Wednesday, December 26, 2007

ข้ามคืนเพียงลำพัง

ข้ามคืนเพียงลำพัง-วิภพ ล้อมเขต

ค่ำคืนนี้มาเยี่ยมอีกครา โดยมีพระจันทร์เต็มดวงส่องแสงสว่างจ้า อยู่ไกลแสนไกล
ทุกครั้งที่รถไฟฟ้าจอดสนิทที่สถานีปลายทาง ผมมักจะนั่งมองผู้โดยสารคนอื่นๆ ที่ไปยืนออกันตรงประตูทางออก แล้วเดินออกมาจากตู้โบกี้เป็นคนสุดท้ายเสมอ

หลังจากนั้นผมจะเดินตามขบวนผู้โดยสารลงไปทางบันได หยิบบัตรโดยสารขึ้นมาเพื่อสอดลงไปในช่องสอดบัตรตรงประตูทางออก

พอเดินผ่านประตูทางออก ภาพการจราจรที่คลาคล่ำไปด้วยไฟสีแดงของท้ายรถ มักจะทำให้ผมนึกถึงช่วงเวลาต่อไป ซึ่งก็คือช่วงเวลาของการนั่งรถตู้กลับบ้าน และเมื่อขึ้นรถตู้ได้ ถ้าไม่หลับ ผมก็จะใช้เวลาที่เหลือตลอดระยะทาง คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย เรื่อยเปื่อยถึงขนาดที่ว่า

เรื่องบางเรื่องที่ผ่านพ้นไปนานแล้ว ผมก็ยังเก็บเอามาคิดได้อยู่บ่อยๆ จนบางครั้งแผลของความรู้สึกที่หายไปแล้ว ก็เริ่มที่จะมีความเจ็บปวดไหลซึมออกมา
ระหว่างทางกลับบ้าน เสียงใครคนหนึ่งก้องดังอยู่ในหัวของผม

“คิดมากอีกแล้วนะ เราต้องสนุกกับชีวิตสิ”
“สนุกกับชีวิตเหรอ” ผมถามเธอในตอนนั้น
“อือ…สนุกกับชีวิต”เธอตอบ

คำพูดของเธอที่ตอบกลับมา ทำให้ผมเกิดคำถามกับตัวเองว่า นี่ผมดูเป็นคนที่ชอบคิดมากขนาดนั้นเชียวเหรอ หรือว่าจริงๆ แล้วนั้น เป็นเพราะเราสองคนมีมุมมองต่อโลกใบนี้ที่ต่างกัน

ต่างกันถึงขนาดที่ว่า บางช่วงเวลา...เราก็ลืมดูแลความรู้สึกของกันและกัน จนบางครั้งคำขอโทษก็ไม่ได้มีค่าพอสำหรับการไปตามหาความรู้สึกดีๆ ที่หายไปให้กลับคืนมา

แต่เรื่องบางเรื่องผ่านไปแล้วก็ต้องปล่อยให้มันผ่านเลยพ้นไป ผมจึงไม่ได้ยึดติดอะไรมากนัก นอกจากพยายามประคองไม่ให้เกิดเรื่องราวแบบเดิมซ้ำอีกเป็นครั้งที่สอง

หลังจากลงจากรถตู้ ผมเดินไปเอาไอ้ดอกไม้ที่ร้านฝากรถร้านประจำ แล้วปั่นไอ้ดอกไม้กลับเข้าบ้าน

ระหว่างปั่นไอ้ดอกไม้แบบก้าวต่อก้าว ลมหายใจที่หอบถี่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สวนทางกับวงล้อของไอ้ดอกไม้ที่หมุนวนไปข้างหน้าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
พอเปิดประตูบ้านได้ สิ่งแรกที่ทำ คือการล้มตัวลงนอนบนโซฟา นอนได้สักพักก็ลุกขึ้นไปอาบน้ำ ก่อนจะเดินขึ้นไปบนห้องนอนที่ผมพยายามดัดแปลงให้สามารถใช้ชีวิตอยู่ในห้องนี้ได้ทั้งวัน มากกว่าการเอาไว้นอนเพียงอย่างเดียว

ผมชอบช่วงเวลาที่อินโทรของเพลง It's On Tonight ของ Brian Culbertson เริ่มแว่วดังขึ้นมา ในช่วงเวลาที่ฟองเบียร์เม็ดเล็กๆ ผุดประกายกลมลอยขึ้นมาจากก้นแก้ว ท่ามกลางหลอดไฟนีออนในห้องที่ถูกดับลง และมีเพียงเปลวเทียนส่องแสงสว่างขยับสั่นไหวไปตามแรงลมที่พัดเข้ามาทางหน้าต่าง
เปล่า...ผมไม่ได้มีความทรงจำฝังใจใดๆ กับใครในเพลงนี้ แต่ก็เคยพูดให้เพื่อนสนิทฟังอยู่บ่อยๆ ว่า ถ้าสมมติว่าเพลง It's On Tonight เป็นหญิงสาว ผมจะคุกเข่าขอเธอแต่งงานทันที

ไม่ต้องแปลกใจไป...เธอในที่นี้ คือเธอที่เดินออกมาจากเพลง It's On Tonight ไม่ใช่เธอที่เคยเดินเข้ามาในชีวิตของผม

ดึกมากแล้ว แต่ผมยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดียวที่ไม่มีพนักพิงหน้าเคาน์เตอร์บาร์เล็กๆ ในห้องนอน มองดูพระจันทร์เต็มดวงในค่ำคืนนี้เพียงลำพัง
นั่งนิ่งๆ ได้สักพักหนึ่งจึงหยิบมือถือขึ้นมากดเบอร์โทรศัพท์ ไล่ดูรายชื่อคนที่อยากคุยด้วยก็ไม่พบใคร

จากที่เคยได้ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการส่งความรู้สึกไปถึงใครต่อใคร มือถือในตอนนี้จึงมีค่าไม่ต่างอะไรกับที่ทับกระดาษที่สามารถบอกเวลาได้
เพลง It's On Tonight จบลงแล้ว เช่นเดียวกันกับที่เบียร์ในแก้วนั้นหมดลง

ผมหันไปมองนาฬิกาแขวนผนังที่บ่งบอกเวลาในยามค่ำคืน เดินลงไปในห้องครัวเปิดตู้เย็น แล้วหยิบเบียร์ติดมือกลับขึ้นมาบนห้องอีก 1 ขวด

ไม่นานนัก ฟองเบียร์เม็ดเล็กๆ ก็ผุดประกายกลมลอยขึ้นมาจากก้นแก้ว ท่ามกลางหลอดไฟนีออนในห้องที่ถูกดับลง และมีเพียงเปลวเทียนส่องแสงสว่างขยับสั่นไหวไปตามแรงลมที่พัดเข้ามาทางหน้าต่างอีกครั้งหนึ่ง ต่างกันก็แค่เพียงไม่มีเสียงอินโทรของเพลง It's On Tonight แว่วดังขึ้นมา และเปลวเทียนนั้นก็เริ่มหรี่ตัวลงแต่ยังคงสั่นไหว เมื่อสายลมยามค่ำคืนพัดโชยเข้ามาทางหน้าต่าง

ผมไม่ใช่คนดื่มหนัก แต่เป็นคนดื่มได้เรื่อยๆ ส่วนเรื่องเมาแล้วโวยวายเสียงดังนั้นลืมไปได้เลย เพราะนอกจากยิ้มกับพูดน้อยลงแล้ว อาการสุดท้ายเวลาเมา คือการหลับแบบที่ตื่นขึ้นมาแล้วจะจำอะไรไม่ค่อยได้ คล้ายๆ กับการถอดปลั๊กของตัวเองออก

แต่อาการถอดปลั๊กแบบนี้ก็เกิดขึ้นกับผมน้อยมาก น้อยมากเสียจนนับครั้งได้ เวลามีใครมาว่าผมว่าเป็นพวกขี้เมา ผมจึงรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมที่ตัดสินกันจากแค่ภายนอก

พระจันทร์เต็มดวงในค่ำคืนนี้เคลื่อนตัวสูงข้ามหน้าต่าง ทิ้งไว้เพียงดวงดาวที่ยังคงอยู่ที่เดิม ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่เบียร์ในขวดนั้นหมดลง

ผมทิ้งตัวลงจากเก้าอี้ตัวเดียวที่ไม่มีพนักพิงลงบนที่นอน แล้วปล่อยให้ฤทธิ์เบียร์พาผมข้ามผ่านคืนนี้ไป

ในโลกอีกใบหนึ่ง...

Tuesday, December 18, 2007

ในค่ำคืนของแสงไฟ บนท้องถนน

ในค่ำคืนของแสงไฟ บนท้องถนน -วิภพ ล้อมเขต

ทันทีที่ก้าวเท้าลงจากรถเมล์ ผมหยิบมือถือขึ้นมาแล้วโทรไปหาเพื่อนคนหนึ่ง อารมณ์ประมาณว่า ‘คิดถึง’ ไม่ได้เจอกันเสียนาน เมื่อมาเหยียบถึงถิ่นขนาดนี้ ถ้าไม่โทรหากันหน่อยก็ดูจะใจดำเกินไปสำหรับคำว่า ‘เพื่อน’

‘089-700-xxxx’ -เธอจะมีใจหรือเปล่า เธอจะมองมาที่ฉันหรือเปล่า-...เสียงเพลงรอสาย ‘อยากรู้ แต่ไม่อยากถาม’ ของวง Calories Blah Blah ดังอยู่นานเท่านานก่อนจะสิ้นสุดลงด้วยการไม่รับสาย

สงสัยมันคงไม่ได้พกโทรศัพท์ติดตัว-ผมบอกกับตัวเอง แต่พอตั้งสติได้ ลองนึกดูดีๆ ถึงได้รู้ว่าผมกดเบอร์เพื่อนผิดไป 1 ตัวนี่หว่า
คราวนี้ผมลองใหม่ ‘086-700-xxxx’ ไม่มีเสียงเพลงรอสายใดๆ ดังขึ้น นอกเสียจากเสียงสัญญาณรอสายแบบธรรมดา - ผมมั่นใจ ผมกดเบอร์ไม่ผิดแน่นอน

“เออ...นึกไงโทรมาวะ” เพื่อนเป็นฝ่ายเริ่มต้นประโยคแรกในการทักทายผม

เรารู้จักกันครั้งแรกในงานอบรมเยาวชนนักเขียนแห่งหนึ่ง ในวันนั้นความฝันของเพื่อนไม่ใช่การเป็นนักเขียน แต่เป็นการแต่งเพลง เวลาผ่านมานานเท่านานจนถึงปัจจุบัน ความฝันที่จะเป็นนักแต่งเพลงของเพื่อนเริ่มออกมายืนอยู่บนโลกของความจริงแบบก้าวต่อก้าว

ผมมีโอกาสฟังเพลงที่เพื่อนแต่งบ้างเป็นครั้งคราว ส่วนความฝันของผมนั้นเป็นเรื่องตลก สิ่งเดียวที่ผมมีจึงมีเพียงเรื่องเดียว นั่นคือการดำรงชีพให้ได้ด้วยการเขียนหนังสือบนโลกของความเป็นจริง ไม่ใช่ในโลกของความฝันที่นักอยากเขียนทั้งหลายต่างคิดปั้น เติมแต่งมันให้สวยหรู

“กูคิดถึงมึง...ออกมาเจอกูหน่อย” คือคำตอบและเหตุผลที่ผมบอกเพื่อน
“กูติดงานวะ มึงอยู่แถวนี้อีกนานมั๊ยละ”
“ถ้ากูรอแล้วมึงออกมาหา กูจะอยู่” ผมบอกและรู้สึกแบบนี้จริงๆ
“เออ...งั้นไว้เดี๋ยวเย็นๆ เจอกัน”

เสียงตามสายของเพื่อนจบลงไปนานแล้ว แต่เสียงของเพื่อนยังก้องดังอยู่ในหัว
แน่นอน...ถ้าจำกัดเวลาแค่ทำธุระเสร็จ ผมคงไม่ได้อยู่รอเจอหน้าเพื่อนคนนี้แน่ๆ คิดได้ดังนี้จึงเดินเล่นฆ่าเวลาแถวถนนข้าวสาร เห็นภาพนักท่องเที่ยวเดินสะพายเป้ลูกใหญ่คราใด หัวใจก็มักจะสั่งให้ความรู้สึกโหยหาการเดินทางอยู่เสมอ

ผมนึกถึงคราวสะพายเป้เดินอยู่ในป่า นึกถึงเวลาที่ใจของตัวเองมีคนให้คอยเป็นห่วง จนไม่กล้าออกเดินทางท่องเที่ยวได้อย่างที่หวังไว้ แต่ปัจจุบันเมื่อกลายเป็นคนที่ไม่มีใครให้คอยห่วง ภาระหน้าที่ของการงานกับฉุดรั้งผมไว้ ให้ค่อยๆ ห่างเหินการเดินทางจนเกือบกลายเป็นคนแปลกหน้าซึ่งกันและกัน

หลังจากทำธุระเสร็จ ผมได้หนังสือมาจำนวนหนึ่ง พร้อมไวน์ 1 ขวดที่นอนแน่นิ่งอยู่ในกระเป๋า และความหวังบางอย่างที่เดินตามติดผมมาเป็นเงาตามตัว จากญาติน้ำหมึกผู้ใหญ่คนหนึ่งที่มีความเชื่อว่า ผมต้องทำได้

“ก็ถ้ารางวัลมันมีกรอบที่เราเห็นได้อย่างชัดเจนแล้ว ทำไมถึงไม่ตั้งใจทำตามกรอบนั้นให้ดีขึ้นกว่าเดิมละ”

เปล่า...ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อหรือดื้อรั้น แต่กับช่วงเวลาในปัจจุบัน ผมก็ยังไม่พร้อมที่จะต้องเผชิญกับอะไรบางอย่าง

สุดท้ายผมตัดสินใจเข้าไปรอเพื่อนที่ร้านหนังสือเดินทาง ร้านหนังสือร้านประจำที่แทบจะกลายเป็นบ้านหลังที่ 2 ในกรุงเทพฯ ไปแล้ว

ระหว่างนั่งรอเพื่อนก็คงต้องบอกว่า ไม่รู้วันนี้เป็นวันอะไร พรรคพวกที่ไม่ได้เจอกันมานาน อยู่ๆ ก็มาพร้อมกันที่ร้านหนังสือเดินทางอย่างไม่ได้นัดหมาย แน่นอนว่าส่วนหนึ่งพี่หนุ่ม เจ้าของร้านเป็นคนโทรตาม เหตุผลคงไม่มีอะไรมากกว่าความต้องการเสียงหัวเราะหลังจากที่เราต่างก็ไม่ได้พบหน้ากัน

ยิ่งคิดถึงกันมากเท่าไร เราจึงหาเรื่องแกล้งกันจนมีเรื่องให้หัวเราะมากขึ้น ไวน์ 1 ขวดที่นอนแน่นิ่งอยู่ในกระเป๋า จึงถูกเปิดออกฉลองการรวมตัวกันในครั้งนี้ เล่นเอาลูกค้าที่เปิดประตูเข้ามาในร้านถึงกับตกใจ เพราะตามประวัติของร้านหนังสือเดินทางนั้น ห้ามดื่มเครื่องดื่มมึนเมาทุกชนิดในร้าน แต่กรณีนี้เพื่อน้องๆ และเสียงหัวเราะกฎที่ว่าจึงเหมือนถูกลืมเลือน

ไวน์พร่องลงไปเหลือครึ่งขวด ในขณะที่จำนวนความถี่ของเสียงหัวเราะเริ่มสวนทางเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานนักเพื่อนก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมหญิงสาวคนหนึ่งที่ผมไม่รู้จัก

หลังจากทักทายกันตามประสาเพื่อนที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาเสียนานแบบพอประมาณ แม้ทรงผมและสีผมของเพื่อนจะเปลี่ยนไปจากเดิมมาก แต่ผมก็รู้สึกได้ว่า ภายในความรู้สึกของเราสองคนกับไม่เปลี่ยนไปและยังคงเหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็นมา

“มึงเป็นไงบ้างวะ...เออนี้ แฟนกู รู้จักกันไว้”
“สวัสดีค่ะ ได้ข่าวว่าเป็นนักเขียนเหรอค่ะ” เธอยิ้มและเริ่มทักทายผม

สาบานสิ ให้ตาย เวลาถูกถามแบบนี้ขึ้นมาทีไร ผมมักจะไม่สะดวกใจที่จะตอบว่าตัวผมเป็นนักเขียนทุกที
เปล่า...ผมไม่ได้อายที่จะบอกใครต่อใครว่าผมดำรงชีพด้วยอาชีพนี้ แต่ที่ผมไม่มั่นใจจะบอกใครต่อใครว่าผมเป็นนักเขียน เพราะรู้สึกว่าตัวเองยังไม่ถึงระดับนักเขียนที่เป็นนักเขียนจริงๆ ที่แตกต่างจากนักอยากเขียนที่เพ้อเจ้อไปวันๆ ว่า ความฝันของกูคือการเป็นนักเขียน แต่วันๆ ไม่เคยทำอะไรเลย นอกจากปรุงแต่งความเพ้อเจ้อของตัวเองบนโลกของความเป็นจริง หรือไม่ก็ถือหนังสือเล่มหนึ่งเดินไปเดินมาเป็นเดือนๆ จนหนังสือขาด

ตอนแรกผมตั้งใจว่าจะปลีกตัวออกมานั่งคุยกับเพื่อนก่อน แต่ระหว่างที่นั่งคุยกันเมื่อเพื่อนแสดงความห่วงใยด้วยการถามว่า แล้วเมื่อไรผมถึงจะเลิกไปไหนมาไหนตัวคนเดียว

เมื่อไม่รู้ว่าจะตอบเพื่อนยังไงให้ดูดี ผมจึงเผ่นออกมาจากโต๊ะเพื่อนเพื่อจัดการไวน์อีกครึ่งขวดที่เหลืออยู่

ไวน์ในขวดหมดแล้ว แต่คำถามของเพื่อนยังก้องดังอยู่ในหัว ผมนึกถึงคำพูดของรุ่นพี่คนหนึ่งที่เป็นบรรณาธิการหนังสือหนังเล่มหนึ่งที่เคยบอกผมว่า

“เมื่อเจอคนที่ใช่ หัวใจจะบอกเอง”

เก็บคำของรุ่นพี่มาคิดก็ได้แต่เกิดความสงสัย ถ้าเจอคนที่ใช่ แล้วถ้าเกิดว่าเขาต้องเดินจากเราไปอีกผมจะต้องทำอย่างไร
ผมไม่เคยถามคำถามนี้กับรุ่นพี่ เลยได้แต่ปล่อยไว้ให้กลายเป็นคำตอบของอนาคต

ลมหนาวยามค่ำคืนมาเยือนอีกครั้ง

เราเดินออกมาจากร้านหนังสือเดินทาง โดยมีปลายทางเป็นถนนข้าวสาร
ระหว่างทางที่เดินไป เพื่อนเดินกุมมือแฟนอยู่ข้างหน้า ส่วนสองมือของผมนั้นไม่ได้กุมมือใคร นอกจากกอดหนังสือไว้ในอ้อมกอด
แล้วได้แต่แหงนหน้ามองดูแสงไฟ
ในยามค่ำคืน...

Thursday, December 06, 2007

คุณสมบัติซึ่งทำให้ตาเห็น

คุณสมบัติซึ่งทำให้ตาเห็น-วิภพ ล้อมเขต

สมัยยังเด็ก หนึ่งในกิจกรรมที่ผมชอบมาก คือการระบายสีในชั่วโมงวาดเขียน

ชอบมากถึงขนาดที่ว่า หลังจากชั่วโมงวาดเขียนจบไป กลับถึงบ้านเมื่อไรกำแพงบ้านมักจะต้องเต็มไปด้วยรูปวาดฝีมือผมที่ระบายสีลงไปแบบเกินขอบเขตอยู่เสมอ และเมื่อผู้ใหญ่หลายคนในตอนนั้นเห็นเข้า ก็พากันทำนายอนาคตของผมว่า โตขึ้นผมต้องเป็นพวกศิลปินวาดรูปแน่ๆ

แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเท่านาน จากเด็กน้อยเติบโตเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ผมกลับมีโอกาสระบายสีน้อยลง และพอเอาเข้าจริงแล้ว ผมก็ไม่ได้เป็นศิลปินวาดรูปอย่างที่ผู้ใหญ่หลายคนเคยทำนายไว้เพียงเพราะว่า เมื่อไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองถนัด ผมก็ไม่รู้ว่าจะทำมันไปเพื่ออะไร

ตลอดระยะระหว่างทางของชีวิตที่ผ่านมา แม้จะไม่ได้ระบายสีทุกวันเหมือนวันเก่าๆ แต่ ‘สี’ ก็ไม่เคยตกหล่นหายไปจากชีวิตของผม เมื่อมีเวลาว่างหรือรู้สึกว่าใจว้าวุ่นขึ้นมาเมื่อไร ผมจะซื้อสี พู่กัน และกระดาษ มานั่งวาดรูประบายสีเพียงลำพังเสมอ

แน่นอนว่ารูปที่วาดก็ไม่ได้ตั้งใจคิดตั้งแต่แรกไว้ว่าจะเป็นรูปอะไร อยากลากเส้นตรงไหน ลงสีอะไร เรื่องราวเหล่านี้มักเกิดขึ้นหลังจากที่พู่กันจุ่มสีได้ไม่นานนัก
หลังจากวาดรูปเสร็จ ผมชอบนั่งมองรูปที่วาดนิ่งๆ เพียงลำพัง

แม้รูปที่วาดจะแตกต่างไปจากในวัยเด็กมาก แต่สิ่งเดียวที่ยังเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน คือการระบายสีลงไปแบบเกินขอบเขต จนเหลื่อมล้ำไปผสมกับอีกสีหนึ่งแล้วกลายเป็นสีอื่น ไม่ต่างอะไรกับความสัมพันธ์กับใครบางคน ที่อาจทำให้เราต้องรู้สึกเกินเลยไปกว่าที่ตั้งใจไว้ในตอนแรก

จะว่าไปแล้วตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผมไม่เคยรู้ถึงความหมายที่แท้จริงเลยว่า ‘สี’ นั้นหมายถึงอะไร ได้แต่คิดเองเออเองว่า สีคือคำเรียกแทนบางสิ่งบางอย่าง ที่เราต่างตั้งมันขึ้นมาเพื่อไม่ให้เกิดความสับสน

หลังจากล้างพู่กันเพื่อเอาสีที่ติดอยู่ออก ผมเดินกลับขึ้นไปบนห้องนอน แล้วนั่งลงที่โต๊ะเขียนหนังสือ

ผมค่อยๆ หยิบหนังสือคลังคำเล่มเขื่องที่ตั้งอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือขึ้นมา เปิดไปหน้าดัชนีเพื่อพลิกหาความหมายของคำว่า ‘สี’ ที่มีความหมายในเชิงเปรียบเทียบที่หลากหลาย แต่ความหมายที่ดูจะสะกิดใจผมมากเป็นพิเศษ กลับเป็นความหมายที่ว่า

‘สี’ คือ ‘คุณสมบัติซึ่งทำให้ตาเห็น’

ลองนึกตามถึงความหมายก็ท่าจะจริง เพราะชีวิตนี้ถ้าเกิดไม่มีสี ก็คงทำให้มองเห็นอะไรได้ยากขึ้น โดยเฉพาะกับในแง่ของความเป็นจริงนั้น สีสามารถเป็นตัวแทนของความรู้สึกอะไรได้หลายอย่าง ที่มีทั้งจับต้องได้และจับต้องไม่ได้

ส่วนในโลกของความรู้สึกที่จับต้องไม่ได้อย่างความรักนั้น กลับมีเพียงสีไม่กี่สีที่ถูกเปรียบเทียบไว้ ในแง่ของการแทนค่าทางความรู้สึก

หลายคนเชื่อว่าโลกของคนที่มีความรักย่อมเป็นสีชมพู ต่างกันกับคนที่อกหักความรักมักเป็นสีเทา ส่วนคนที่ฝังใจกับด้านลบของความรักก็มักจะมีสีดำเป็นตัวแทนของความรักเสมอ

ผมไม่รู้ว่าใครเป็นคนกำหนดสีให้เรื่องราวเหล่านี้ ไม่เข้าใจว่าทำไมสีชมพูถึงเป็นตัวแทนของความรักที่แสนหวาน ทำไมสีเทาต้องเป็นตัวแทนของคนที่อกหัก ดูเหงาๆ เศร้าๆ ทึมๆ หรือทำไมสีดำต้องเป็นตัวแทนของความมืดมนที่หมดหวังซึ่งทุกสิ่งทุกอย่าง และพร้อมจะทำร้ายใครสักคนที่เข้ามาในชีวิตเสมอเพื่อประชดความรักที่เพิ่งผ่านพ้นไป ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้ว ใครคนใหม่ที่เพิ่งเดินเข้ามาไม่ได้มีส่วนข้องเกี่ยวใดๆ เลยทั้งสิ้น และถ้าจะให้พูดถึงเหตุผลแบบมักง่าย ก็คงเป็นเพราะแค่เหงาอยู่คนเดียวไม่ได้ จนวันหนึ่งที่หายเหงาก็แค่บอกเลิกกันไป และทำเหมือนกับว่า ชีวิตนี้ไม่เคยได้ทำร้ายความรู้สึกของใครเลย

หลายครั้งผมเคยเปิดประตูความรู้สึก แล้วปล่อยให้ความรักเข้ามาเดินเล่นในจังหวะชีวิต แต่ทุกครั้งที่ต้องเดินแยกกันไปคนละทางกับความรัก ผมกลับรู้สึกว่า ผมไม่เคยรู้เลยว่า ความรักของผมนั้นเป็นสีอะไร

ไม่ใช่ว่าไม่ใส่ใจ แต่การแทนค่าความรักของตัวเองที่เพิ่งผ่านพ้นไปด้วยสีใดสีหนึ่ง นั้นดูเป็นการแทนค่าที่จะทำร้ายความรู้สึกกันไปเสียหน่อย
โดยเฉพาะกับการแทนค่าสีของความรักที่จูงมือรอยยิ้มไปจากเรา

ครั้งหนึ่งผมเคยเดินจูงมือคนตาบอดเพื่อไปรอขึ้นรถเมล์ แน่นอนว่าถ้าไม่ได้ผมเป็นผู้นำทาง มันก็อาจเกิดความลำบากกับเขาสักหน่อย แม้ว่าเขาจะเคยชินกับโลกที่มืดสนิทมานานสักเพียงใดก็ตาม

อาจจะดูเป็นเรื่องจริงที่ว่า มันเศร้าอยู่ไม่น้อยที่โลกของเขานั้นมืดสนิท แต่ในทางกลับกันบนโลกใบนี้ที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนที่ยากเกินกว่าจะบรรยาย ความมืดก็อาจสอนให้เขาได้รู้ว่า

บางครั้งภาพจากดวงตา ก็ไม่ได้บอกอะไรมากมายนัก

ผมไม่รู้ว่าถ้าเกิดคนตาบอดคนนั้นตาเป็นปกติ และมีโอกาสได้หลงใหลใน ‘คุณสมบัติซึ่งทำให้ตาเห็น’ ในแง่ของความรัก ที่ใครหลายคนต่างลุ่มหลงแล้วจะเป็นอย่างไร

เพราะในขณะที่โลกของคนตาบอดนั้นมองไม่เห็นสีอื่นใดนอกจากสีของความมืดมน ‘คุณสมบัติซึ่งทำให้ตาเห็น’ ในโลกของคนตาดีๆ อย่างเรา กลับถูกความลุ่มหลงในความรัก

สาปแช่งให้กลายเป็นคนตาบอดเสียยิ่งกว่า...