช่าไม้สีเขียวของผมที่สะพานใหม่นั้น วันไหนอากาศดีๆ ก็จะมีลมเย็นๆ โชยมาพัดโมบายที่แขวนไว้ริมหน้าต่าง ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งคล้ายเสียงทักทายกันของสายลมกับโมบาย มองดูก้อนเมฆที่เปลี่ยนรูปทรงไปต่างๆ นานา หรือนั่งมองดูใบไม้ที่พัดไหว ถ้าไม่คิดอะไรมากไปกับชีวิต บางทีเราอาจจะหาความสุขง่ายๆ ได้จากตรงนี้
ตกตอนกลางคืน ถ้าค่ำคืนไหนพระจันทร์เต็มดวงขึ้นมา บาร์เล็กๆ ริมหน้าต่างที่อยู่ในห้องนอนของผมก็จะมองเห็นพระจันทร์ได้แบบพอดิบพอดี ได้กึ๊บอะไรพอกึ่มๆ พร้อมเพลงดีๆ สักเพลง ทุกข์มาจากไหนก็คงต้องวางลง แล้วลืมกันไปชั่วขณะ
แต่ถ้าวันไหนฝนตก ปิดหน้าต่างกันไม่ทันขึ้นมา ก็ได้เปียกฝนทั้งๆ ที่นั่งอยู่ในบ้าน แปลกดีไปอีกแบบ
เขียนมาถึงตรงนี้แล้ว ชักพาลนึกไปถึงโต๊ะที่ทำงานของออฟฟิศเก่าที่เป็นอู่ข้าวอู่น้ำเองนั้น ก็ตั้งอยู่ตรงริมหน้าต่างเช่นกัน แถมพอตกยามบ่ายที่พระอาทิตย์เริ่มตกดิน ก็จะได้ยินเสียงพี่สาวนักเขียนบอกว่า
“ทนหน่อยไอ้น้อง” หรือไม่ก็
“ถ้าเอ็งรู้สึกร้อนก็ดึงม่านลงมาปิดได้แล้วนะพี่ว่า”
แม้ผ้าม่านที่ดึงลงมาปิดหน้าต่างที่มีอยู่บานเดียวในออฟฟิศจะทำให้มองไม่เห็นอะไรข้างนอก แต่การมีหน้าต่างอยู่ใกล้ๆ ก็เป็นเรื่องดีมากกว่าการเงยหน้าขึ้นมาหลังจากการทำงาน แล้วเจอะเจอแต่กำแพงเพียงอย่างเดียวเป็นไหนๆ
พอถึงคราวต้องย้ายที่สิงสถิตใหม่ ก็ช่างเป็นเรื่องบังเอิญเหลือเกินที่โต๊ะที่เขาจัดไว้ให้นั่งทำงาน ตั้งอยู่ริมหน้าต่างพอดิบพอดี
ลองนึกย้อนดูดีๆ ถึงได้รู้สึกว่า ช่วงเวลา 4-5 ปีที่ผ่านมา ตัวเองใช้เวลาอยู่ริมหน้าต่างมากกว่าจอทีวีก็ดูจะไม่ผิดอะไรนัก
บ่อยครั้งและมากมายที่งานเขียนของผม ถูกเขียนขึ้นบนโต๊ะริมหน้าต่าง และเช่นเดียวกันกับงานเขียนชิ้นนี้เองก็เขียนขึ้นบนโต๊ะริมหน้าต่างเช่นกัน
ครั้งหนึ่งเพื่อนคนหนึ่งเคยบอกว่า นอกจากคนที่ชอบสายฝนแล้ว ใครที่ชอบนั่งริมหน้าต่างจะเป็นคนขี้เหงา ไม่มากไม่น้อยไปกว่าคนที่ชอบสายฝน
อันนี้ผมเองก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า บางทีถ้าได้เจอคนที่ชอบนั่งริมหน้าต่างเหมือนๆ กัน
ผมจะลองถามเขาดู...
Wednesday, July 11, 2007
รักจริงๆ นะ รักแค่ไหน
รักจริงๆ นะ รักแค่ไหน/เรื่อง/วิภพ ล้อมเขต
นอกจากคำถามที่ได้ยินบ่อยจนเริ่มชินหูว่า ‘เป็นอย่างไรบ้าง ดีขึ้นหรือยัง’ อีกหนึ่งคำถามที่ถูกถามมาติดๆ คือ ‘พี่มีรุ่นน้องคนหนึ่งน่ารัก นิสัยดี สนใจไหม’ หรือไม่ก็
‘เฮ้ย! ผมมีเพื่อนน่ารักๆ เยอะ นิสัยดี อยากรู้จักไหมพี่’
ทุกครั้งที่ได้ยินคำถามแบบนี้ ใจหนึ่งก็ดีใจที่มีคนคอยเป็นห่วง แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกต่อต้านความสัมพันธ์ใหม่ๆ อยู่ตลอด จนกลายเป็นคำพูดติดปากอยู่เสมอว่า
“ขอบใจ แต่ปล่อยให้เขาไปเจออะไรที่ดีกว่าเถอะ”
แน่นอนว่าถ้าไม่ถูกมองว่าหยิ่งก็มักจะถูกถามกลับมาว่า เป็นอะไร อย่าเพิ่งท้อสิ ไม่แน่คนนี้อาจจะทำให้อะไรๆ ดีขึ้นมาก็ได้นะ แต่จนแล้วจนรอด หลังจากได้เบอร์โทรศัพท์ของคนที่จะกลายเป็นความสัมพันธ์ใหม่ๆ มา ผมก็มักจะเป็นฝ่ายที่หยุดสานสัมพันธ์เองแทบทั้งสิ้น
ใช่ว่าการไม่ให้โอกาสตัวเองอีกครั้งเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี แต่บางช่วงจังหวะของชีวิต คนเราก็เรียนรู้ที่จะหยุดพัก หนักบ้าง เบาบ้างก็ว่ากันไป ตามจังหวะชีวิตของใครของมัน นอกจากการยอมรับความจริงแบบฉับพลัน การเรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยตัวเองจึงกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เดินเข้ามาในชีวิต
หลังจากตัดขาดกับความทรงจำและอดีตบางอย่าง เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมมีโอกาสไปเจอเพื่อนเก่าคนหนึ่งสมัยเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน แน่นอนจากน้ำเสียงที่ไม่ค่อยสู้ดีนักตอนเพื่อนโทรมาหา เมื่อเจอหน้ากันนอกจากจะไม่ได้ยินเสียงหัวเราะแล้ว เรื่องที่เพื่อนจะปรับทุกข์ด้วยจึงมีไม่น้อยอย่างที่คิด
ระหว่างเดินไปกินข้าวบนทางเท้าของถนนสายที่มีรถเมล์วิ่งผ่านไปผ่านมาอยู่ไม่ขาด เมื่อทำใจได้ที่จะระบาย สุดท้ายเพื่อนก็เอ่ยออกมา
“กูรักน้องเขาจริงๆ นะมึง”
“แล้วรักจริงๆ ของมึงนะรักแค่ไหน” ผมถามกลับแบบไม่ได้ตั้งใจกวน
“ก็น้องอยากได้อะไร อยากให้ทำอะไร กูทำให้หมดแบบเต็มใจ”
“แล้วไงต่อสำหรับความรักจริงๆ ของมึง”
“กูเป็นห่วงน้องเขา แคร์ความรู้สึกเขามาก มึงคิดดูนะ กูรอน้องเขามา 1 ปีแล้ว อะไรๆ ก็ยังไม่พัฒนาขึ้นเลย”
“แล้วมึงบอกความรู้สึกน้องเขาไปหรือยังละ”
เพื่อนเงียบไปพักหนึ่ง เราสองคนยังคงเดินต่อ ก่อนจะหยุดรอข้ามถนน แล้วเพื่อนก็พูดขึ้นมาว่า
“บอกแล้ว น้องเขารู้แล้วว่ากูรู้สึกยังไง”
“แล้วน้องเขาว่าไงละ”
“น้องเขาบอกเขาก็ยังไม่มีใคร และตอนนี้ก็ยังไม่มีกูเช่นกัน กูไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วน้องเขาฝังใจอยู่กับใครหรือเปล่า”
คำตอบของเพื่อน ทำเอาผมหยุดเดินระหว่างข้ามถนน จนเพื่อนต้องหันมาถามว่า
“เป็นไรวะ เดี๋ยวรถก็ชนตายห่าหรอก”
นอกจากยิ้มเหมือนเด็กแกล้งกลบเกลื่อนความผิด แล้วส่ายหัวบอกเพื่อนว่าไม่มีอะไร ก็รีบถามเพื่อนกลับไปให้เป็นฝ่ายตั้งรับ
“แล้วมึงจะทำไง”
เพื่อนนิ่งคิดระหว่างเดินต่อไปอีกหลายก้าว แล้วตอบกลับมาว่า
“กูอยากลองให้โอกาสตัวเองอีกครั้งหนึ่ง ถ้าอะไรไม่ดีขึ้นก็คงต้องยอมรับ”
จริงอยู่ที่ว่าคำตอบของความจริงบางอย่าง บางครั้งก็เดินมาพร้อมกับการยอมรับที่เราหลีกเลี่ยงหรือปฏิเสธไม่ได้ โดยเฉพาะกับความจริงบางอย่างที่ทำให้เราต้องเจ็บปวด
‘เป็นอย่างไรบ้าง ดีขึ้นหรือยัง'
'พี่มีรุ่นน้องคนหนึ่งน่ารัก นิสัยดี สนใจไหม’
‘เฮ้ย! ผมมีเพื่อนน่ารักๆ เยอะ นิสัยดี อยากรู้จักไหมพี่’
สามประโยคนี้มักจะโผล่เข้ามาในสมองสลับกับความทรงจำดีๆ จากหญิงสาวของผมที่เพิ่งกลายเป็นอดีตไปไม่นาน พร้อมๆ กับการเรียนรู้ที่จะพัก ในช่วงที่จังหวะชีวิตดูจะสับสนมากเกินไปบนถนนของความรู้สึก
รถเมล์ยังคงวิ่งผ่านไปมาอยู่ไม่ขาด ระหว่างเดินเพื่อไปหาเพื่อนและแฟนของเพื่อนอีกคนหนึ่งที่รออยู่ ใจหนึ่งก็อยากจะถามคำถามหนึ่งกับเพื่อน แต่อีกใจหนึ่งก็กลัวเพื่อนสับสนและคิดมากไปกว่าเดิม ว่าระหว่างที่ยังรัก ถ้าถูกคนที่รักขอร้องให้เดินออกไปจากชีวิต
เพื่อนจะทำอย่างไร...
นอกจากคำถามที่ได้ยินบ่อยจนเริ่มชินหูว่า ‘เป็นอย่างไรบ้าง ดีขึ้นหรือยัง’ อีกหนึ่งคำถามที่ถูกถามมาติดๆ คือ ‘พี่มีรุ่นน้องคนหนึ่งน่ารัก นิสัยดี สนใจไหม’ หรือไม่ก็
‘เฮ้ย! ผมมีเพื่อนน่ารักๆ เยอะ นิสัยดี อยากรู้จักไหมพี่’
ทุกครั้งที่ได้ยินคำถามแบบนี้ ใจหนึ่งก็ดีใจที่มีคนคอยเป็นห่วง แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกต่อต้านความสัมพันธ์ใหม่ๆ อยู่ตลอด จนกลายเป็นคำพูดติดปากอยู่เสมอว่า
“ขอบใจ แต่ปล่อยให้เขาไปเจออะไรที่ดีกว่าเถอะ”
แน่นอนว่าถ้าไม่ถูกมองว่าหยิ่งก็มักจะถูกถามกลับมาว่า เป็นอะไร อย่าเพิ่งท้อสิ ไม่แน่คนนี้อาจจะทำให้อะไรๆ ดีขึ้นมาก็ได้นะ แต่จนแล้วจนรอด หลังจากได้เบอร์โทรศัพท์ของคนที่จะกลายเป็นความสัมพันธ์ใหม่ๆ มา ผมก็มักจะเป็นฝ่ายที่หยุดสานสัมพันธ์เองแทบทั้งสิ้น
ใช่ว่าการไม่ให้โอกาสตัวเองอีกครั้งเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี แต่บางช่วงจังหวะของชีวิต คนเราก็เรียนรู้ที่จะหยุดพัก หนักบ้าง เบาบ้างก็ว่ากันไป ตามจังหวะชีวิตของใครของมัน นอกจากการยอมรับความจริงแบบฉับพลัน การเรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยตัวเองจึงกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เดินเข้ามาในชีวิต
หลังจากตัดขาดกับความทรงจำและอดีตบางอย่าง เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมมีโอกาสไปเจอเพื่อนเก่าคนหนึ่งสมัยเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน แน่นอนจากน้ำเสียงที่ไม่ค่อยสู้ดีนักตอนเพื่อนโทรมาหา เมื่อเจอหน้ากันนอกจากจะไม่ได้ยินเสียงหัวเราะแล้ว เรื่องที่เพื่อนจะปรับทุกข์ด้วยจึงมีไม่น้อยอย่างที่คิด
ระหว่างเดินไปกินข้าวบนทางเท้าของถนนสายที่มีรถเมล์วิ่งผ่านไปผ่านมาอยู่ไม่ขาด เมื่อทำใจได้ที่จะระบาย สุดท้ายเพื่อนก็เอ่ยออกมา
“กูรักน้องเขาจริงๆ นะมึง”
“แล้วรักจริงๆ ของมึงนะรักแค่ไหน” ผมถามกลับแบบไม่ได้ตั้งใจกวน
“ก็น้องอยากได้อะไร อยากให้ทำอะไร กูทำให้หมดแบบเต็มใจ”
“แล้วไงต่อสำหรับความรักจริงๆ ของมึง”
“กูเป็นห่วงน้องเขา แคร์ความรู้สึกเขามาก มึงคิดดูนะ กูรอน้องเขามา 1 ปีแล้ว อะไรๆ ก็ยังไม่พัฒนาขึ้นเลย”
“แล้วมึงบอกความรู้สึกน้องเขาไปหรือยังละ”
เพื่อนเงียบไปพักหนึ่ง เราสองคนยังคงเดินต่อ ก่อนจะหยุดรอข้ามถนน แล้วเพื่อนก็พูดขึ้นมาว่า
“บอกแล้ว น้องเขารู้แล้วว่ากูรู้สึกยังไง”
“แล้วน้องเขาว่าไงละ”
“น้องเขาบอกเขาก็ยังไม่มีใคร และตอนนี้ก็ยังไม่มีกูเช่นกัน กูไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วน้องเขาฝังใจอยู่กับใครหรือเปล่า”
คำตอบของเพื่อน ทำเอาผมหยุดเดินระหว่างข้ามถนน จนเพื่อนต้องหันมาถามว่า
“เป็นไรวะ เดี๋ยวรถก็ชนตายห่าหรอก”
นอกจากยิ้มเหมือนเด็กแกล้งกลบเกลื่อนความผิด แล้วส่ายหัวบอกเพื่อนว่าไม่มีอะไร ก็รีบถามเพื่อนกลับไปให้เป็นฝ่ายตั้งรับ
“แล้วมึงจะทำไง”
เพื่อนนิ่งคิดระหว่างเดินต่อไปอีกหลายก้าว แล้วตอบกลับมาว่า
“กูอยากลองให้โอกาสตัวเองอีกครั้งหนึ่ง ถ้าอะไรไม่ดีขึ้นก็คงต้องยอมรับ”
จริงอยู่ที่ว่าคำตอบของความจริงบางอย่าง บางครั้งก็เดินมาพร้อมกับการยอมรับที่เราหลีกเลี่ยงหรือปฏิเสธไม่ได้ โดยเฉพาะกับความจริงบางอย่างที่ทำให้เราต้องเจ็บปวด
‘เป็นอย่างไรบ้าง ดีขึ้นหรือยัง'
'พี่มีรุ่นน้องคนหนึ่งน่ารัก นิสัยดี สนใจไหม’
‘เฮ้ย! ผมมีเพื่อนน่ารักๆ เยอะ นิสัยดี อยากรู้จักไหมพี่’
สามประโยคนี้มักจะโผล่เข้ามาในสมองสลับกับความทรงจำดีๆ จากหญิงสาวของผมที่เพิ่งกลายเป็นอดีตไปไม่นาน พร้อมๆ กับการเรียนรู้ที่จะพัก ในช่วงที่จังหวะชีวิตดูจะสับสนมากเกินไปบนถนนของความรู้สึก
ลองให้โอกาสตัวเองอีกครั้งหนึ่ง ถ้าไม่ดีขึ้นก็ต้องยอมรับ
รถเมล์ยังคงวิ่งผ่านไปมาอยู่ไม่ขาด ระหว่างเดินเพื่อไปหาเพื่อนและแฟนของเพื่อนอีกคนหนึ่งที่รออยู่ ใจหนึ่งก็อยากจะถามคำถามหนึ่งกับเพื่อน แต่อีกใจหนึ่งก็กลัวเพื่อนสับสนและคิดมากไปกว่าเดิม ว่าระหว่างที่ยังรัก ถ้าถูกคนที่รักขอร้องให้เดินออกไปจากชีวิต
เพื่อนจะทำอย่างไร...
Monday, July 02, 2007
อย่าลืมรักษาสุขภาพ ดูแลตัวเองดีๆ ละ
อย่าลืมรักษาสุขภาพ ดูแลตัวเองดีๆ ละ/วิภพ ล้อมเขต
เม็ดฝนหลายเม็ดที่ล่วงหล่นลงมาบนพื้น เริงระบำเหมือนไฟกระพริบ ในช่วงเวลาที่นกกระจอกตัวหนึ่งยืนหลบฝนอยู่ใต้ซอกเล็กๆ ของหลังคาบ้าน
เม็ดฝนหลายเม็ดที่ล่วงหล่นลงมาบนพื้น เริงระบำเหมือนไฟกระพริบ ในช่วงเวลาที่นกกระจอกตัวหนึ่งยืนหลบฝนอยู่ใต้ซอกเล็กๆ ของหลังคาบ้าน
ช่วงเวลาหลายวันที่ผ่านมา อากาศที่แปรปรวนทำให้ไม่สามารถคาดเดาได้ว่า วันนี้ฝนจะตกหรือแดดจะร้อนจ้า ส่งผลให้สุขภาพของใครหลายๆ คน ทรุดลงเหมือนใบไม้ที่ล่วงหล่นจากลำต้น และในฐานะคนที่ชอบฤดูฝนคนหนึ่ง รวมไปถึงละเลยการออกกำลังกาย ผมเองก็เป็นหนึ่งในใบไม้ที่ล่วงหล่นจากลำต้นเหมือนกัน
ตอนแรก เข้าใจว่าเป็นเพียงอาการเริ่มต้นของไข้หวัดธรรมดา ปล่อยไว้สักพักก็คงหาย แต่หลังจากอาการไข้หวัดได้โบกมือหายไป อาการไอในช่วงเวลากลางคืนเพราะอากาศที่เย็นขึ้นจนทำให้ไอถี่มากขึ้นเป็นพิเศษ แปรเปลี่ยนลุกลามมาเป็นไอตอนกลางวัน และไอตลอดวันถึงขนาดกับบังคับตัวเองไม่ให้ไอไม่ได้ จึงทำให้มั่นใจว่า โรคประจำตัวที่ห่างเหินไปนาน ได้กลับมาเยี่ยมเยียนกันอีกครั้งหนึ่ง และ 3 วันที่ผ่านมาหลังจากที่นอนไอทั้งคืนจนแทบจะไม่ได้นอน สุดท้ายผมก็ยอมเดินเข้าร้านขายยา ซื้อยาให้กับตัวเอง
ก่อนหน้านี้ผมไอจนอ้วก ไอแบบหยุดไม่ได้ ถึงขนาดที่ว่า ไอมากกว่าหายใจ จนแทบจะหายใจไม่ทัน รอดมาได้ก็เพราะน้ำอุ่น กับถุงพลาสติกที่อยู่เป็นเพื่อนเคียงข้างยามนอน และหนักเข้าก็ถึงขั้นไอจนกะบังลมอักเสบ จำได้ว่าสุดท้ายชีวิตในเมืองทำให้ผมต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ นั่นคือการพาตัวเองไปโรงพยาบาลคนเดียวเพียงลำพัง และหลังจากวินิจฉัยอาการอยู่พักหนึ่งใหญ่ๆ ของหมอ ผมถึงรู้ว่าตัวเองเป็น ‘โรคทางเดินหายใจอักเสบ’ แต่เหตุการณ์และอาการเจ็บป่วยนี้ก็ห่างหายจากชีวิตผมไปได้ 3 ปีแล้ว เวียนวนกลับมาเจอกันอีกครั้งในวันที่ร่างกายของผมอ่อนแอลงอย่างน่าตกใจ
ครั้งหนึ่งเพื่อนคนหนึ่งเคยพูดว่า เวลาที่ร่างกายป่วย ถ้าเป็นไปได้ขออย่าให้ใจป่วย ถามถึงสาเหตุของความคิดก็ได้คำตอบกลับมาว่า เป็นเพราะใจนั้นสามารถรักษาร่างกายได้ แต่ร่างกายกลับไม่สามารถรักษาใจ พอโดนเข้ากับตัวเองในช่วงเวลาที่ใจกับร่างกายป่วยลงพร้อมๆ กัน ถึงได้เข้าใจความหมายของเพื่อนชัดเจนขึ้น
หลังจากอธิบายอาการ และตอบข้อซักถามจากเภสัชสาว ผมได้ยาแก้อักเสบกับยาลดอาการไอ มานอนอุ่นใจอยู่ในกระเป๋ากางเกงอย่างละ 12 เม็ด เบ็ดเสร็จแล้วรวมทั้งสิ้น 24 เม็ด พร้อมกับข้อกำชับที่ว่า ผมควรทานหลังอาหารวันละ 3 เวลา ติดต่อกันเป็นเวลา 4 วัน จึงเท่ากับว่า ใน 1 วันจะมียาเม็ดเล็กๆ เข้าไปซ่อมแซมร่างกายผมวันละ 6 เม็ดด้วยกัน และถ้ายังไม่ดีขึ้น อาจจะต้องให้ยาที่แรงกว่านี้ แล้วก็เป็นอย่างที่เภสัชสาวคิด หลังจากกินยาไปได้ 2 วัน ผมก็ได้รับยาตัวใหม่เพิ่มเข้ามาเพื่อขยายหลอดลม และผลข้างเคียงของยาตัวนี้คืออาการ ‘สั่น’ คืนนั้นทั้งคืนนอกจากนอนไอแล้ว ผมเลยนอนสั่นด้วยอีกอาการ
หลังจากอธิบายอาการ และตอบข้อซักถามจากเภสัชสาว ผมได้ยาแก้อักเสบกับยาลดอาการไอ มานอนอุ่นใจอยู่ในกระเป๋ากางเกงอย่างละ 12 เม็ด เบ็ดเสร็จแล้วรวมทั้งสิ้น 24 เม็ด พร้อมกับข้อกำชับที่ว่า ผมควรทานหลังอาหารวันละ 3 เวลา ติดต่อกันเป็นเวลา 4 วัน จึงเท่ากับว่า ใน 1 วันจะมียาเม็ดเล็กๆ เข้าไปซ่อมแซมร่างกายผมวันละ 6 เม็ดด้วยกัน และถ้ายังไม่ดีขึ้น อาจจะต้องให้ยาที่แรงกว่านี้ แล้วก็เป็นอย่างที่เภสัชสาวคิด หลังจากกินยาไปได้ 2 วัน ผมก็ได้รับยาตัวใหม่เพิ่มเข้ามาเพื่อขยายหลอดลม และผลข้างเคียงของยาตัวนี้คืออาการ ‘สั่น’ คืนนั้นทั้งคืนนอกจากนอนไอแล้ว ผมเลยนอนสั่นด้วยอีกอาการ
เช้าวันต่อมาประกอบกับเป็นวันหยุด ผมไม่ได้ออกไปทำงาน รวมถึงออกไปข้างนอกหรือที่ไหน และเป็นเพราะว่าต้องกินยา ตื่นขึ้นมาเลยปิ้งขนมปังกินกับกาแฟรองท้องเพื่อลดอาการข้างเคียงของยาที่อาจไปกัดกระเพาะ หลังจากเปิดเพลงที่ชอบฟังในตอนเช้า นั่งเคลียงานเก่าๆ ที่ยังค้าง พอกินยาได้สักพักหนึ่งก็รู้สึกง่วง คิดว่าคงไม่ดีแน่ๆ ถ้าต้องหลับหน้าคอมฯ เลยไปนอนพักเอาแรงบนโซฟาสักแปบหนึ่ง แต่ความอ่อนเพลียของร่างกายที่ไม่ได้นอนแบบเต็มที่มาหลายวันบวกกับฤทธิ์ยา กลับทำให้ผมหลับไปหลายชั่วโมงแบบไม่รู้สึกตัว มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงเม็ดฝนหล่นเคาะหลังคา ซึ่งเป็นช่วงเวลาในตอนเย็นแล้ว
พอต้องตื่นขึ้นมาแบบกะทันหัน เพราะต้องรีบวิ่งไปปิดหน้าต่างกันฝนที่จะสาดเข้ามาในห้องนอน ประกอบกับการไม่ได้กินอะไรเลย ร่างกายที่เจ็บป่วยอยู่แล้ว จึงทำให้ผมเป็นลมแบบกะทันหันขึ้นมาทันที
เริ่มจากอาการมึนหัว คลื่นไส้ แล้วภาพทุกอย่างก็พล่าเลือน และเหงื่อที่แตกพลักออกมาจนชุ่มเสื้อ สุดท้ายหลังจากนอนมึนอยู่กับที่เพียงลำพังพักหนึ่งใหญ่ๆ นอกจากน้ำเปล่าที่กินแก้วแล้วแก้วเล่าให้ร่างกายได้รู้สึกดีขึ้น เมื่อคิดได้ว่าต้องหาอะไรให้ร่างกายได้มีพลังงานสักอย่างมาต่อสู้กับอาการเป็นลม ผมจึงค่อยๆ ลุกขึ้นไปหยิบร่มสีขาวเดินฝ่าสายฝนออกไปหาซื้ออะไรมากินก่อนจะต้องกินยาอีกรอบหนึ่ง
เม็ดฝนหลายเม็ดที่ล่วงหล่นลงมาบนพื้น เริงระบำเหมือนไฟกระพริบ อีกส่วนหนึ่งหล่นลงเคาะร่มสีขาว เสียงดังเปาะแปะ ในช่วงเวลาที่นกกระจอกตัวเดิมยังยืนหลบฝนอยู่ใต้ซอกเล็กๆ หลังคาบ้านเหมือนเดิม
ผมคิดถึงคนในอดีตบางคนที่เคยเป็นห่วงสุขภาพของกันและกันกับคำพูดที่คุ้นเคย “อย่าลืมรักษาสุขภาพ ดูแลตัวเองดีๆ ละ” ที่ตอนนี้ต่างเดินไปบนคนละเส้นทาง และไม่รู้ว่าป่านนี้เธอจะเป็นอย่างไรบ้าง
ระหว่างเดินก้าวต่อก้าวนึกถึงเพลง ‘วันที่ฉันป่วย’ ของวงอาร์มแชร์ขึ้นมาจับใจ
คงจะจริงอย่างที่เธอเคยพูดในตอนที่ผมป่วยแล้วเธอยังอยู่เคียงข้าง
ขนาดตัวเองยังจะเอาตัวไม่รอด
แล้วนับประสาอะไรจะไปดูแลใครสักคน …
Subscribe to:
Posts (Atom)