บ่ายวันศุกร์เป็นช่วงเวลา และวันที่ผมชอบมากที่สุด ปกติแล้วถ้าไม่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ผมก็จะเปิดเพลงฟังแล้วฮัมตามไปเบาๆ อยู่เสมอ แต่บ่ายวันศุกร์วันนี้ต่างจากทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา เพราะตอนนี้ผมกำลังนั่งรอกาแฟคาปูชิโนร้อนๆ รวมถึงเพื่อนของผมคนหนึ่งที่ชื่อโจ อันเป็นสาเหตุให้บ่ายวันศุกร์ของผมเปลี่ยนไป และเหตุผลที่ทำให้ผมไม่สามารถปฏิเสธได้ก็คือ พรุ่งนี้โจจะไปลอนดอน อย่างที่เคยบอกผมไว้เมื่อสามปีที่แล้วหลังจากเรียนจบใหม่ๆ
ผมนึกถึงค่ำคืนหนึ่งหลังวงเหล้าเลิก โจตบบ่าผมเบาๆ แล้วบอกว่า ผมเป็นหนึ่งในจำนวนน้อยคนที่มันสามารถระบายได้ทุกเรื่อง(แต่ผมเห็นมันระบายเป็นอยู่เรื่องเดียวคือ ความรัก) และวันนี้ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องความรักอีกเช่นกัน
พนักงานร้านกาแฟค่อยๆ วางแก้วกาแฟคาปูชิโนร้อนลงบนโต๊ะ เช่นเดียวกันกับช่วงเวลาที่โจเปิดประตูร้านเข้ามาแล้วเดินมาที่โต๊ะที่ผมนั่งรออยู่ก่อนแล้ว โจหยิบเมนูที่วางรออยู่บนโต๊ะมากางดู ไม่เกินสองนาทีพนักงานก็จดคำว่า ลาเต้ ลงไป
ผมวางแก้วกาแฟคาปูชิโนร้อนของผมลงข้างๆ หนังสือลอนดอนกับความลับในรอยจูบที่โจซื้อมาฝากด้วยเหตุผลที่ว่าชื่อของหนังสือเล่มนี้จะไม่ทำให้ผมลืมว่ามีเพื่อนคนหนึ่งอยู่ที่ลอนดอน ซึ่งก็คือโจในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
"กูหวังว่ามึงยังคงไม่ได้อ่านนะ และมันคงทำให้มึงคิดถึงกูบ้าง" ครั้งหนึ่งโจเคยบอกกับผมว่าไม่อยากซื้อหนังสือให้ผมเพราะกลัวผมอ่านแล้ว และครั้งนี้ก็คงเช่นกัน แต่เพื่อไม่ให้โจไม่เสียฟอร์ม ผมจึงไม่ตอบอะไรนอกจากยิ้มแทนคำขอบคุณ เพราะผมเคยอ่านแล้วนั่นเอง
ลอนดอนกับความลับในรอยจูบ เรื่องราวของผู้ชายคนหนึ่งที่ปฏิเสธความรักแล้วหนีความรักไปยังอีกสถานที่หนึ่ง และตอนหลังเขาเพิ่งจะเข้าใจว่า เขาไม่เคยหนีความรักพ้นเพราะความรักอยู่รอบตัวเขาตลอดเวลา
ระหว่างพูดคุยเรื่องราวบางเรื่องที่ห่างหายกันไปนานจนไม่รู้จะคุยอะไรกันต่อ โจก็ทำลายความเงียบตรงนั้นลงด้วยการเปิดประโยคคำถามกับผมว่า
"มึงเคยปฏิเสธความรักจากใครมั๊ยวะ"
ผมลองนึกย้อนดูถึงการปฏิเสธความรักที่ผมมีโอกาสน้อยมากที่จะทำเช่นนั้นกับใครสักคนหนึ่งที่มาสารภาพรักกับผม อาจจะไม่ใช่คนหล่อเหลาเอาการ หรือรวยระดับใช้เงินเป็นกระดาษ ตามคุณสมบัติที่พอจะปฏิเสธความรักจากใครสักคนได้ก็ตาม แต่หลังจากนึกย้อนดูดีๆ แล้ว ครั้งหนึ่งในชีวิตผมก็เคยปฏิเสธความรักจากรุ่นน้องคนหนึ่งเหมือนกัน
โจบอกผมว่าผู้หญิงที่โจคบอยู่ในตอนนี้มาบอกว่า รัก แต่เมื่อได้ฟังสิ่งที่ผู้หญิงพูดมาทั้งหมดแล้ว โจก็ปฏิเสธความรักจากผู้หญิงคนนั้นไปทันที อาจจะดูใจร้าย และไม่ใช่ว่าไม่รัก แต่โจก็ให้เหตุผลกับหญิงสาวคนนั้นเฉกเช่นเดียวกับที่ใครหลายๆ คนชอบพูดกันว่า
"เราไม่อยากให้ใคร รอคอยเรา"
"แต่กูก็ยังไม่รู้เลยว่า ไปอยู่ที่นู่นกูจะทำงานอย่างเดียวโดยที่ไม่มีเรื่องความรักเข้ามาได้รึเปล่า" โจเปรยออกมาถึงความคาดหวังในตัวเอง
"แล้วมึงทำไงละในเมื่อผู้หญิงเขาบอกว่า เขาจะรอมึงไม่ว่านานแค่ไหน" ผมถามโจจนโจนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
"ไม่รู้สิแต่ถ้าเขารักกูจริงเขาคงรอกูได้ แต่ถ้ารอไม่ได้เขาจะมีใครใหม่กูก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่พอกูปฏิเสธเขาไป จนถึงวันนี้เขาก็ยังไม่โทรมาหากูอีกเลย" และนั่นคือความกังวลใจอย่างแรกที่โจมี
เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างแจ่มชัดในความเศร้า โดยเฉพาะเรื่องราวของอดีต คนเรามักตัดสินใจเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าด้วยความกังวลใจ แล้วเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมรอบข้างใหม่ทั้งหมดเพียงเพื่อความหวังที่จะทำให้ลืม ใครคนนั้นลงให้ได้บ้างสักนิดก็ยังดี โดยที่ไม่รู้ว่าเรื่องราวของใครคนนั้นที่น่าจะเลือนหายไปกำลังจะชัดเจนขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
โจถอนหายใจยาวๆ ออกมาพร้อมกับมองดูเวลาที่หน้าปัดนาฬิกา เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเสือผู้หญิงอย่างโจต้องถอนหายใจเพราะเรื่องผู้หญิง ผมถามโจว่าที่นัดผมมาวันนี้นี่เป็นเพราะเรื่องนี้ใช่ม๊ย โจยิ้มที่มุมปากก่อนจะคนช้อนกาแฟวนไปทางขวาแล้วบอกว่า ไม่รู้วะ แต่พอได้พูดได้ระบายกับมึงกูก็รู้สึกสบายใจขึ้นเย่อะ หรืออาจจะเป็นเพราะรู้สึกว่าเขาคือคนที่รักกูจริงๆ ก็ได้มั้ง เลยทำให้กูเป็นอย่างนี้ ระหว่างความรัก และโชคชะตา สองสิ่งนี้ไม่มีใครบอกได้ว่าความรักหรือโชคชะตาที่เล่นตลกได้แนบเนียนมากกว่ากัน…
นั่นคือเรื่องราวที่ผมกับโจเคยพูดคุยกันในร้านกาแฟเล็กๆ ร้านนี้เมื่อ 4 ปีที่แล้ว
โจเพิ่งกลับมาถึงเมืองไทยเมื่อวาน แล้วนัดผมมาที่ร้านกาแฟร้านเดิมอีกครั้งหนึ่งทันที ผมกลายเป็นผู้ฟังไม่สิ ต้องเรียกว่าที่ระบายเหมือนเช่นเคย เรื่องราวของชีวิต ประสบการณ์ในต่างแดน ต่างเชื้อชาติ ต่างภาษา ถูกโจถ่ายทอดออกมาเหมือนละครฉากหนึ่ง ยกเว้นเพียงเรื่องเดียวที่แทบจะไม่ได้ออกจากปากของโจคือเรื่องผู้หญิง และเมื่อผมเอ่ยปากถาม โจก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเล่าเรื่องของผู้หญิงที่มาบอกรักโจเมื่อ 4 ปีที่แล้วให้ฟังว่าที่ กลับมาเมืองไทยครั้งนี้ก็เพราะเธอ
ตั้งแต่ไปอยู่ที่ลอนดอนนอกจากงานแล้วสิ่งเดียวที่ตามหลอกหลอนโจอยู่ตลอดเวลาคือคำว่า รัก จากผู้หญิงคนนั้น จนคืนหนึ่งโจก็บอกกับตัวเองว่า แท้จริงแล้วตัวเองก็รักหญิงสาวคนนั้นเหมือนกัน และวันหนึ่งหากโจกลับมาเมืองไทยแล้วเธอยังรอโจอยู่ โจจะคลุกเข่าขอเธอแต่งงานทันที
ผมนั่งฟังโจเล่าด้วยอาการที่ตื่นเต้นผิดกับโจที่นิ่งเฉยไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา นอกจากแววตาที่เงียบเหงา น้ำตาที่เอ่อล้นออกมาจากสองตาอาจทำให้โจมองเห็นผมอย่างพร่าเลือน โจบอกว่าก่อนที่โจจะกลับมาได้สองอาทิตย์หญิงสาวคนที่มาบอกรักโจประสบอุบัติเหตุและเสียชีวิตลง จนทำให้กลายเป็นการลาจากกันชั่วนิรันดร์ ของโจกับเธอ ทั้งๆ ที่พรุ่งนี้โจจะไปบอกเธอว่า โจรักเธอ พร้อมทั้งความตั้งใจที่จะขอเธอแต่งงาน
อาจจะดูเหมือนช้าจนสายเกินไป แม้เธอจะไม่ได้ยินสิ่งที่โจพูด และตอบรับรักโจอย่างที่โจต้องการ แต่ผมก็เชื่อว่าเธอคงรับรู้ในความรู้สึกที่โจมีต่อเธอ ผมนั่งฟังโจพูดโดยไม่ได้พูดปลอบหรือแนะนำอะไรโจเหมือนเช่นวันก่อนๆ ที่เคยเป็นมา
พนักงานเสริฟขออนุญาตเก็บแก้วกาแฟที่ว่างเปล่าบนโต๊ะของเราสองคนออกไป แล้วเหลื่อไว้แต่เพียงความว่างเปล่าบนโต๊ะที่เป็นความจริง ใบไม้นอกร้านกาแฟเล็กๆ ที่เราสองคนนั่งอยู่ปลิดปลิวไปตามสายลม
ผมนึกถึงประโยคหนึ่งที่เคยได้ยินเกี่ยวกับความรักที่ว่า จงอย่าไขว่คว้าหารัก แต่ให้รักตามหาคุณ และเมื่อรักหาเราจนพบ เราก็มักจะปฏิเสธความรักเสมอ โดยเฉพาะในคราวที่เรียกกลับมาไม่ได้…
Tuesday, October 31, 2006
Wednesday, October 25, 2006
ภาพวาด
ภาพวาด
นานมาแล้ว…
ผมวาดรูปให้เพื่อนของผมคนหนึ่ง
ในวันคล้ายวันเกิด
เป็นรูปผู้หญิงนั่งกอดตัวเอง
และมีเทวดาตัวน้อย
โบยบินอยู่
เพื่อนผมคนนั้นบอกว่า
รูปแกอนุบาลมาก
แต่ทุกครั้งที่แอบมอง
ฉันจะอมยิ้มทุกครั้ง และคิดถึงแก
หลังจากนั้น…
ผมวาดรูปให้เพื่อนของผมคนเดิม
ในวันที่ผมอยากวาดให้
เป็นรูปชายหนุ่มนั่งร้องไห้
และมีนางฟ้าตัวน้อย
โบยบินอยู่
ภาพนางฟ้าตัวน้อย
ผมใช้เธอเป็นแม่แบบ
ส่วนภาพชายหนุ่มนั่งร้องไห้
ผมใช้ตัวเองเป็นแม่แบบ
เธอถามผมว่า
ทำไมชายหนุ่มต้องร้องไห้
ผมบอกเธอว่า
ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บ
เธอบอกผมว่า
เป็นผู้ชายไม่ควรร้องไห้ง่ายนัก
ถ้าจะร้องไห้
ต้องร้องไห้ต่อหน้าคนที่เรารักเท่านั้น
ผมบอกเธอว่า
นี่มันเจ็บกาย
คนละกรณีกับเจ็บใจ
น้ำตามันจึงมีค่าต่างกัน
เธอค้านหัวชนฝา
น้ำตาคือน้ำตา
จะกี่หยดกี่หยด
มันก็คือน้ำตา
วันนี้…
ภาพวาดใบสุดท้ายที่ผมวาดให้เธอ
มีชายหนุ่มนั่งร้องไห้
อยู่เพียงลำพัง
เมื่อเค้าแหงนหน้าขึ้นไป
เค้าจะเห็นนางฟ้าตัวน้อยของเขา
โบยบินอยู่…
ในมุมหนึ่งของความรู้สึก
ผมอยากวาดรูปนางฟ้าตัวน้อย
โบยบินลงมา
เช็ดน้ำตาให้กับชายหนุ่ม…
นานมาแล้ว…
ผมวาดรูปให้เพื่อนของผมคนหนึ่ง
ในวันคล้ายวันเกิด
เป็นรูปผู้หญิงนั่งกอดตัวเอง
และมีเทวดาตัวน้อย
โบยบินอยู่
เพื่อนผมคนนั้นบอกว่า
รูปแกอนุบาลมาก
แต่ทุกครั้งที่แอบมอง
ฉันจะอมยิ้มทุกครั้ง และคิดถึงแก
หลังจากนั้น…
ผมวาดรูปให้เพื่อนของผมคนเดิม
ในวันที่ผมอยากวาดให้
เป็นรูปชายหนุ่มนั่งร้องไห้
และมีนางฟ้าตัวน้อย
โบยบินอยู่
ภาพนางฟ้าตัวน้อย
ผมใช้เธอเป็นแม่แบบ
ส่วนภาพชายหนุ่มนั่งร้องไห้
ผมใช้ตัวเองเป็นแม่แบบ
เธอถามผมว่า
ทำไมชายหนุ่มต้องร้องไห้
ผมบอกเธอว่า
ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บ
เธอบอกผมว่า
เป็นผู้ชายไม่ควรร้องไห้ง่ายนัก
ถ้าจะร้องไห้
ต้องร้องไห้ต่อหน้าคนที่เรารักเท่านั้น
ผมบอกเธอว่า
นี่มันเจ็บกาย
คนละกรณีกับเจ็บใจ
น้ำตามันจึงมีค่าต่างกัน
เธอค้านหัวชนฝา
น้ำตาคือน้ำตา
จะกี่หยดกี่หยด
มันก็คือน้ำตา
วันนี้…
ภาพวาดใบสุดท้ายที่ผมวาดให้เธอ
มีชายหนุ่มนั่งร้องไห้
อยู่เพียงลำพัง
เมื่อเค้าแหงนหน้าขึ้นไป
เค้าจะเห็นนางฟ้าตัวน้อยของเขา
โบยบินอยู่…
ในมุมหนึ่งของความรู้สึก
ผมอยากวาดรูปนางฟ้าตัวน้อย
โบยบินลงมา
เช็ดน้ำตาให้กับชายหนุ่ม…
Monday, October 23, 2006
บทกวี
Sunday, October 15, 2006
ความหมายของขาลง
ความหมายของขาลง-วิภพ ล้อมเขต
ความเงียบที่แสนจะอึกทึกของเมื่อคืน ส่งผลให้ผมนอนไม่ค่อยหลับ
จะว่าตื่นเต้นก็ไม่ใช่ถ้อยคำทั้งหมดของคำตอบ หากแต่เพียงผมเอ่ยปากบอกใครสักคนที่บ้านก่อนจะออกมาบ้างก็คงดี อย่างน้อยพวกเขาคงคลายบ่วงเชือกของความห่วงใยที่รัดแน่นลงได้บ้าง การถอยห่างจากอ้อมแขนจากผู้เป็นที่รักโดยไม่บอกกล่าว จึงคล้ายเส้นทางเดินอีกเส้นทางหนึ่งที่ผมเลือกเดิน ซึ่งบางครั้งก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ต้องมั่นใจว่าเราจะได้รับสิทธิ์ที่จะเดินกลับเข้ามาในอ้อมแขนนั้นอีก เพราะในห้วงยามของความห่วงใยที่แท้จริงนั้น คนเราหากไม่พลัดพรากก็ไม่สามารถประเมินค่าซึ่งกันและกันได้
พี่ตาซาขับรถมอเตอร์ไซด์ที่เบรกไม่ค่อยอยู่ของแกมาหาตั้งแต่เช้า เมื่อเห็นว่าพวกเรายังไม่พร้อม พี่ตาซาเลยบอกให้ไปเจอกันที่บ้านของแกแทน
ดวงตะวันยามเที่ยงยังคงร้อนแรง และสาดแสงให้เห็นเงาของตัวเองชัดมากขึ้น ในช่วงเวลาที่พวกเราเดินทางออกจากบ้านของพี่ตาซา คณะของเรามีทั้งหมดหกคน ประกอบไปด้วย พี่ตาซา พี่เด่นไผ่ หลง แจ้งและก็ผมซึ่งเป็นคนเดียวที่ไม่มีประสบการณ์ในการเดินป่าเลยสักครั้ง
จากบ้านของพี่ตาซาพวกเราเลือกเส้นทางที่จะเดินตัดเข้าทางป่าไผ่ แทนเส้นทางสายตรงที่ตั้งชันเกือบๆ 45 องศา บางเวลาประสบการณ์ที่ผ่านพ้นไปก็สอนให้เราเรียนรู้ว่า บางครั้งการหลีกเลี่ยงก็สำคัญไม่น้อยไปกว่าการเผชิญหน้า เมื่อเราได้รู้จักกำลังของตัวเอง
การก้มหน้ามองพื้นอย่างเจียมตัว ไม่แหงนหน้ามองยอดเขา เพราะมันจะทำให้เราท้อเมื่อเราเอาขนาดของตัวเองไปเปรียบเทียบกับขนาดของภูเขาที่เราเผชิญหน้าอยู่ จึงไม่ได้เป็นเพียงถ้อยคำที่ผมท่องจนขึ้นใจ แต่กลับกลายเป็นหนึ่งเดียวกับจังหวะการย่างก้าวของเท้า ที่สั้นกระชับกว่าเดิม แต่ยังต้องเผชิญหน้ากับความเหน็ดเหนื่อยเมื่อถูกทดสอบโดยความสูงชันของเขาแหลม
สายน้ำที่ไหลเอื่อยในเดือนมกราคม ยังคงความสดชื่นไว้ให้พวกเราได้ดับกระหาย พวกเราแวะพักตรงน้ำตกเล็กๆ ผมวางเป้ลงข้างๆ เป้ของพี่ตาซาที่ทำมาจากถุงปุ๋ยโดยเจาะรูทั้งสองข้าง แล้วเอาผ้าขาวม้ามาทำเป็นสายสะพาย และใช้เศษยางในของรถมอเตอร์ไซด์มามัดปากถุง
ถ้าจะพูดถึงราคาระหว่างเป้ของผมกับพี่ตาซามันคงเทียบกันไม่ได้ แต่ถ้าหากเป็นความหมายและหน้าที่ เป้สองใบนี้กำลังแบกรับความตั้งใจในการพิชิตยอดเขาแหลมอย่างเท่าเทียมกัน ถึงแม้ว่าเป้ของพี่ตาซาจะได้เปรียบชั่วโมงบินมากกว่าเป้ของผมก็ตาม
พวกเราออกเดินกันอีกครั้ง และธรรมชาติก็บอกให้เรารู้ว่า ยิ่งสูงลักษณะของป่าก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จากป่าไผ่ที่พบเห็นในช่วงแรกๆ มาตอนนี้กลับกลายเป็นป่าเบญจพรรณที่เริ่มมีต้นผึ้ง และต้นไทรให้พวกเราเห็นมากขึ้นแทน แต่บริเวณนี้ก็ยังคงมีฝายทดน้ำของชาวบ้านตามลำห้วยให้ได้พบเห็น เพราะบริเวณนี้ยังคงเป็นบริเวณที่ชาวบ้านยังเข้ามาทำกินอยู่บ่อยๆ และลำห้วยสายนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงระบบชลประทานในหมู่บ้าน
"ปีที่แล้วเราก็ได้น้ำในห้วยนี่ช่วยดับไฟป่า" หลงบอกกับผมเมื่อเห็นผมยืนมองฝายทดน้ำอย่างสนใจ
"ถ้าปีนี้ไม่มีน้ำจะดับยังไง" ผมถามหลง
"ทำแนวกันไฟไงพี่ ใช้ไม้ไผ่มาทำเป็นไม้กวาดคอยกวาดใบไม้สร้างแนวกันไฟ ภาษากะเหรี่ยงเรียกว่า’ราโค่’
"ราโค่เหรอ"
"ใช่พี่ ภาษากะเหรี่ยงเรียกราโค่"
ในขณะที่จังหวะการเต้นของหัวใจคลายความเหนื่อยล้าลง ผมได้ยินเสียงพี่ตาซาตะโกนเป็นภาษาพม่า เมื่อเห็นชาวบ้านสองคนวิ่งหนีพวกเรา ทันทีที่เขาทั้งสองได้ยินเสียงของพี่ตาซาจึงหยุดวิ่งแล้วเดินมายังตรงที่พวกเรานั่งพักอยู่
"ได้ปลาเยอะไหมครับ" พี่เด่นถามพร้อมกับยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
ผมมองดูปลาสองตัวในตะกร้าไม้ไผ่ที่สานขัดกันบนหลังของชาวบ้าน ปลาสองตัวกระดิกตัวบ้างเท่าที่ยังมีเวลาเหลืออยู่บนโลกใบนี้
เห็นชาวบ้านทั้งสองคนยืนคุยกับพี่เด่นแล้วนึกเปรียบเทียบกับตัวเอง เมื่อเห็นชาวบ้านทั้งสองอายุเลยวัยกลางคน ผิวกายแห้งเกรียมไปด้วยไอแดดและกาลเวลา อยู่ในชุดแต่งกายพื้นบ้านธรรมดาๆ ที่ไม่ได้บ่งบอกว่าทั้งสองคนจะใส่มันไปเดินป่าได้ ขณะที่เท้ามีเพียงรองเท้ายางแบบหนีบคู่เก่าๆ แต่ทว่าท่วงท่า และจังหวะลมหายใจของเธอทั้งสองกับนิ่งสงบ เมื่อต้องเผชิญความสูงชันของเขาแหลม ต่างจากผมตอนในนี้ ที่มีสภาพไม่ต่างอะไรไปจากหมาหอบแดดตัวหนึ่ง
เมื่อชาวบ้านสองคนนั้นเดินจากเราไปแล้ว ผมจึงถามพี่ตาซาว่าทำไมเขาต้องวิ่งหนีเรา
"เขานึกว่าเราเป็นทหารเลยกลัวถูกจับ ชาวบ้านที่นี่กลัวทหาร ถ้าเข้ามาในป่าแล้วเจอทหารเขาจะวิ่งหนีก่อน"
ผมฟังแล้วก็ได้แต่ขนลุกเพราะเขาแหลมที่เราจะไป ไม่ได้อยู่ห่างจากพื้นที่ลาดตระเวนของทหารพม่าเท่าไรนัก
"แล้วทหารไทยละพี่"
"อย่างมากก็แค่จับไม่น่ากลัวหรอก อีกอย่างโอกาสเจอทหารไทยน้อยมากเพราะไม่ค่อยลาดตระเวนกัน" พี่ตาซาดูมีสีหน้าคลายกังวลขึ้นเยอะเมื่อผมถามถึงทหารไทย
"ซาเปี๊ยะ ถ้าได้ยินคำนี้พี่วิ่งเลยนะ"
พี่ตาซายังคงเรียกผมว่าพี่ทุกครั้งที่พูดคุยกัน ถึงแม้ว่าพี่ตาซาจะมีอายุมากกว่าผมก็ตาม
"มันแปลว่าอะไรหรอพี่"
"มึงตายหรือฆ่ามัน พี่เลือกเอาว่าจะเอาคำไหน" พี่ตาซาบอกผมถึงความหมายของคำว่าซาเปี๊ยะ แล้วผมเองก็ไม่อยากเลือกคำใดคำหนึ่งเลย
ทันทีที่พี่ตาซาส่งสัญญาณให้เดินกันต่อ ผมกระชับเป้ให้แน่นขึ้นเพื่อสู้กับระยะทางเดิน ดวงตะวันเริ่มคล้อยต่ำลงมา และแสงสุดท้ายของวันนี้กำลังจะหมดลง...การเดินทางของพวกเราในวันนี้จึงต้องสิ้นสุดลง ก่อนถึงจุดที่ตั้งใจไว้ว่าจะให้เป็นที่พักแรมในคืนนี้
ห้างเก่าๆ ที่เคยใช่ล่าสัตว์ถูกพวกเรายึดครองเป็นฐานที่มั่นชั่วคราวไปโดยปริยาย อีกอย่างในป่าทึบอย่างนี้ หากเสี่ยงเดินต่อไปพวกเราคงไม่ต่างอะไรนักกับผู้พ่ายแพ้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความมืดมิดของผืนป่าในยามค่ำคืน กองไฟขนาดย่อมจึงลุกโชนขึ้นมาเมื่อมีกิ่งไม้และใบไม้แห้งเป็นส่วนผสม
ขณะกำลังหาประโยชน์จากกองไฟที่ก่อขึ้นนั้น ในทางกลับกันก็ต้องคอยระมัดระวังไม่ให้กองไฟที่พวกเราก่อขึ้นมา ได้หาประโยชน์กับผืนป่าผืนนี้ได้
ระหว่างที่ผมผูกเปลด้วยท่าทางที่เงอะๆ เงิ่นๆ แจ้งเดินเข้ามาถามผมว่า
"เคยนอนเปลกลางป่าแบบนี้ไหมพี่ มาผมผูกให้เอง"
จะว่าไปแล้วตั้งแต่จำความได้เปลสุดท้ายที่ผมนอนแล้วหลับไป คือเปลผ้าที่แม่ใช้กล่อมผมนอนจนถึงอายุสามขวบ ภาพหลังคา หยากไย่ และไยแมงมุมจึงอยู่ในความทรงจำของผมมาตลอด แต่ค่ำคืนนี้ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปตามเงื่อนไขของกาลเวลาที่ไม่เคยต่อรองอะไรได้ หากแต่ว่าในขณะที่หัวใจเงียบเหงา ผมก็ยังอยากลงไปนอนในเปลที่มีเพียงแต่แม่เป็นผู้ขับกล่อมอีกครั้งหนึ่ง
เวลาเดินทางผ่านพวกเราไปตลอด ยิ่งมืดขึ้นเท่าไรความชื้นของผืนป่าก็ยิ่งสูงตามไป เมื่อรู้สึกหนาวมากขึ้น กองไฟก็ถูกเติมกิ่งไม้อีกครั้งหนึ่ง ผมหยิบถุงมือขึ้นมาใส่ เพราะไม่อยากนั่งทนความหนาวไปตลอดค่ำคืนนี้
เสียงกิ่งไม้ในกองไฟปะทุเป็นระยะๆ นอกจากหน้าที่ในการทำให้ข้าวในหม้อสนามเดือดแล้ว กองไฟยังสร้างไออุ่นให้พวกเราได้พักพิง นานแล้วที่ผมไม่ได้นั่งอยู่หน้ากองไฟเช่นนี้ ผมคิดถึงตอนที่นั่งผิงไฟกับแม่ยามอากาศหนาวมาเยือน แม่จะชอบแอบใส่หัวมันลงไปโดยไม่ให้ผมรู้ พอหัวมันสุกได้ที่ แม่ก็จะหยิบขึ้นมาโชว์ผมแล้วถามผมว่า
"เห็นมั๊ยครับว่านี่อะไร"แล้วแม่ก็จะหัวเราะอย่างชอบใจ ที่เห็นดวงตาของผมแฝงไปด้วยความดีใจ
เสียงหัวเราะของแม่ในตอนนั้นทำให้อากาศหนาวหมดความหมาย และกลายเป็นไออุ่นจากแม่ที่เข้ามาแทนที่ แต่สำหรับค่ำคืนนี้ใจของแม่คงร้อนรุ่มมากกว่ากองไฟ เมื่อไม่รู้ว่าลูกชายอยู่ที่ไหน และจะกลับบ้านเมื่อไร หากมีเพียงแต่เธอ หญิงสาวของโชคชะตาเพียงผู้เดียวที่รู้ว่าผมอยู่ที่ไหน แต่เธอก็ทำได้เพียงอวยพรให้ผมเดินทางและกลับมาอย่างปลอดภัย
"เดินทางและกลับมาอย่างปลอดภัยนะ ฉันจะรอคุณ ดูแลตัวเองดีๆ ละ"นั่นคือถ้อยคำผ่านตู้โทรศัพท์สาธารณะที่ผมโทรไปหาเธอ หลังจากที่ผมออกจากบ้านมาโดยไม่ได้บอกใครเลย
เมื่อข้าวในหม้อสนามสุกได้ที่ ไม่นานนัก เสบียงต่างๆ ที่เราเตรียมมาก็ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มตัว ข้าวหม้อสนาม 2หม้อ น้ำพริกอ่อง มาม่าต้มยำกุ้ง กุนเชียงที่ทอดบนฝาของหม้อสนามถูกจัดสันปันส่วนไปตามความหิวของแต่ละคน
พี่ตาซาแบ่งข้าว และกับข้าวบางส่วนใส่ลงในใบไม้ที่เด็ดมา พร้อมกับจุดเทียนปักลงไปแล้วนำไปวางไว้ใต้ต้นไม้ คล้ายกับเป็นการเชิญเจ้าป่าเจ้าเขาให้มาคุ้มครองเราตลอดการเดินทางในครั้งนี้ นี่คือความเชื่ออย่างหนึ่งที่พวกนายพรานปฏิบัติสืบทอดกันมา พี่ตาซาบอกกับผมอย่างนั้น
ตามกำหนดการที่วางไว้ คืนนี้หลังจากกินข้าวเสร็จ พี่ตาซาจะพาเราขึ้นไปซุ่มถ่ายรูปเม่นกัน โดยจุดที่เราจะซุ่มดูเม่นนั้น อยู่ห่างจากที่พักของเราประมาณ 300เมตร
ไม่นานนักปมเชือกที่รัดแน่นของปลายเปลก็ถูกคลายลง เพื่อไปผูกยังต้นไม้ต้นอื่นอันเป็นฐานที่มั่นใหม่ในการส่องดูเม่นได้อย่างถนัดตาจากคำแนะนำของพี่ตาซา
เปลหกเปลถูกผูกไว้กับต้นไม้ คล้ายวงกลมที่โอบล้อมเส้นทางเดินของเม่น โดยที่ไม่มีใครคาดคิดว่า จุดที่ผมผูกเปลนั้น จะเป็นจุดที่อยู่ใกล้รังเม่นมากที่สุด รวมไปถึงเหตุการณ์ต่างๆที่คาดไม่ถึง หากว่าเราต้องเผชิญ แม้กระทั่งพี่ตาซาเองก็ตามที
พูดง่ายๆ ก็คือ ผมเป็นด่านแรก หากว่ามีการปะทะเกิดขึ้น ซึ่งมันก็ทำให้ผมอดหวั่นใจไม่ได้ หากว่าเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ
ผมไม่รู้ว่าเวลาเดินผ่านพวกเราไปนานเท่าไร ระหว่างที่นอนรอถ่ายรูปเม่นอยู่นั้น ผมซึ่งไม่มีหน้าที่อะไรนอกจากการเฝ้ามอง จึงทำได้แต่นอนนิ่งๆ มองดูดาวบนท้องฟ้าอยู่ในเปล โชคดีที่คืนนี้เป็นคืนเดือนมืด ประกอบกับสภาพของป่า เลยทำให้เหมือนคืนเดือนมืดสองคืนในคืนเดียวกัน มันมืดถึงขนาดที่ว่ามองไม่เห็นแม้กระทั่งถุงเท้าสีขาวที่ผมใส่มา หากจะมีแสงสว่างบ้างก็เป็นเพียงแสงจากไฟฉาย ที่พี่ตาซาฉายมาเป็นระยะๆ เพื่อให้สัญญาณกับพี่เด่นเวลาที่เห็นเม่นออกมาจากรัง
เปลของพี่เด่นอยู่ใกล้กับแจ้งเช่นเดียวกับพี่ตาซา ตามมาด้วยไผ่และหลง มีเพียงผมคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้อยู่ใกล้ใครเลยเป็นพิเศษ และเนื่องจากต้นไม้ที่ผมเลือกผูกเปลยังไม่ใช่ต้นไม้ที่โตเต็มไวนัก การขยับตัวแต่ละครั้งจึงทำให้ยอดไม้สั่นไหวอยู่เสมอ
แน่นอนว่าหากไม่สังเกตก็คงไม่มีใครรู้ แต่สำหรับเจ้าบ้านอย่างเม่นที่พวกเรามาซุ่มดู กลับถือว่าเป็นสัญญาณเตือนภัยอย่างดีเยี่ยมจากผู้บุกรุก หนทางเดียวที่ผมทำได้จึงเป็นการสถิตร่างของตัวเองเข้ากับเปลอย่างไม่ไหวติง
นิ่ง สงบ และรอคอย สามอย่างนี้เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้พวกเราพบกับเจ้าบ้านได้มากที่สุด แต่ระหว่างที่นอนรออยู่ก็ได้ยินเสียงของคนสองคนพูดคุยกันดังขึ้นเข้ามาเรื่อยๆ ซึ่งมันคงไม่ใช่เรื่องแปลกใจมากนัก หากว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นเสียงของพวกเรา แต่นี่มันไม่ใช่ และกลับเป็นเสียงของคนอื่นที่ไม่รู้จัก รวมไปถึงจุดประสงค์ในการมา
เสียงที่ดังเข้ามาเรื่อยๆ ทำให้รู้ว่า เส้นทางที่สองคนนั้นเดินเข้ามาคือเส้นทางเดียวกับที่พวกเราซุ่มดูเม่นอยู่ และยิ่งเสียงนั้นเข้ามาใกล้มากเท่าไรก็ยิ่งทำให้พวกเราแน่ใจว่าไม่ใช่เสียงของคนไทยแน่นอน
เมื่อฟังอย่างแน่ใจแล้วว่าไม่ใช่เสียงของคนไทย มันจึงทำให้ผมอดหวั่นใจไม่ได้ว่า เจ้าของเสียงสองคนนั้นอาจจะเป็นทหารพม่าหรือไม่ก็พวกล่าสัตว์ ซึ่งยามค่ำคืนอย่างนี้หากมีอะไรผิดปกติ แน่นอนว่าสองคนนั้นคงไม่ลังเลใจที่จะเหนี่ยวไกปืนเป็นแน่แท้
"ปัง!" เสียงปืนที่ดังขึ้นมาหนึ่งนัดสะกดให้เสียงทั้งปวงในผืนป่าเงียบสงบลงได้ในพริบตาเดียว เหมือนไร้ซึ่งลมหายใจ และถ้าต้องเผชิญหน้ากับเจ้าของเสียงสองคนนั้นจริงๆ ผมเป็นคนแรกที่จะต้องเผชิญกับลูกปืนก่อนคนอื่นๆ
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ร่างทั้งร่างของผมจึงคล้ายสถิตเข้ากับเปลแน่นิ่งมากกว่าเดิมจนลืมหายใจไปชั่วขณะ จะมีส่วนที่ขยับบ้างก็เพียงเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาให้เปลเปียกชื้น ทั้งๆ ที่อากาศตอนนั้นก็หนาวจับใจอยู่แล้ว
เสียงใบไม้แห้งที่อยู่บนพื้นทำให้ผมรู้ว่า มีใครสักคนหนึ่งกำลังเดินมาทางเปลที่ผมนอนอยู่ ผมรู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วคิดว่าหากเป็นพวกทหารพม่า หรือพวกล่าสัตว์ขึ้นมาจริงๆ ผมคงไม่รอดแน่นอน
ในเศษเสี้ยวเวลาระหว่างความเป็นและความตาย ผมจึงถามตัวเองว่า ทำไมผมต้องมาอยู่ตรงนี้ ทั้งๆ ที่ผมเลือกได้ที่จะไม่มา หรือว่าแท้จริงแล้ว นี่คือสิ่งที่โชคชะตาเป็นผู้กำหนด และผมต้องเป็นผู้เผชิญ
ทุกๆ คนต่างก็ตกอยู่ในชะตากรรม และสถานการณ์เดียวกัน แต่ผมเองกับรู้สึกว่าผมกำลังต่อสู้อยู่กับความหวาดกลัวเพียงลำพังมากกว่า ผมหยุดหายใจสวนทางกับน้ำตาของความหวาดกลัวที่ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่คงจะเทียบอะไรไม่ได้เลยกับสายธารของความสูญเสียที่แม่มีต่อลูกชายคนหนึ่ง หากว่าลูกชายต้องหายไป แล้วพรากจากกันชั่วนิรันดร
ก่อนที่ความกลัวจะทำให้ผมคุมสติของตัวเองไว้ไม่อยู่ ผมภาวนาให้พี่สาวของผมที่จากไป เฝ้าปกป้องดูแลผมอยู่ข้างกายไม่ห่าง พลันในใจที่สัมผัสได้ถึงความคุ้มครอง ความหวาดกลัวก็ค่อยๆ จางหายไปพร้อมๆ กับเสียงของสองคนนั้นที่เงียบหายไป รวมไปถึงเสียงของฝีเท้าที่ได้ยิน
เวลาผ่านไปนานพอสมควรจนพี่ตาซาส่งสัญญาณเรียกพี่เด่น ร่างทั้งร่างของผมจึงคล้ายถูกปลดออกจากพันธนาการของโซ่ตรวนแห่งความหวาดกลัว เมื่อพี่เด่นส่งเสียงกระซิบมาเบาๆ ว่า
"ไม่มีอะไรแล้ว ปลอดภัยแล้ว"
เวลาเดินผ่านไปท่ามกลางลมหายใจของผืนป่าที่กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่ง เปลที่ผมนอนอยู่ยังคงชุ่มเหงื่อไม่จางหาย ผมมองดูนาฬิกาเรือนละ150บาทบนข้อมือ ที่บ่งบอกว่าตอนนี้เป็นเวลา 5ทุ่มกว่า จาก1ทุ่มที่พวกเราขึ้นมา และมันก็กินเวลาไปถึง 5ชั่วโมงกว่าๆ ที่พวกเราได้แต่นอนนิ่งๆ อยู่ในเปลโดยไม่ได้เห็นเม่นสักตัว แต่ถ้าเทียบกับร่างกายที่ยังขยับได้ก็ถือว่าคุ้มเกินคุ้ม
เมื่อเห็นว่าหากคอยต่อไปก็อาจเสียเวลาเปล่า และคงไม่ได้ภาพเม่นไปฝากเด็กๆ พี่เด่นจึงชวนพี่ตาซากลับไปยังที่พัก และผมเองก็เห็นดีด้วย โดยมีพี่ตาซาเดินนำหน้าเหมือนเดิม ยิ่งตอนที่ขึ้นมาว่าเป็นทางที่ลำบากแล้ว ขากลับซึ่งต้องเดินท่ามกลางความมืดจึงไม่ต้องคิดเลยว่ามันจะลำบากแค่ไหน
เมื่อไปถึงที่พัก กองไฟที่ขาดฟืนจึงมอดลงอย่างเห็นได้ชัด ทันทีที่กองไฟโชนตัวขึ้นอีกครั้ง เสบียงและสัมภาระต่างๆ จึงถูกสำรวจทันที โชคดีที่ไม่มีอะไรหาย และทุกอย่างก็คลี่คลายลงไปมาก
"สงสัยพวกมันคงไปอีกทางมั้งพี่" แจ้งบอกกับผมแล้วมาช่วยผูกเปลเหมือนเดิม
พวกเราต่างพุดคุยถึงเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้น เสียงของสองคนนั้นที่พวกเราได้ยินนั้นไม่ใช่ทหารพม่า แต่เป็นเสียงของพวกล่าสัตว์ ซึ่งในยามค่ำคืนที่ไม่รู้ว่าใครเป็นใครอย่างนี้ พวกเราก็ไม่ควรเสี่ยงที่จะเปิดเผยตัว ส่วนเสียงฝีเท้าที่ผมได้ยินนั้น แท้จริงแล้วคือเสียงของหมีควายไม่ใช่เสียงเดินของคน โชคยังดีที่มันคงได้กลิ่นคนซึ่งมันเองก็รู้ว่าควรจะหลีกเลี่ยงมากกว่าเผชิญ จึงเปลี่ยนใจเดินไปทางอื่น
"หมีควายเลยเหรอพี่" ผมถามพี่ตาซาเพราะเคยได้ยินความดุร้ายของมันจากพี่เด่นมาบ้าง
"ตัวใหญ่มากไหม" ผมยังไม่หายสงสัย
"ประมาณสองเมตร ถ้าเป็นตัวเดียวกับที่ผมเจอเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว" พี่ตาซาบอกด้วยสีหน้าที่นิ่งเฉย
"แล้วตอนที่พี่เจอพี่ทำไงละ"
"ผมก็วิ่งสิ"
"แล้วถ้าไอ้สองคนนั้นเป็นทหารพม่าละ พี่จะทำไง"
"ผมวิ่งก่อนเลยไม่อยู่ให้มันยิงหรอก" พี่ตาซาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง แล้วก็ไม่มีท่าทีว่าจะพูดเล่นเลยสักนิดเดียว
ท่ามกลางกองไฟที่โชนตัวขึ้นอีกครั้ง และเสียงร้องของเม่นที่ส่งเสียงร้องออกมาให้เราได้ยินเป็นระยะ ระหว่างความเป็นและความตายท้ายที่สุดแล้ว บางครั้งเราก็คงเลือกที่จะเอาตัวรอดมากกว่าช่วยเหลือคนอื่น ผมฟังพี่ตาซาพูดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ
คืนนี้ผมมาทำอะไรอยู่ที่นี่...
สายลมหนาวในเช้ามืดพัดผ่านมาอย่างเอื่อยเฉื่อย
ผมลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งในเช้าวันใหม่ ผืนป่าในยามเช้ากลับมางดงามอีกครั้งหนึ่ง เช่นเดียวกับผมที่มีอายุเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งวัน
พี่เด่นกับแจ้งเดินกลับมาจากไปถ่ายรูปนก ส่วนพี่ตาซานั่งมวนบุหรี่อยู่บนโขดหินข้างๆ ลำธาร ขณะที่ไผ่ยังคงนอนซมเพราะไข้ที่เริ่มขึ้น
หลังอาหารมื้อเช้าผ่านพ้นไป พวกเราออกเดินทางอีกครั้งโดยปราศจากไผ่ ซึ่งขอถอนตัวกลับลงไปเพราะรู้ว่าขืนฝืนเดินไปต่อคงได้ถูกหามกลับลงมาแน่นอน
เมื่อไม่มีไผ่พวกเราก็เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นได้อย่างหมดห่วง พวกเราเดินๆๆๆ แล้วก็เดิน ยิ่งใกล้ยอดเขาแหลมมากเท่าไรความสมบูรณ์ของผืนป่าก็มีมากยิ่งขึ้น สังเกตได้จากระหว่างทางช่วงหนึ่งที่ต้องผ่านบริเวณถ้ำ ที่และทำให้พวกเราต้องค่อยๆ ลอดช่องหินช่องเล็กๆ ไปทีละคน
แจ้งเดินไปวัดความสูงของตัวเองกับขนาดของก้อนหินที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวแจ้งอย่างเห็นได้ชัด และเนื่องจากบริเวณนี้มีลำห้วยเล็กๆไหลผ่าน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะพบเห็นตะไคร่เกาะอยู่ตามก้อนหินต่างๆ เยอะมาก พวกเราจึงอาศัยเส้นทางเส้นประจำของสายน้ำที่ไหลผ่านร่องหินเป็นตัวรับประกันความสะอาด เพื่อดับกระหายอีกทีหนึ่ง
ยิ่งเดินขึ้นไปสูงเท่าไร ต้นผึ้ง และต้นไทรใหญ่ที่มีขนาด 2-3 คนโอบก็เริ่มมีให้เห็นมากขึ้น พี่เด่นชี้ให้ผมดูรอยเล็บของหมีควายที่มาประทับรอยไว้ที่ต้นผึ้งต้นหนึ่ง
"รอยหมีควายไม่ใช่รอยเสือใช่ไหมพี่ตาซา" พี่เด่นถามพี่ตาซาเพื่อความแน่ใจ
"หมีควาย ถ้ารอยเสือต้องเดินไปอีกพักหนึ่ง" พี่ตาซาบอกกับพี่เด่น
ดูจากรอยของกรงเล็บที่ฝากไว้กับต้นผึ้งแล้ว หากโดนเข้าไปเต็มๆ โชคดีอาจแค่สลบ แต่โอกาสตายคงมีมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด ระหว่างเสือกับหมีควายร่องรอยของเขี้ยวเล็บ คงบอกถึงพละกำลัง และความดุร้ายได้เป็นอย่างดี ซึ่งผมก็ยังไม่อยากเจอหมีควายหรือเสือเลยสักตัวเดียว
ทุกครั้งที่ผ่านต้นไทรใหญ่พี่เด่นจะหยุดถ่ายรูปเสมอ เพราะเวลาถึงฤดูที่ต้นไทรใหญ่ออกลูก ที่นี่จะไม่ต่างอะไรกับร้านกาแฟของพวกบรรดาสัตว์ต่างๆ
นกชนิดต่างๆ ที่หาดูได้ยาก บางครั้งก็พบเจอได้ตามต้นไทรใหญ่เหล่านี้ เช่นเดียวกับพญากระรอก ที่กำลังเกาะแน่นิ่งอยู่บนยอดไม้จนเกือบจะอยู่ยอดบนสุด
กล้องส่องทางไกลที่ติดกระเป๋ามาด้วย จึงได้ทำหน้าที่ร่นระยะทางระหว่างผมและพญากระรอก ที่มันเองก็คงรู้ว่ามีสายตาของใครสักคนจับจ้องอยู่ แต่ทว่าปราศจากอันตรายที่จะคุกคามมัน และมันคงรู้ว่าต่างก็เป็นเพียงการผ่านพบที่ไม่ผูกพันกัน มันจึงเกาะนิ่งอยู่ที่เดิมให้ผมส่องดูจนพอใจ
ระหว่างทางที่เดิน พี่ตาซาชี้ให้ผมดูทางแยกทางหนึ่ง หากไม่มีประสบการณ์และความรู้ในชั่วโมงบินที่สูงพอสมควรก็จะไม่มีทางรู้เลยว่า ทางตรงนี้เป็นทางแยกที่สามารถตัดผ่านไปยังทางห้วยเมฆซึ่งเป็นทางที่สามารถเดินต่อไปยังชายแดนพม่าได้
"เดินไกลไหมพี่กว่าจะถึงพม่า" แจ้งถามพี่ตาซาอย่างสนใจถึงแม้ว่าตระกูลของแจ้งจะมีเชื้อสายกะเหรี่ยงก็ตาม
"ถ้าออกเช้าๆ ก็จะไปถึงประมาณ 4โมงเย็น" พี่ตาซาบอกแจ้งพลางเอามีดฟันกิ่งไม้เปิดทางที่เริ่มรกมากขึ้น
พวกเราเดินกันมาได้ไม่นานนักก็พบกับทางที่จะขึ้นไปสู่ยอดเขาแหลมได้แบบเส้นตรง ระหว่างที่นั่งพักแล้วกำลังคุยกับหลงอยู่เพลินๆ อยู่ๆ พี่ตาซาก็ส่งสัญญาณให้เงียบเสียงลง แล้วบอกว่า
"มีคนอยู่ใกล้ๆ แถวนี้ ดูจากรอยเท้าแล้วน่าจะเป็นคนละชุดกับเมื่อคืน"
"พี่รู้ได้ไง" ผมถามพี่ตาซาด้วยความสงสัย
"เขาใส่รองเท้าแบบเดียวกับที่พี่ใส่ พวกเมื่อคืนไม่ได้ใส่รองเท้าแบบของพี่" พี่ตาซาบอกถึงรอยรองเท้าแบบเดียวกันกับผม และวิธีสังเกตร่องรอยที่ช่วยเราได้มากในเรื่องของข้อมูล
"แล้วเขามาดีหรือเปล่าพี่" หลงถามพี่ตาซาแต่พี่ตาซาก็ไม่ได้ตอบอะไร พลางส่งสัญญาณที่มีเพียงพวกพรานเท่านั้นที่รู้กันว่า มาเที่ยวป่าอย่างเดียวไม่ได้มาทำอันตรายใคร
ความตึงเครียดระหว่างสองฝ่ายจึงคลี่คลายลงมากขึ้น เมื่อสองคนนั้นรู้ถึงจุดประสงค์ของพวกเรา สองคนนั้นบอกกับพวกเราที่เดินเข้าไปหาว่า เขาเข้าป่ามาหาหน่อไม้
"หาได้เยอะไหมพี่" แจ้งถามเขาทั้งสอง
"ยังไม่ได้เลยเพิ่งเข้ามาเอง" ชายหนึ่งในนั้นตอบแล้วส่งยิ้มให้ ขณะที่ผมสังเกตเห็นชายอีกคนหนึ่ง ทรุดตัวลงเอาปืนวางกับพื้นก่อนหน้าที่พวกเราจะเดินมาถึงไม่นานนัก
ถ้าไม่โง่เกินกว่าที่คิดก็พอจะเข้าใจได้ดีว่าอะไรเป็นอะไร เช่นเดียวกับพี่เด่นที่รู้ดีว่า ชายสองคนนี้เข้ามาล่าสัตว์มากกว่าหาหน่อไม้ แต่ก็ทำได้เพียงเก็บความรู้สึกที่จงเกลียดจงชังพวกล่าสัตว์เอาไว้ในใจ
หลังจากพูดคุยกับชายสองคนนั้นเสร็จ พวกเราเดินไปหยุดพักยังอีกที่หนึ่งใต้ต้นไม้ใหญ่ เนื่องจากต้องกจัดการกับมื้อเที่ยงทีนี่ก่อนจะขึ้นสู่ยอดเขาแหลมในช่วงบ่าย การหยุดพักบริเวณนี้จึงนับว่าเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมที่สุด
กองไฟกองเล็กๆ โชนตัวขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ไม่ห่างไกลจากลำห้วยเล็กๆ ที่แจ้งเอาขวดน้ำไปเติม ตรงข้างๆ ลำห้วยมีต้นบอนป่าขึ้นอยู่มากมาย อาหารมื้อนี้ของพวกเราจึงมีบอนป่าเป็นส่วนผสมด้วยไปในตัว และหลงเองก็ดูจะกระฉับกระเฉงกับการปรุงอาหารมื้อนี้เป็นพิเศษ ซึ่งพวกเราเองก็ไม่มีใครปฏิเสธเมนูใหม่ๆ ของหลง
เสียงปะทุของกองไฟปะทุดังขึ้นมาเป็นเรื่องปกติระหว่างที่พวกเรานั่งกินข้าว
"ปัง!" เสียงปืนดังขึ้นมาหนึ่งนัดจนทำให้เสียงปะทุของกองไฟเบาลงไปโดยปริยาย
"มันคงหาหน่อไม้ของมันเจอแล้ว" พี่เด่นพูดด้วยสีหน้าที่บึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด แล้วพวกเราก็กินข้าวต่อ ปล่อยให้เสียงปืนนั้นเงียบหายไปกับสายลม
หลังจากกินข้าวกันเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะออกเดินทางกันต่อ พี่ตาซากำชับพวกเราว่าให้เตรียมน้ำให้พร้อม เพราะจากยอดเขาแหลมหากว่าน้ำหมด คงไม่ใช่เรื่องสนุกที่จะต้องเดินลงมาเติมน้ำกันอีก
จากนี้ไปทางที่จะไปสู่ยอดของเขาแหลมจึงเป็นทางที่พวกเราต้องแบกขวดน้ำที่มีน้ำอยู่เต็มทุกขวดไปด้วย และไม่สามารถจะไต่เลาะไปตามตีนเขาได้เหมือนทางที่ผ่านๆ มา การเดินบนพื้นที่สูงชันอย่างนี้ ขนาดของหัวใจจึงสำคัญมากกว่าขนาดของแรงกายที่มีอยู่
พี่ตาซายังคงใช้มีดฟันเปิดทางไปตลอดเวลา ปีที่แล้วเกิดไฟป่าจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะพบเห็นร่องรอยของต้นไม้ที่ถูกไฟไหม้ ยิ่งสูงขึ้นเท่าใดลักษณะของต้นไม้ก็เปลี่ยนไปมากเท่านั้น ต้นไม้บนเขาจึงมีลักษณะใบที่เล็ก และลู่ลมมากกว่าต้นไม้ที่อยู่ข้างล่างเป็นพิเศษ เงื่อนไขแวดล้อมจึงบีบรัดธรรมชาติให้ปรับสภาพเพื่อที่จะดำรงอยู่ต่อไป ผิดต่างกันกับผม ที่ยกมือขึ้นปาดเหงื่อมากกว่าเดิม พลางหันไปมองดูความเขียวขจีอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าเป็นระยะๆ ก่อนที่จะมุ่งหน้าเดินขึ้นสู่ยอดของเขาแหลมต่อไป
ยิ่งสูงยิ่งหนาวหลายคนบอกอย่างนั้น แต่สำหรับผมยิ่งสูงนอกจากจะยิ่งหนาวแล้ว น่าจะเพิ่มคำว่ายิ่งเหนื่อยเข้าไปด้วยมากกว่า ยิ่งสูง ยิ่งหนาว และยิ่งเหนื่อย ผมเองก็ไม่รู้ว่าชะตากรรมใดที่ขับต้อนให้ผมต้องมาเผชิญกับความสูงชันเขาแหลมอยู่ในตอนนี้
การก้มหน้ามองพื้นอย่างเจียมตัวแล้วไม่แหงนหน้ามองยอดเขา เพราะมันจะทำให้เราท้อเมื่อเราเอาขนาดของตัวเองไปเปรียบเทียบกับขนาดของภูเขาที่เราเผชิญหน้าอยู่ จึงถูกท่องขึ้นในใจอย่างเงียบๆ ระหว่างเก้าต่อเก้าบนความสูงชัน ผมขยับปีกหมวกลงบังแสงแดดของดวงตะวัน ที่คล้ายกับส่องแสงต้อนรับผู้มาเยือนอย่างพวกเรา
เมื่อไปถึงยอดเขาแหลม เครื่อง GPS ของพี่เด่น วัดความสูงได้ที่ระดับ 1,030เมตร จากระดับน้ำทะเล ซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุดของเขาแหลมเท่าที่คนจะเดินไปได้ แต่พรุ่งนี้เราก็คงต้องลงมาจากความสูงที่ยืนอยู่ ไม่นานนักพวกเราก็ได้ต้นไม้ที่อยู่ติดกัน 3-4 ต้นซึ่งอยู่ไม่ห่างจากที่ๆ ยืนอยู่เป็นที่ผูกเปลในการค้างแรมยามค่ำคืน
ขณะที่ทุกคนแยกย้ายกันไปสำรวจพื้นที่บนยอดเขาแหลม ผมเองกลับถูกชีวิตอันเหนื่อยล้าระหว่างทางก่อนขึ้นมาบนยอดเขาแหลมขับกล่อมจนหลับคาเปลที่ผูกด้วยฝีมือของตัวเอง รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกทีก็ไม่พบกับใครเลย นอกจากตัวเอง และแสงสุดท้ายของดวงตะวัน
กว่าทุกคนจะกลับมาดวงตะวันก็คล้ายจะลับเหลี่ยมเขาไปเสียแล้ว แต่ก็ยังพอมองเห็นทิวทัศน์ในตอนเย็น จากจุดที่ผมยืนอยู่หากมองข้ามไปอีกหุบเขาหนึ่ง จะเป็นห้วยเมฆที่พี่ตาซาบอกว่าคือเส้นทางที่ใช้เดินไปชายแดนพม่าได้ พี่ตาซาก็ชี้ไปยังหุบเขาอีกหุบหนึ่งที่เมื่อก่อนเคยเป็นที่ๆ กองกำลังกะเหรี่ยง God army เคยอาศัยอยู่ และหากเป็นเมื่อ 3 ปีที่แล้ว เราคงได้เป็นศพก่อนจะได้มายืนอยู่ตรงนี้แน่นอน
ค่ำคืนของความมืดมิดกลับมาเยือนอีกครั้ง พร้อมกับความเย็นยะเยือกที่มีมากขึ้นกว่าเดิม พวกเราเลือกที่ค้างแรมที่ไม่ใกล้ทางลมจากหน้าผามากนัก แต่ประสบการณ์จากความเหน็บหนาวอันเย็นยะเยือกคราวนี้ ก็สอนให้พวกเรารู้ว่า ถ้าผูกเปลให้ห่างทางลมได้มากกว่านี้ก็จะดีมากไม่ใช่น้อย และคนที่ต้านความหนาวของลมไม่ไหวก็คือ พี่ตาซาที่เลือกปลดเปลลงแล้วนอนข้างๆ กองไฟมากกว่า
เปลวไฟเต้นระบำในช่วงเวลาเดียวกันกับที่สะเก็ดไฟลอยละลิ่วหายวับไปกับตา และมีเพียงควันไฟเดินไปส่งจนสุดทาง ก่อนจะเลือนหายไปในอากาศ
ท่ามกลางกองไฟของค่ำคืนนี้ พวกเราทุกคนต่างอ่อนล้าไม่มากหรือน้อยไปกว่ากัน แต่เสน่ห์ของกองไฟยังคงตรึงไว้ซึ่งถ้อยคำของมิตรภาพจากประสบการณ์การเดินทางของแต่ละคน
ตลอดระยะทางที่ผ่านมาผมรู้สึกผูกพันกับกองไฟไปโดยไม่รู้ตัว เศษกิ่งไม้ที่หามาได้ถูกใส่ลงไปในกองไฟทีละกิ่งทีละกิ่ง คงต้องยอมรับว่าคนเดินป่ากับกองไฟเป็นของคู่กัน การล้อมวงอยู่ข้างกองไฟจึงนับว่าเป็นความรื่นรมย์อย่างหนึ่ง แต่สำหรับผู้ที่อยู่เพียงลำพังกับกองไฟกลับกลายเป็นอีกความหมายหนึ่งที่เปลี่ยวเหงา และเขาผู้นั้นคงได้แต่ภาวนาให้ถึงพรุ่งนี้เช้าเร็วๆ แม้ว่าจะเป็นพื้นที่ใกล้กองไฟเหมือนกัน แต่ท่วงทำนองความรู้สึกกลับแตกต่างกันมากเหลือเกิน กองไฟและชีวิตในป่าจึงคล้ายสอนให้ผมรู้จักกับบางส่วนของชีวิตที่ขาดหายไป
ผมเงยหน้ามองดูท้องฟ้า พระจันทร์ในคืนนี้ยังคงตามดาวอยู่ห่างๆ และเรียงร้อยตัวเองให้อยู่ระหว่างช่องว่างของความพอดี ห้วงยามของความหมายจึงคล้ายกับว่า จะนานเท่าใดพระจันทร์ก็ไม่เคยได้ใกล้ชิดดวงดาว หากเพียงแต่ทำได้ดีที่สุดคือ รักษาระยะห่างซึ่งกันและกันไว้ เพื่อให้ได้อยู่เคียงข้างกันไปตลอด ซึ่งบางครั้งจะว่าไปแล้ว ก็ไม่ต่างอะไรกันนักชีวิตคู่ของคนเรา
ความมืดมิดของค่ำคืนนี้งดงามอย่างสง่าและสงบ มีเพียงเสียงปะทุของกองไฟที่นานๆ จะดังขึ้นสักทีหนึ่ง คล้ายๆ กับเป็นเสียงขับกล่อมยามหลับนอน แต่ทว่าผมกลับนอนไม่หลับ ค่ำคืนนี้ของผมจึงยาวนานเป็นพิเศษ และทำได้เพียงนั่งมองกองไฟร่ายรำด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ไม่ไหวติง นานเท่านานแล้วที่ผมไม่เคยรู้สึกสงบเช่นนี้มาก่อน
เมื่อเห็นว่าผมยังไม่หลับ แจ้งจึงลุกขึ้นมานั่งคุยเป็นเพื่อนผมข้างๆ กองไฟ แจ้งเป็นเด็กกะเหรี่ยงโดยเชื้อสาย แต่เกิดและโตที่ประเทศไทยเช่นเดียวกับหลงและไผ่ แจ้งมีทักษะพิเศษมากมายไม่ว่าจะเป็น ซ่อมรถ เล่นดนตรี แต่งเพลง ฯลฯ แต่ที่ดูจะโดดเด่นมากที่สุดก็เห็นจะเป็นทักษะทางด้านการแสดงละครใบ้ ที่ใครได้เห็นแจ้งเล่นแล้วก็จะอดประทับใจไม่ได้
"คนญี่ปุ่นเขาสอนผม โชคดีที่ละครใบ้มันไม่ต้องพูด กะเหรี่ยงกับญี่ปุ่นเลยไม่ต้องตีกัน อีกอย่างผมก็สนใจละครใบ้มานานแล้วด้วย" คนที่ถ่ายทอดละครใบ้ให้กับแจ้งก็มีชื่อว่า ‘ยามาดะ’ นักแสดงละครใบ้ชาวญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง
กองไฟที่ขาดเชื้อเพลิงเริ่มมอดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่แจ้งก็ยังคงเล่าเรื่องราวของตัวเองต่อไป
"อยากเป็นผู้นำ อย่าร้องไห้ให้ใครเห็น" ผมบอกกับแจ้งเมื่อแจ้งบอกถึงความมุ่งหมายของชีวิตในบางอย่าง
ผมเชื่อว่าต่อให้เราเข้มแข็งแค่ไหน เราทุกคนต่างก็ล้วนมีด้านที่อ่อนโยนของชีวิตปิดบังอยู่ หากเพียงแต่ภาระหน้าที่และบทบาทที่ได้รับ กลับบีบบังคับให้เราซ่อนส่วนนั้นลึกลงไปข้างใน
แจ้งเล่าเรื่องทุกเรื่องของตัวเองเท่าที่จะนึกได้ไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องของความรัก หญิงสาวของแจ้งต้องเข้าไปทำงานในเมืองที่ต่างจังหวัด นานๆ ถึงจะได้เจอกันสักครั้งหนึ่ง ประกอบกับเงินค่าโทรศัพท์ที่เสียไปในช่วงแรกๆ คล้ายกับจะเป็นเหมือนสิ่งฟุ่มเฟือยยิ่งนัก เมื่อทั้งสองยังไม่สามารถดูแลตัวเองได้ดีเท่าที่ควร การหาเงินเพื่อมาโทรศัพท์หากันและกัน จึงคล้ายเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่ง แต่ผมเชื่อว่าทุกครั้งที่ทั้งสองต่างได้ยินเสียงซึ่งกันและกัน มันคือช่วงเวลาของความสุข
"แล้วเราทำไงละ" ผมถามแจ้งถึงวิธีสานสายใยที่มีต่อหญิงสาวที่แจ้งรัก
"เขียนจดหมายไงพี่" แจ้งบอกกับผมแล้วยิ้มให้อย่างมีความสุขเมื่อได้พูดถึงหญิงสาวของตัวเอง แล้วถามผมกลับมาว่า
"ถ้าเป็นพี่ละจะทำอย่างไร"
ผมนิ่งเงียบ และนั่งคิดอยู่ชั่วขณะ ระหว่างระยะทางที่แสนไกลของผม และหญิงสาวที่ผมรัก ผมคงเลือกที่จะย่นระยะทางลงด้วยการคิดถึงเธออยู่เสมอ และเพียงหลับตาลงเธอก็จะมายืนอยู่ข้างๆ ผม บางครั้งห้วงเวลา ระยะทาง และตัวตน จึงเป็นเงื่อนไขที่แยกกันไม่ออกในการเข้าถึงความงดงามของเธอ เรื่องราวในโลกของถ้อยคำ และความเป็นจริงนั้น จึงเป็นสิ่งที่ผมควรจะเรียนรู้ แม้ว่าพระจันทร์จะไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดดวงดาวเลยก็ตาม ผมกับแจ้งนั่งคุยกันจนต่างคนต่างหลับไปในที่สุด
คืนเปลี่ยนและวันผ่าน กาลเปลี่ยนปรวนแปร แสงแรกของดวงตะวันกับสายหมอกยามเช้าที่ไล่เลื้อยไปตามภูเขา ทำให้ภาพทิวทัศน์เบื้องหน้าดูนวลเนียนมากขึ้น
เมื่อคืนผมเป็นคนสุดท้ายที่เข้านอน และแน่นอนว่าเช้านี้ผมก็เป็นคนสุดท้ายที่ตื่น
"เป็นไงอากาศดีไหม"พี่เด่นถามผมที่กำลังงัวเงียขึ้นมาชมแสงแรกของวัน
หลังอาหารมื้อเช้า และความมอดไหม้ของกองไฟที่ค่อยๆ ดับลง เมื่อเก็บสัมภาระและเคลียทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว พี่ตาซาพาพวกเราไปยังหน้าผา ตรงจุดที่เป็นมุมที่พวกเรามองเห็นความงดงามจากยอดเขาแหลมได้สวยที่สุด ระหว่างทางที่พวกเราต้องลงไปข้างล่าง มีทางอยู่ช่วงหนึ่งที่เราต้องข้ามไปทีละคนและต้องทำตัวให้แนบชิดกับหน้าผา
ทุกคนผ่านไปหมดแล้ว เหลือเพียงแต่ผมคนเดียวที่กำลังรู้สึกว่าทุกย่างก้าวบนความสูงชันของหน้าผา มันช่างห่างไกลกันเหลือเกิน ผมพยายามทำตัวให้แนบชิดกับหน้าผามากที่สุด เพราะหากตกลงไปคงไม่เหลือเรี่ยวแรงและลมหายใจที่จะปีนขึ้นมาแน่นอน
แต่จนแล้วจนรอด ผมก็ลืมตัวเป็นห่วงกล้องส่องทางไกลที่แขวนอยู่ตรงคอ จนเผลอโก่งตัวขึ้นมา ทั้งๆ ที่มืออีกข้างหนึ่งไม่ได้ยึดเกาะอะไรไว้เลย
เพียงเสี้ยววินาทีหายนะก็ฉุดผมลงไปยังเบื้องล่างของความตาย จนแจ้งที่ยืนรอผมอยู่ข้างล่างร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อเห็นตัวผมครูดลงมา
เมื่อรู้ว่าโอกาสรอดสุดท้ายในชีวิตมีไม่มากนัก ภายในเสี้ยววินาทีนั้นผมจึงตัดสินใจแนบตัวลงกับพื้น เอาขายันพื้นหินด้วยรองเท้าปีนเขายี่ห้อดาวเรืองคู่ละ40บาทที่ซื้อมาจากตลาดนัดกะเหรี่ยง แล้วรีบคว้าแง่งหินที่พอจะจับได้ยึดไว้เพื่อช่วยพยุงตัวอีกทีหนึ่ง
ฉับพลันที่ผมกลับมาเป็นนายของร่างกายอีกครั้ง ผมจึงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วค่อยๆไต่เลาะระดับลงมาอย่างคนหมดสิ้นซึ่งเรี่ยวแรง กล้องส่องทางไกลเป็นรอยขีดข่วนจากการลื่นไถลลงมาของผมอย่างเห็นได้ชัด แต่คงเทียบอะไรกับรอยแผลเป็นในใจของทุกคนไม่ได้ หากว่าผมต้องตกลงไปยังข้างล่างหน้าผาแล้วไม่มีวันกลับมา
หลังจากผ่านพ้นจากเหตุการณ์นี้ไปแล้ว ทุกคนดูจะตกใจในสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะแจ้งที่บอกกับผมด้วยสีหน้าที่ซีดว่า
"ผมนึกว่าพี่จะเสร็จซะแล้ว"
ผมยิ้มให้กับแจ้งและทุกคน แล้วบอกกับแจ้งว่า
"ก็คิดว่าคงไม่รอดเหมือนกัน ดีนะได้ดาวเรืองช่วยชีวิตไว้"
แล้วผมก็ค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งยังโขดหินที่เป็นจุดๆ เดียวกัน หากว่าผมพลัดตกลงมา แต่โชคยังดีที่ตอนนี้ผมยังมีลมหายใจ และบังคับร่างกายให้เดินไปจากโขดหินก้อนนี้ได้
เมื่อได้ผ่านพ้นการคาบเกี่ยวระหว่างความเป็นและความตาย มันจึงทำให้ผมได้เรียนรู้ว่า สติเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในช่วงเวลาเพียงเสี้ยววินาที
ทันทีที่พี่ตาซาส่งสัญญาณให้เดินต่อ ผมถอนใจออกมาเฮือกใหญ่ๆ ขยับเป้บนหลังให้แน่นขึ้น พร้อมๆ กับประสบการณ์ใหม่จากการเดินทางที่ได้เรียนรู้เพิ่มขึ้นมาว่า
การเดินทางมาเยือนภูเขาในแต่ละครั้งไม่ว่าจะที่ไหนๆ ก็ตาม ความหมายมันอยู่ที่ขาลงมากกว่า และถึงแม้การเดินทางจะคล้ายการพลัดพรากอย่างหนึ่ง แต่ผมก็ไม่เคยคิดจะปฏิเสธมัน…
ความเงียบที่แสนจะอึกทึกของเมื่อคืน ส่งผลให้ผมนอนไม่ค่อยหลับ
จะว่าตื่นเต้นก็ไม่ใช่ถ้อยคำทั้งหมดของคำตอบ หากแต่เพียงผมเอ่ยปากบอกใครสักคนที่บ้านก่อนจะออกมาบ้างก็คงดี อย่างน้อยพวกเขาคงคลายบ่วงเชือกของความห่วงใยที่รัดแน่นลงได้บ้าง การถอยห่างจากอ้อมแขนจากผู้เป็นที่รักโดยไม่บอกกล่าว จึงคล้ายเส้นทางเดินอีกเส้นทางหนึ่งที่ผมเลือกเดิน ซึ่งบางครั้งก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ต้องมั่นใจว่าเราจะได้รับสิทธิ์ที่จะเดินกลับเข้ามาในอ้อมแขนนั้นอีก เพราะในห้วงยามของความห่วงใยที่แท้จริงนั้น คนเราหากไม่พลัดพรากก็ไม่สามารถประเมินค่าซึ่งกันและกันได้
พี่ตาซาขับรถมอเตอร์ไซด์ที่เบรกไม่ค่อยอยู่ของแกมาหาตั้งแต่เช้า เมื่อเห็นว่าพวกเรายังไม่พร้อม พี่ตาซาเลยบอกให้ไปเจอกันที่บ้านของแกแทน
ดวงตะวันยามเที่ยงยังคงร้อนแรง และสาดแสงให้เห็นเงาของตัวเองชัดมากขึ้น ในช่วงเวลาที่พวกเราเดินทางออกจากบ้านของพี่ตาซา คณะของเรามีทั้งหมดหกคน ประกอบไปด้วย พี่ตาซา พี่เด่นไผ่ หลง แจ้งและก็ผมซึ่งเป็นคนเดียวที่ไม่มีประสบการณ์ในการเดินป่าเลยสักครั้ง
จากบ้านของพี่ตาซาพวกเราเลือกเส้นทางที่จะเดินตัดเข้าทางป่าไผ่ แทนเส้นทางสายตรงที่ตั้งชันเกือบๆ 45 องศา บางเวลาประสบการณ์ที่ผ่านพ้นไปก็สอนให้เราเรียนรู้ว่า บางครั้งการหลีกเลี่ยงก็สำคัญไม่น้อยไปกว่าการเผชิญหน้า เมื่อเราได้รู้จักกำลังของตัวเอง
การก้มหน้ามองพื้นอย่างเจียมตัว ไม่แหงนหน้ามองยอดเขา เพราะมันจะทำให้เราท้อเมื่อเราเอาขนาดของตัวเองไปเปรียบเทียบกับขนาดของภูเขาที่เราเผชิญหน้าอยู่ จึงไม่ได้เป็นเพียงถ้อยคำที่ผมท่องจนขึ้นใจ แต่กลับกลายเป็นหนึ่งเดียวกับจังหวะการย่างก้าวของเท้า ที่สั้นกระชับกว่าเดิม แต่ยังต้องเผชิญหน้ากับความเหน็ดเหนื่อยเมื่อถูกทดสอบโดยความสูงชันของเขาแหลม
สายน้ำที่ไหลเอื่อยในเดือนมกราคม ยังคงความสดชื่นไว้ให้พวกเราได้ดับกระหาย พวกเราแวะพักตรงน้ำตกเล็กๆ ผมวางเป้ลงข้างๆ เป้ของพี่ตาซาที่ทำมาจากถุงปุ๋ยโดยเจาะรูทั้งสองข้าง แล้วเอาผ้าขาวม้ามาทำเป็นสายสะพาย และใช้เศษยางในของรถมอเตอร์ไซด์มามัดปากถุง
ถ้าจะพูดถึงราคาระหว่างเป้ของผมกับพี่ตาซามันคงเทียบกันไม่ได้ แต่ถ้าหากเป็นความหมายและหน้าที่ เป้สองใบนี้กำลังแบกรับความตั้งใจในการพิชิตยอดเขาแหลมอย่างเท่าเทียมกัน ถึงแม้ว่าเป้ของพี่ตาซาจะได้เปรียบชั่วโมงบินมากกว่าเป้ของผมก็ตาม
พวกเราออกเดินกันอีกครั้ง และธรรมชาติก็บอกให้เรารู้ว่า ยิ่งสูงลักษณะของป่าก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จากป่าไผ่ที่พบเห็นในช่วงแรกๆ มาตอนนี้กลับกลายเป็นป่าเบญจพรรณที่เริ่มมีต้นผึ้ง และต้นไทรให้พวกเราเห็นมากขึ้นแทน แต่บริเวณนี้ก็ยังคงมีฝายทดน้ำของชาวบ้านตามลำห้วยให้ได้พบเห็น เพราะบริเวณนี้ยังคงเป็นบริเวณที่ชาวบ้านยังเข้ามาทำกินอยู่บ่อยๆ และลำห้วยสายนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงระบบชลประทานในหมู่บ้าน
"ปีที่แล้วเราก็ได้น้ำในห้วยนี่ช่วยดับไฟป่า" หลงบอกกับผมเมื่อเห็นผมยืนมองฝายทดน้ำอย่างสนใจ
"ถ้าปีนี้ไม่มีน้ำจะดับยังไง" ผมถามหลง
"ทำแนวกันไฟไงพี่ ใช้ไม้ไผ่มาทำเป็นไม้กวาดคอยกวาดใบไม้สร้างแนวกันไฟ ภาษากะเหรี่ยงเรียกว่า’ราโค่’
"ราโค่เหรอ"
"ใช่พี่ ภาษากะเหรี่ยงเรียกราโค่"
ในขณะที่จังหวะการเต้นของหัวใจคลายความเหนื่อยล้าลง ผมได้ยินเสียงพี่ตาซาตะโกนเป็นภาษาพม่า เมื่อเห็นชาวบ้านสองคนวิ่งหนีพวกเรา ทันทีที่เขาทั้งสองได้ยินเสียงของพี่ตาซาจึงหยุดวิ่งแล้วเดินมายังตรงที่พวกเรานั่งพักอยู่
"ได้ปลาเยอะไหมครับ" พี่เด่นถามพร้อมกับยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
ผมมองดูปลาสองตัวในตะกร้าไม้ไผ่ที่สานขัดกันบนหลังของชาวบ้าน ปลาสองตัวกระดิกตัวบ้างเท่าที่ยังมีเวลาเหลืออยู่บนโลกใบนี้
เห็นชาวบ้านทั้งสองคนยืนคุยกับพี่เด่นแล้วนึกเปรียบเทียบกับตัวเอง เมื่อเห็นชาวบ้านทั้งสองอายุเลยวัยกลางคน ผิวกายแห้งเกรียมไปด้วยไอแดดและกาลเวลา อยู่ในชุดแต่งกายพื้นบ้านธรรมดาๆ ที่ไม่ได้บ่งบอกว่าทั้งสองคนจะใส่มันไปเดินป่าได้ ขณะที่เท้ามีเพียงรองเท้ายางแบบหนีบคู่เก่าๆ แต่ทว่าท่วงท่า และจังหวะลมหายใจของเธอทั้งสองกับนิ่งสงบ เมื่อต้องเผชิญความสูงชันของเขาแหลม ต่างจากผมตอนในนี้ ที่มีสภาพไม่ต่างอะไรไปจากหมาหอบแดดตัวหนึ่ง
เมื่อชาวบ้านสองคนนั้นเดินจากเราไปแล้ว ผมจึงถามพี่ตาซาว่าทำไมเขาต้องวิ่งหนีเรา
"เขานึกว่าเราเป็นทหารเลยกลัวถูกจับ ชาวบ้านที่นี่กลัวทหาร ถ้าเข้ามาในป่าแล้วเจอทหารเขาจะวิ่งหนีก่อน"
ผมฟังแล้วก็ได้แต่ขนลุกเพราะเขาแหลมที่เราจะไป ไม่ได้อยู่ห่างจากพื้นที่ลาดตระเวนของทหารพม่าเท่าไรนัก
"แล้วทหารไทยละพี่"
"อย่างมากก็แค่จับไม่น่ากลัวหรอก อีกอย่างโอกาสเจอทหารไทยน้อยมากเพราะไม่ค่อยลาดตระเวนกัน" พี่ตาซาดูมีสีหน้าคลายกังวลขึ้นเยอะเมื่อผมถามถึงทหารไทย
"ซาเปี๊ยะ ถ้าได้ยินคำนี้พี่วิ่งเลยนะ"
พี่ตาซายังคงเรียกผมว่าพี่ทุกครั้งที่พูดคุยกัน ถึงแม้ว่าพี่ตาซาจะมีอายุมากกว่าผมก็ตาม
"มันแปลว่าอะไรหรอพี่"
"มึงตายหรือฆ่ามัน พี่เลือกเอาว่าจะเอาคำไหน" พี่ตาซาบอกผมถึงความหมายของคำว่าซาเปี๊ยะ แล้วผมเองก็ไม่อยากเลือกคำใดคำหนึ่งเลย
ทันทีที่พี่ตาซาส่งสัญญาณให้เดินกันต่อ ผมกระชับเป้ให้แน่นขึ้นเพื่อสู้กับระยะทางเดิน ดวงตะวันเริ่มคล้อยต่ำลงมา และแสงสุดท้ายของวันนี้กำลังจะหมดลง...การเดินทางของพวกเราในวันนี้จึงต้องสิ้นสุดลง ก่อนถึงจุดที่ตั้งใจไว้ว่าจะให้เป็นที่พักแรมในคืนนี้
ห้างเก่าๆ ที่เคยใช่ล่าสัตว์ถูกพวกเรายึดครองเป็นฐานที่มั่นชั่วคราวไปโดยปริยาย อีกอย่างในป่าทึบอย่างนี้ หากเสี่ยงเดินต่อไปพวกเราคงไม่ต่างอะไรนักกับผู้พ่ายแพ้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความมืดมิดของผืนป่าในยามค่ำคืน กองไฟขนาดย่อมจึงลุกโชนขึ้นมาเมื่อมีกิ่งไม้และใบไม้แห้งเป็นส่วนผสม
ขณะกำลังหาประโยชน์จากกองไฟที่ก่อขึ้นนั้น ในทางกลับกันก็ต้องคอยระมัดระวังไม่ให้กองไฟที่พวกเราก่อขึ้นมา ได้หาประโยชน์กับผืนป่าผืนนี้ได้
ระหว่างที่ผมผูกเปลด้วยท่าทางที่เงอะๆ เงิ่นๆ แจ้งเดินเข้ามาถามผมว่า
"เคยนอนเปลกลางป่าแบบนี้ไหมพี่ มาผมผูกให้เอง"
จะว่าไปแล้วตั้งแต่จำความได้เปลสุดท้ายที่ผมนอนแล้วหลับไป คือเปลผ้าที่แม่ใช้กล่อมผมนอนจนถึงอายุสามขวบ ภาพหลังคา หยากไย่ และไยแมงมุมจึงอยู่ในความทรงจำของผมมาตลอด แต่ค่ำคืนนี้ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปตามเงื่อนไขของกาลเวลาที่ไม่เคยต่อรองอะไรได้ หากแต่ว่าในขณะที่หัวใจเงียบเหงา ผมก็ยังอยากลงไปนอนในเปลที่มีเพียงแต่แม่เป็นผู้ขับกล่อมอีกครั้งหนึ่ง
เวลาเดินทางผ่านพวกเราไปตลอด ยิ่งมืดขึ้นเท่าไรความชื้นของผืนป่าก็ยิ่งสูงตามไป เมื่อรู้สึกหนาวมากขึ้น กองไฟก็ถูกเติมกิ่งไม้อีกครั้งหนึ่ง ผมหยิบถุงมือขึ้นมาใส่ เพราะไม่อยากนั่งทนความหนาวไปตลอดค่ำคืนนี้
เสียงกิ่งไม้ในกองไฟปะทุเป็นระยะๆ นอกจากหน้าที่ในการทำให้ข้าวในหม้อสนามเดือดแล้ว กองไฟยังสร้างไออุ่นให้พวกเราได้พักพิง นานแล้วที่ผมไม่ได้นั่งอยู่หน้ากองไฟเช่นนี้ ผมคิดถึงตอนที่นั่งผิงไฟกับแม่ยามอากาศหนาวมาเยือน แม่จะชอบแอบใส่หัวมันลงไปโดยไม่ให้ผมรู้ พอหัวมันสุกได้ที่ แม่ก็จะหยิบขึ้นมาโชว์ผมแล้วถามผมว่า
"เห็นมั๊ยครับว่านี่อะไร"แล้วแม่ก็จะหัวเราะอย่างชอบใจ ที่เห็นดวงตาของผมแฝงไปด้วยความดีใจ
เสียงหัวเราะของแม่ในตอนนั้นทำให้อากาศหนาวหมดความหมาย และกลายเป็นไออุ่นจากแม่ที่เข้ามาแทนที่ แต่สำหรับค่ำคืนนี้ใจของแม่คงร้อนรุ่มมากกว่ากองไฟ เมื่อไม่รู้ว่าลูกชายอยู่ที่ไหน และจะกลับบ้านเมื่อไร หากมีเพียงแต่เธอ หญิงสาวของโชคชะตาเพียงผู้เดียวที่รู้ว่าผมอยู่ที่ไหน แต่เธอก็ทำได้เพียงอวยพรให้ผมเดินทางและกลับมาอย่างปลอดภัย
"เดินทางและกลับมาอย่างปลอดภัยนะ ฉันจะรอคุณ ดูแลตัวเองดีๆ ละ"นั่นคือถ้อยคำผ่านตู้โทรศัพท์สาธารณะที่ผมโทรไปหาเธอ หลังจากที่ผมออกจากบ้านมาโดยไม่ได้บอกใครเลย
เมื่อข้าวในหม้อสนามสุกได้ที่ ไม่นานนัก เสบียงต่างๆ ที่เราเตรียมมาก็ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มตัว ข้าวหม้อสนาม 2หม้อ น้ำพริกอ่อง มาม่าต้มยำกุ้ง กุนเชียงที่ทอดบนฝาของหม้อสนามถูกจัดสันปันส่วนไปตามความหิวของแต่ละคน
พี่ตาซาแบ่งข้าว และกับข้าวบางส่วนใส่ลงในใบไม้ที่เด็ดมา พร้อมกับจุดเทียนปักลงไปแล้วนำไปวางไว้ใต้ต้นไม้ คล้ายกับเป็นการเชิญเจ้าป่าเจ้าเขาให้มาคุ้มครองเราตลอดการเดินทางในครั้งนี้ นี่คือความเชื่ออย่างหนึ่งที่พวกนายพรานปฏิบัติสืบทอดกันมา พี่ตาซาบอกกับผมอย่างนั้น
ตามกำหนดการที่วางไว้ คืนนี้หลังจากกินข้าวเสร็จ พี่ตาซาจะพาเราขึ้นไปซุ่มถ่ายรูปเม่นกัน โดยจุดที่เราจะซุ่มดูเม่นนั้น อยู่ห่างจากที่พักของเราประมาณ 300เมตร
ไม่นานนักปมเชือกที่รัดแน่นของปลายเปลก็ถูกคลายลง เพื่อไปผูกยังต้นไม้ต้นอื่นอันเป็นฐานที่มั่นใหม่ในการส่องดูเม่นได้อย่างถนัดตาจากคำแนะนำของพี่ตาซา
เปลหกเปลถูกผูกไว้กับต้นไม้ คล้ายวงกลมที่โอบล้อมเส้นทางเดินของเม่น โดยที่ไม่มีใครคาดคิดว่า จุดที่ผมผูกเปลนั้น จะเป็นจุดที่อยู่ใกล้รังเม่นมากที่สุด รวมไปถึงเหตุการณ์ต่างๆที่คาดไม่ถึง หากว่าเราต้องเผชิญ แม้กระทั่งพี่ตาซาเองก็ตามที
พูดง่ายๆ ก็คือ ผมเป็นด่านแรก หากว่ามีการปะทะเกิดขึ้น ซึ่งมันก็ทำให้ผมอดหวั่นใจไม่ได้ หากว่าเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ
ผมไม่รู้ว่าเวลาเดินผ่านพวกเราไปนานเท่าไร ระหว่างที่นอนรอถ่ายรูปเม่นอยู่นั้น ผมซึ่งไม่มีหน้าที่อะไรนอกจากการเฝ้ามอง จึงทำได้แต่นอนนิ่งๆ มองดูดาวบนท้องฟ้าอยู่ในเปล โชคดีที่คืนนี้เป็นคืนเดือนมืด ประกอบกับสภาพของป่า เลยทำให้เหมือนคืนเดือนมืดสองคืนในคืนเดียวกัน มันมืดถึงขนาดที่ว่ามองไม่เห็นแม้กระทั่งถุงเท้าสีขาวที่ผมใส่มา หากจะมีแสงสว่างบ้างก็เป็นเพียงแสงจากไฟฉาย ที่พี่ตาซาฉายมาเป็นระยะๆ เพื่อให้สัญญาณกับพี่เด่นเวลาที่เห็นเม่นออกมาจากรัง
เปลของพี่เด่นอยู่ใกล้กับแจ้งเช่นเดียวกับพี่ตาซา ตามมาด้วยไผ่และหลง มีเพียงผมคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้อยู่ใกล้ใครเลยเป็นพิเศษ และเนื่องจากต้นไม้ที่ผมเลือกผูกเปลยังไม่ใช่ต้นไม้ที่โตเต็มไวนัก การขยับตัวแต่ละครั้งจึงทำให้ยอดไม้สั่นไหวอยู่เสมอ
แน่นอนว่าหากไม่สังเกตก็คงไม่มีใครรู้ แต่สำหรับเจ้าบ้านอย่างเม่นที่พวกเรามาซุ่มดู กลับถือว่าเป็นสัญญาณเตือนภัยอย่างดีเยี่ยมจากผู้บุกรุก หนทางเดียวที่ผมทำได้จึงเป็นการสถิตร่างของตัวเองเข้ากับเปลอย่างไม่ไหวติง
นิ่ง สงบ และรอคอย สามอย่างนี้เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้พวกเราพบกับเจ้าบ้านได้มากที่สุด แต่ระหว่างที่นอนรออยู่ก็ได้ยินเสียงของคนสองคนพูดคุยกันดังขึ้นเข้ามาเรื่อยๆ ซึ่งมันคงไม่ใช่เรื่องแปลกใจมากนัก หากว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นเสียงของพวกเรา แต่นี่มันไม่ใช่ และกลับเป็นเสียงของคนอื่นที่ไม่รู้จัก รวมไปถึงจุดประสงค์ในการมา
เสียงที่ดังเข้ามาเรื่อยๆ ทำให้รู้ว่า เส้นทางที่สองคนนั้นเดินเข้ามาคือเส้นทางเดียวกับที่พวกเราซุ่มดูเม่นอยู่ และยิ่งเสียงนั้นเข้ามาใกล้มากเท่าไรก็ยิ่งทำให้พวกเราแน่ใจว่าไม่ใช่เสียงของคนไทยแน่นอน
เมื่อฟังอย่างแน่ใจแล้วว่าไม่ใช่เสียงของคนไทย มันจึงทำให้ผมอดหวั่นใจไม่ได้ว่า เจ้าของเสียงสองคนนั้นอาจจะเป็นทหารพม่าหรือไม่ก็พวกล่าสัตว์ ซึ่งยามค่ำคืนอย่างนี้หากมีอะไรผิดปกติ แน่นอนว่าสองคนนั้นคงไม่ลังเลใจที่จะเหนี่ยวไกปืนเป็นแน่แท้
"ปัง!" เสียงปืนที่ดังขึ้นมาหนึ่งนัดสะกดให้เสียงทั้งปวงในผืนป่าเงียบสงบลงได้ในพริบตาเดียว เหมือนไร้ซึ่งลมหายใจ และถ้าต้องเผชิญหน้ากับเจ้าของเสียงสองคนนั้นจริงๆ ผมเป็นคนแรกที่จะต้องเผชิญกับลูกปืนก่อนคนอื่นๆ
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ร่างทั้งร่างของผมจึงคล้ายสถิตเข้ากับเปลแน่นิ่งมากกว่าเดิมจนลืมหายใจไปชั่วขณะ จะมีส่วนที่ขยับบ้างก็เพียงเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาให้เปลเปียกชื้น ทั้งๆ ที่อากาศตอนนั้นก็หนาวจับใจอยู่แล้ว
เสียงใบไม้แห้งที่อยู่บนพื้นทำให้ผมรู้ว่า มีใครสักคนหนึ่งกำลังเดินมาทางเปลที่ผมนอนอยู่ ผมรู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วคิดว่าหากเป็นพวกทหารพม่า หรือพวกล่าสัตว์ขึ้นมาจริงๆ ผมคงไม่รอดแน่นอน
ในเศษเสี้ยวเวลาระหว่างความเป็นและความตาย ผมจึงถามตัวเองว่า ทำไมผมต้องมาอยู่ตรงนี้ ทั้งๆ ที่ผมเลือกได้ที่จะไม่มา หรือว่าแท้จริงแล้ว นี่คือสิ่งที่โชคชะตาเป็นผู้กำหนด และผมต้องเป็นผู้เผชิญ
ทุกๆ คนต่างก็ตกอยู่ในชะตากรรม และสถานการณ์เดียวกัน แต่ผมเองกับรู้สึกว่าผมกำลังต่อสู้อยู่กับความหวาดกลัวเพียงลำพังมากกว่า ผมหยุดหายใจสวนทางกับน้ำตาของความหวาดกลัวที่ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่คงจะเทียบอะไรไม่ได้เลยกับสายธารของความสูญเสียที่แม่มีต่อลูกชายคนหนึ่ง หากว่าลูกชายต้องหายไป แล้วพรากจากกันชั่วนิรันดร
ก่อนที่ความกลัวจะทำให้ผมคุมสติของตัวเองไว้ไม่อยู่ ผมภาวนาให้พี่สาวของผมที่จากไป เฝ้าปกป้องดูแลผมอยู่ข้างกายไม่ห่าง พลันในใจที่สัมผัสได้ถึงความคุ้มครอง ความหวาดกลัวก็ค่อยๆ จางหายไปพร้อมๆ กับเสียงของสองคนนั้นที่เงียบหายไป รวมไปถึงเสียงของฝีเท้าที่ได้ยิน
เวลาผ่านไปนานพอสมควรจนพี่ตาซาส่งสัญญาณเรียกพี่เด่น ร่างทั้งร่างของผมจึงคล้ายถูกปลดออกจากพันธนาการของโซ่ตรวนแห่งความหวาดกลัว เมื่อพี่เด่นส่งเสียงกระซิบมาเบาๆ ว่า
"ไม่มีอะไรแล้ว ปลอดภัยแล้ว"
เวลาเดินผ่านไปท่ามกลางลมหายใจของผืนป่าที่กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่ง เปลที่ผมนอนอยู่ยังคงชุ่มเหงื่อไม่จางหาย ผมมองดูนาฬิกาเรือนละ150บาทบนข้อมือ ที่บ่งบอกว่าตอนนี้เป็นเวลา 5ทุ่มกว่า จาก1ทุ่มที่พวกเราขึ้นมา และมันก็กินเวลาไปถึง 5ชั่วโมงกว่าๆ ที่พวกเราได้แต่นอนนิ่งๆ อยู่ในเปลโดยไม่ได้เห็นเม่นสักตัว แต่ถ้าเทียบกับร่างกายที่ยังขยับได้ก็ถือว่าคุ้มเกินคุ้ม
เมื่อเห็นว่าหากคอยต่อไปก็อาจเสียเวลาเปล่า และคงไม่ได้ภาพเม่นไปฝากเด็กๆ พี่เด่นจึงชวนพี่ตาซากลับไปยังที่พัก และผมเองก็เห็นดีด้วย โดยมีพี่ตาซาเดินนำหน้าเหมือนเดิม ยิ่งตอนที่ขึ้นมาว่าเป็นทางที่ลำบากแล้ว ขากลับซึ่งต้องเดินท่ามกลางความมืดจึงไม่ต้องคิดเลยว่ามันจะลำบากแค่ไหน
เมื่อไปถึงที่พัก กองไฟที่ขาดฟืนจึงมอดลงอย่างเห็นได้ชัด ทันทีที่กองไฟโชนตัวขึ้นอีกครั้ง เสบียงและสัมภาระต่างๆ จึงถูกสำรวจทันที โชคดีที่ไม่มีอะไรหาย และทุกอย่างก็คลี่คลายลงไปมาก
"สงสัยพวกมันคงไปอีกทางมั้งพี่" แจ้งบอกกับผมแล้วมาช่วยผูกเปลเหมือนเดิม
พวกเราต่างพุดคุยถึงเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้น เสียงของสองคนนั้นที่พวกเราได้ยินนั้นไม่ใช่ทหารพม่า แต่เป็นเสียงของพวกล่าสัตว์ ซึ่งในยามค่ำคืนที่ไม่รู้ว่าใครเป็นใครอย่างนี้ พวกเราก็ไม่ควรเสี่ยงที่จะเปิดเผยตัว ส่วนเสียงฝีเท้าที่ผมได้ยินนั้น แท้จริงแล้วคือเสียงของหมีควายไม่ใช่เสียงเดินของคน โชคยังดีที่มันคงได้กลิ่นคนซึ่งมันเองก็รู้ว่าควรจะหลีกเลี่ยงมากกว่าเผชิญ จึงเปลี่ยนใจเดินไปทางอื่น
"หมีควายเลยเหรอพี่" ผมถามพี่ตาซาเพราะเคยได้ยินความดุร้ายของมันจากพี่เด่นมาบ้าง
"ตัวใหญ่มากไหม" ผมยังไม่หายสงสัย
"ประมาณสองเมตร ถ้าเป็นตัวเดียวกับที่ผมเจอเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว" พี่ตาซาบอกด้วยสีหน้าที่นิ่งเฉย
"แล้วตอนที่พี่เจอพี่ทำไงละ"
"ผมก็วิ่งสิ"
"แล้วถ้าไอ้สองคนนั้นเป็นทหารพม่าละ พี่จะทำไง"
"ผมวิ่งก่อนเลยไม่อยู่ให้มันยิงหรอก" พี่ตาซาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง แล้วก็ไม่มีท่าทีว่าจะพูดเล่นเลยสักนิดเดียว
ท่ามกลางกองไฟที่โชนตัวขึ้นอีกครั้ง และเสียงร้องของเม่นที่ส่งเสียงร้องออกมาให้เราได้ยินเป็นระยะ ระหว่างความเป็นและความตายท้ายที่สุดแล้ว บางครั้งเราก็คงเลือกที่จะเอาตัวรอดมากกว่าช่วยเหลือคนอื่น ผมฟังพี่ตาซาพูดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ
คืนนี้ผมมาทำอะไรอยู่ที่นี่...
สายลมหนาวในเช้ามืดพัดผ่านมาอย่างเอื่อยเฉื่อย
ผมลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งในเช้าวันใหม่ ผืนป่าในยามเช้ากลับมางดงามอีกครั้งหนึ่ง เช่นเดียวกับผมที่มีอายุเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งวัน
พี่เด่นกับแจ้งเดินกลับมาจากไปถ่ายรูปนก ส่วนพี่ตาซานั่งมวนบุหรี่อยู่บนโขดหินข้างๆ ลำธาร ขณะที่ไผ่ยังคงนอนซมเพราะไข้ที่เริ่มขึ้น
หลังอาหารมื้อเช้าผ่านพ้นไป พวกเราออกเดินทางอีกครั้งโดยปราศจากไผ่ ซึ่งขอถอนตัวกลับลงไปเพราะรู้ว่าขืนฝืนเดินไปต่อคงได้ถูกหามกลับลงมาแน่นอน
เมื่อไม่มีไผ่พวกเราก็เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นได้อย่างหมดห่วง พวกเราเดินๆๆๆ แล้วก็เดิน ยิ่งใกล้ยอดเขาแหลมมากเท่าไรความสมบูรณ์ของผืนป่าก็มีมากยิ่งขึ้น สังเกตได้จากระหว่างทางช่วงหนึ่งที่ต้องผ่านบริเวณถ้ำ ที่และทำให้พวกเราต้องค่อยๆ ลอดช่องหินช่องเล็กๆ ไปทีละคน
แจ้งเดินไปวัดความสูงของตัวเองกับขนาดของก้อนหินที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวแจ้งอย่างเห็นได้ชัด และเนื่องจากบริเวณนี้มีลำห้วยเล็กๆไหลผ่าน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะพบเห็นตะไคร่เกาะอยู่ตามก้อนหินต่างๆ เยอะมาก พวกเราจึงอาศัยเส้นทางเส้นประจำของสายน้ำที่ไหลผ่านร่องหินเป็นตัวรับประกันความสะอาด เพื่อดับกระหายอีกทีหนึ่ง
ยิ่งเดินขึ้นไปสูงเท่าไร ต้นผึ้ง และต้นไทรใหญ่ที่มีขนาด 2-3 คนโอบก็เริ่มมีให้เห็นมากขึ้น พี่เด่นชี้ให้ผมดูรอยเล็บของหมีควายที่มาประทับรอยไว้ที่ต้นผึ้งต้นหนึ่ง
"รอยหมีควายไม่ใช่รอยเสือใช่ไหมพี่ตาซา" พี่เด่นถามพี่ตาซาเพื่อความแน่ใจ
"หมีควาย ถ้ารอยเสือต้องเดินไปอีกพักหนึ่ง" พี่ตาซาบอกกับพี่เด่น
ดูจากรอยของกรงเล็บที่ฝากไว้กับต้นผึ้งแล้ว หากโดนเข้าไปเต็มๆ โชคดีอาจแค่สลบ แต่โอกาสตายคงมีมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด ระหว่างเสือกับหมีควายร่องรอยของเขี้ยวเล็บ คงบอกถึงพละกำลัง และความดุร้ายได้เป็นอย่างดี ซึ่งผมก็ยังไม่อยากเจอหมีควายหรือเสือเลยสักตัวเดียว
ทุกครั้งที่ผ่านต้นไทรใหญ่พี่เด่นจะหยุดถ่ายรูปเสมอ เพราะเวลาถึงฤดูที่ต้นไทรใหญ่ออกลูก ที่นี่จะไม่ต่างอะไรกับร้านกาแฟของพวกบรรดาสัตว์ต่างๆ
นกชนิดต่างๆ ที่หาดูได้ยาก บางครั้งก็พบเจอได้ตามต้นไทรใหญ่เหล่านี้ เช่นเดียวกับพญากระรอก ที่กำลังเกาะแน่นิ่งอยู่บนยอดไม้จนเกือบจะอยู่ยอดบนสุด
กล้องส่องทางไกลที่ติดกระเป๋ามาด้วย จึงได้ทำหน้าที่ร่นระยะทางระหว่างผมและพญากระรอก ที่มันเองก็คงรู้ว่ามีสายตาของใครสักคนจับจ้องอยู่ แต่ทว่าปราศจากอันตรายที่จะคุกคามมัน และมันคงรู้ว่าต่างก็เป็นเพียงการผ่านพบที่ไม่ผูกพันกัน มันจึงเกาะนิ่งอยู่ที่เดิมให้ผมส่องดูจนพอใจ
ระหว่างทางที่เดิน พี่ตาซาชี้ให้ผมดูทางแยกทางหนึ่ง หากไม่มีประสบการณ์และความรู้ในชั่วโมงบินที่สูงพอสมควรก็จะไม่มีทางรู้เลยว่า ทางตรงนี้เป็นทางแยกที่สามารถตัดผ่านไปยังทางห้วยเมฆซึ่งเป็นทางที่สามารถเดินต่อไปยังชายแดนพม่าได้
"เดินไกลไหมพี่กว่าจะถึงพม่า" แจ้งถามพี่ตาซาอย่างสนใจถึงแม้ว่าตระกูลของแจ้งจะมีเชื้อสายกะเหรี่ยงก็ตาม
"ถ้าออกเช้าๆ ก็จะไปถึงประมาณ 4โมงเย็น" พี่ตาซาบอกแจ้งพลางเอามีดฟันกิ่งไม้เปิดทางที่เริ่มรกมากขึ้น
พวกเราเดินกันมาได้ไม่นานนักก็พบกับทางที่จะขึ้นไปสู่ยอดเขาแหลมได้แบบเส้นตรง ระหว่างที่นั่งพักแล้วกำลังคุยกับหลงอยู่เพลินๆ อยู่ๆ พี่ตาซาก็ส่งสัญญาณให้เงียบเสียงลง แล้วบอกว่า
"มีคนอยู่ใกล้ๆ แถวนี้ ดูจากรอยเท้าแล้วน่าจะเป็นคนละชุดกับเมื่อคืน"
"พี่รู้ได้ไง" ผมถามพี่ตาซาด้วยความสงสัย
"เขาใส่รองเท้าแบบเดียวกับที่พี่ใส่ พวกเมื่อคืนไม่ได้ใส่รองเท้าแบบของพี่" พี่ตาซาบอกถึงรอยรองเท้าแบบเดียวกันกับผม และวิธีสังเกตร่องรอยที่ช่วยเราได้มากในเรื่องของข้อมูล
"แล้วเขามาดีหรือเปล่าพี่" หลงถามพี่ตาซาแต่พี่ตาซาก็ไม่ได้ตอบอะไร พลางส่งสัญญาณที่มีเพียงพวกพรานเท่านั้นที่รู้กันว่า มาเที่ยวป่าอย่างเดียวไม่ได้มาทำอันตรายใคร
ความตึงเครียดระหว่างสองฝ่ายจึงคลี่คลายลงมากขึ้น เมื่อสองคนนั้นรู้ถึงจุดประสงค์ของพวกเรา สองคนนั้นบอกกับพวกเราที่เดินเข้าไปหาว่า เขาเข้าป่ามาหาหน่อไม้
"หาได้เยอะไหมพี่" แจ้งถามเขาทั้งสอง
"ยังไม่ได้เลยเพิ่งเข้ามาเอง" ชายหนึ่งในนั้นตอบแล้วส่งยิ้มให้ ขณะที่ผมสังเกตเห็นชายอีกคนหนึ่ง ทรุดตัวลงเอาปืนวางกับพื้นก่อนหน้าที่พวกเราจะเดินมาถึงไม่นานนัก
ถ้าไม่โง่เกินกว่าที่คิดก็พอจะเข้าใจได้ดีว่าอะไรเป็นอะไร เช่นเดียวกับพี่เด่นที่รู้ดีว่า ชายสองคนนี้เข้ามาล่าสัตว์มากกว่าหาหน่อไม้ แต่ก็ทำได้เพียงเก็บความรู้สึกที่จงเกลียดจงชังพวกล่าสัตว์เอาไว้ในใจ
หลังจากพูดคุยกับชายสองคนนั้นเสร็จ พวกเราเดินไปหยุดพักยังอีกที่หนึ่งใต้ต้นไม้ใหญ่ เนื่องจากต้องกจัดการกับมื้อเที่ยงทีนี่ก่อนจะขึ้นสู่ยอดเขาแหลมในช่วงบ่าย การหยุดพักบริเวณนี้จึงนับว่าเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมที่สุด
กองไฟกองเล็กๆ โชนตัวขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ไม่ห่างไกลจากลำห้วยเล็กๆ ที่แจ้งเอาขวดน้ำไปเติม ตรงข้างๆ ลำห้วยมีต้นบอนป่าขึ้นอยู่มากมาย อาหารมื้อนี้ของพวกเราจึงมีบอนป่าเป็นส่วนผสมด้วยไปในตัว และหลงเองก็ดูจะกระฉับกระเฉงกับการปรุงอาหารมื้อนี้เป็นพิเศษ ซึ่งพวกเราเองก็ไม่มีใครปฏิเสธเมนูใหม่ๆ ของหลง
เสียงปะทุของกองไฟปะทุดังขึ้นมาเป็นเรื่องปกติระหว่างที่พวกเรานั่งกินข้าว
"ปัง!" เสียงปืนดังขึ้นมาหนึ่งนัดจนทำให้เสียงปะทุของกองไฟเบาลงไปโดยปริยาย
"มันคงหาหน่อไม้ของมันเจอแล้ว" พี่เด่นพูดด้วยสีหน้าที่บึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด แล้วพวกเราก็กินข้าวต่อ ปล่อยให้เสียงปืนนั้นเงียบหายไปกับสายลม
หลังจากกินข้าวกันเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะออกเดินทางกันต่อ พี่ตาซากำชับพวกเราว่าให้เตรียมน้ำให้พร้อม เพราะจากยอดเขาแหลมหากว่าน้ำหมด คงไม่ใช่เรื่องสนุกที่จะต้องเดินลงมาเติมน้ำกันอีก
จากนี้ไปทางที่จะไปสู่ยอดของเขาแหลมจึงเป็นทางที่พวกเราต้องแบกขวดน้ำที่มีน้ำอยู่เต็มทุกขวดไปด้วย และไม่สามารถจะไต่เลาะไปตามตีนเขาได้เหมือนทางที่ผ่านๆ มา การเดินบนพื้นที่สูงชันอย่างนี้ ขนาดของหัวใจจึงสำคัญมากกว่าขนาดของแรงกายที่มีอยู่
พี่ตาซายังคงใช้มีดฟันเปิดทางไปตลอดเวลา ปีที่แล้วเกิดไฟป่าจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะพบเห็นร่องรอยของต้นไม้ที่ถูกไฟไหม้ ยิ่งสูงขึ้นเท่าใดลักษณะของต้นไม้ก็เปลี่ยนไปมากเท่านั้น ต้นไม้บนเขาจึงมีลักษณะใบที่เล็ก และลู่ลมมากกว่าต้นไม้ที่อยู่ข้างล่างเป็นพิเศษ เงื่อนไขแวดล้อมจึงบีบรัดธรรมชาติให้ปรับสภาพเพื่อที่จะดำรงอยู่ต่อไป ผิดต่างกันกับผม ที่ยกมือขึ้นปาดเหงื่อมากกว่าเดิม พลางหันไปมองดูความเขียวขจีอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าเป็นระยะๆ ก่อนที่จะมุ่งหน้าเดินขึ้นสู่ยอดของเขาแหลมต่อไป
ยิ่งสูงยิ่งหนาวหลายคนบอกอย่างนั้น แต่สำหรับผมยิ่งสูงนอกจากจะยิ่งหนาวแล้ว น่าจะเพิ่มคำว่ายิ่งเหนื่อยเข้าไปด้วยมากกว่า ยิ่งสูง ยิ่งหนาว และยิ่งเหนื่อย ผมเองก็ไม่รู้ว่าชะตากรรมใดที่ขับต้อนให้ผมต้องมาเผชิญกับความสูงชันเขาแหลมอยู่ในตอนนี้
การก้มหน้ามองพื้นอย่างเจียมตัวแล้วไม่แหงนหน้ามองยอดเขา เพราะมันจะทำให้เราท้อเมื่อเราเอาขนาดของตัวเองไปเปรียบเทียบกับขนาดของภูเขาที่เราเผชิญหน้าอยู่ จึงถูกท่องขึ้นในใจอย่างเงียบๆ ระหว่างเก้าต่อเก้าบนความสูงชัน ผมขยับปีกหมวกลงบังแสงแดดของดวงตะวัน ที่คล้ายกับส่องแสงต้อนรับผู้มาเยือนอย่างพวกเรา
เมื่อไปถึงยอดเขาแหลม เครื่อง GPS ของพี่เด่น วัดความสูงได้ที่ระดับ 1,030เมตร จากระดับน้ำทะเล ซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุดของเขาแหลมเท่าที่คนจะเดินไปได้ แต่พรุ่งนี้เราก็คงต้องลงมาจากความสูงที่ยืนอยู่ ไม่นานนักพวกเราก็ได้ต้นไม้ที่อยู่ติดกัน 3-4 ต้นซึ่งอยู่ไม่ห่างจากที่ๆ ยืนอยู่เป็นที่ผูกเปลในการค้างแรมยามค่ำคืน
ขณะที่ทุกคนแยกย้ายกันไปสำรวจพื้นที่บนยอดเขาแหลม ผมเองกลับถูกชีวิตอันเหนื่อยล้าระหว่างทางก่อนขึ้นมาบนยอดเขาแหลมขับกล่อมจนหลับคาเปลที่ผูกด้วยฝีมือของตัวเอง รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกทีก็ไม่พบกับใครเลย นอกจากตัวเอง และแสงสุดท้ายของดวงตะวัน
กว่าทุกคนจะกลับมาดวงตะวันก็คล้ายจะลับเหลี่ยมเขาไปเสียแล้ว แต่ก็ยังพอมองเห็นทิวทัศน์ในตอนเย็น จากจุดที่ผมยืนอยู่หากมองข้ามไปอีกหุบเขาหนึ่ง จะเป็นห้วยเมฆที่พี่ตาซาบอกว่าคือเส้นทางที่ใช้เดินไปชายแดนพม่าได้ พี่ตาซาก็ชี้ไปยังหุบเขาอีกหุบหนึ่งที่เมื่อก่อนเคยเป็นที่ๆ กองกำลังกะเหรี่ยง God army เคยอาศัยอยู่ และหากเป็นเมื่อ 3 ปีที่แล้ว เราคงได้เป็นศพก่อนจะได้มายืนอยู่ตรงนี้แน่นอน
ค่ำคืนของความมืดมิดกลับมาเยือนอีกครั้ง พร้อมกับความเย็นยะเยือกที่มีมากขึ้นกว่าเดิม พวกเราเลือกที่ค้างแรมที่ไม่ใกล้ทางลมจากหน้าผามากนัก แต่ประสบการณ์จากความเหน็บหนาวอันเย็นยะเยือกคราวนี้ ก็สอนให้พวกเรารู้ว่า ถ้าผูกเปลให้ห่างทางลมได้มากกว่านี้ก็จะดีมากไม่ใช่น้อย และคนที่ต้านความหนาวของลมไม่ไหวก็คือ พี่ตาซาที่เลือกปลดเปลลงแล้วนอนข้างๆ กองไฟมากกว่า
เปลวไฟเต้นระบำในช่วงเวลาเดียวกันกับที่สะเก็ดไฟลอยละลิ่วหายวับไปกับตา และมีเพียงควันไฟเดินไปส่งจนสุดทาง ก่อนจะเลือนหายไปในอากาศ
ท่ามกลางกองไฟของค่ำคืนนี้ พวกเราทุกคนต่างอ่อนล้าไม่มากหรือน้อยไปกว่ากัน แต่เสน่ห์ของกองไฟยังคงตรึงไว้ซึ่งถ้อยคำของมิตรภาพจากประสบการณ์การเดินทางของแต่ละคน
ตลอดระยะทางที่ผ่านมาผมรู้สึกผูกพันกับกองไฟไปโดยไม่รู้ตัว เศษกิ่งไม้ที่หามาได้ถูกใส่ลงไปในกองไฟทีละกิ่งทีละกิ่ง คงต้องยอมรับว่าคนเดินป่ากับกองไฟเป็นของคู่กัน การล้อมวงอยู่ข้างกองไฟจึงนับว่าเป็นความรื่นรมย์อย่างหนึ่ง แต่สำหรับผู้ที่อยู่เพียงลำพังกับกองไฟกลับกลายเป็นอีกความหมายหนึ่งที่เปลี่ยวเหงา และเขาผู้นั้นคงได้แต่ภาวนาให้ถึงพรุ่งนี้เช้าเร็วๆ แม้ว่าจะเป็นพื้นที่ใกล้กองไฟเหมือนกัน แต่ท่วงทำนองความรู้สึกกลับแตกต่างกันมากเหลือเกิน กองไฟและชีวิตในป่าจึงคล้ายสอนให้ผมรู้จักกับบางส่วนของชีวิตที่ขาดหายไป
ผมเงยหน้ามองดูท้องฟ้า พระจันทร์ในคืนนี้ยังคงตามดาวอยู่ห่างๆ และเรียงร้อยตัวเองให้อยู่ระหว่างช่องว่างของความพอดี ห้วงยามของความหมายจึงคล้ายกับว่า จะนานเท่าใดพระจันทร์ก็ไม่เคยได้ใกล้ชิดดวงดาว หากเพียงแต่ทำได้ดีที่สุดคือ รักษาระยะห่างซึ่งกันและกันไว้ เพื่อให้ได้อยู่เคียงข้างกันไปตลอด ซึ่งบางครั้งจะว่าไปแล้ว ก็ไม่ต่างอะไรกันนักชีวิตคู่ของคนเรา
ความมืดมิดของค่ำคืนนี้งดงามอย่างสง่าและสงบ มีเพียงเสียงปะทุของกองไฟที่นานๆ จะดังขึ้นสักทีหนึ่ง คล้ายๆ กับเป็นเสียงขับกล่อมยามหลับนอน แต่ทว่าผมกลับนอนไม่หลับ ค่ำคืนนี้ของผมจึงยาวนานเป็นพิเศษ และทำได้เพียงนั่งมองกองไฟร่ายรำด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ไม่ไหวติง นานเท่านานแล้วที่ผมไม่เคยรู้สึกสงบเช่นนี้มาก่อน
เมื่อเห็นว่าผมยังไม่หลับ แจ้งจึงลุกขึ้นมานั่งคุยเป็นเพื่อนผมข้างๆ กองไฟ แจ้งเป็นเด็กกะเหรี่ยงโดยเชื้อสาย แต่เกิดและโตที่ประเทศไทยเช่นเดียวกับหลงและไผ่ แจ้งมีทักษะพิเศษมากมายไม่ว่าจะเป็น ซ่อมรถ เล่นดนตรี แต่งเพลง ฯลฯ แต่ที่ดูจะโดดเด่นมากที่สุดก็เห็นจะเป็นทักษะทางด้านการแสดงละครใบ้ ที่ใครได้เห็นแจ้งเล่นแล้วก็จะอดประทับใจไม่ได้
"คนญี่ปุ่นเขาสอนผม โชคดีที่ละครใบ้มันไม่ต้องพูด กะเหรี่ยงกับญี่ปุ่นเลยไม่ต้องตีกัน อีกอย่างผมก็สนใจละครใบ้มานานแล้วด้วย" คนที่ถ่ายทอดละครใบ้ให้กับแจ้งก็มีชื่อว่า ‘ยามาดะ’ นักแสดงละครใบ้ชาวญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง
กองไฟที่ขาดเชื้อเพลิงเริ่มมอดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่แจ้งก็ยังคงเล่าเรื่องราวของตัวเองต่อไป
"อยากเป็นผู้นำ อย่าร้องไห้ให้ใครเห็น" ผมบอกกับแจ้งเมื่อแจ้งบอกถึงความมุ่งหมายของชีวิตในบางอย่าง
ผมเชื่อว่าต่อให้เราเข้มแข็งแค่ไหน เราทุกคนต่างก็ล้วนมีด้านที่อ่อนโยนของชีวิตปิดบังอยู่ หากเพียงแต่ภาระหน้าที่และบทบาทที่ได้รับ กลับบีบบังคับให้เราซ่อนส่วนนั้นลึกลงไปข้างใน
แจ้งเล่าเรื่องทุกเรื่องของตัวเองเท่าที่จะนึกได้ไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องของความรัก หญิงสาวของแจ้งต้องเข้าไปทำงานในเมืองที่ต่างจังหวัด นานๆ ถึงจะได้เจอกันสักครั้งหนึ่ง ประกอบกับเงินค่าโทรศัพท์ที่เสียไปในช่วงแรกๆ คล้ายกับจะเป็นเหมือนสิ่งฟุ่มเฟือยยิ่งนัก เมื่อทั้งสองยังไม่สามารถดูแลตัวเองได้ดีเท่าที่ควร การหาเงินเพื่อมาโทรศัพท์หากันและกัน จึงคล้ายเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่ง แต่ผมเชื่อว่าทุกครั้งที่ทั้งสองต่างได้ยินเสียงซึ่งกันและกัน มันคือช่วงเวลาของความสุข
"แล้วเราทำไงละ" ผมถามแจ้งถึงวิธีสานสายใยที่มีต่อหญิงสาวที่แจ้งรัก
"เขียนจดหมายไงพี่" แจ้งบอกกับผมแล้วยิ้มให้อย่างมีความสุขเมื่อได้พูดถึงหญิงสาวของตัวเอง แล้วถามผมกลับมาว่า
"ถ้าเป็นพี่ละจะทำอย่างไร"
ผมนิ่งเงียบ และนั่งคิดอยู่ชั่วขณะ ระหว่างระยะทางที่แสนไกลของผม และหญิงสาวที่ผมรัก ผมคงเลือกที่จะย่นระยะทางลงด้วยการคิดถึงเธออยู่เสมอ และเพียงหลับตาลงเธอก็จะมายืนอยู่ข้างๆ ผม บางครั้งห้วงเวลา ระยะทาง และตัวตน จึงเป็นเงื่อนไขที่แยกกันไม่ออกในการเข้าถึงความงดงามของเธอ เรื่องราวในโลกของถ้อยคำ และความเป็นจริงนั้น จึงเป็นสิ่งที่ผมควรจะเรียนรู้ แม้ว่าพระจันทร์จะไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดดวงดาวเลยก็ตาม ผมกับแจ้งนั่งคุยกันจนต่างคนต่างหลับไปในที่สุด
คืนเปลี่ยนและวันผ่าน กาลเปลี่ยนปรวนแปร แสงแรกของดวงตะวันกับสายหมอกยามเช้าที่ไล่เลื้อยไปตามภูเขา ทำให้ภาพทิวทัศน์เบื้องหน้าดูนวลเนียนมากขึ้น
เมื่อคืนผมเป็นคนสุดท้ายที่เข้านอน และแน่นอนว่าเช้านี้ผมก็เป็นคนสุดท้ายที่ตื่น
"เป็นไงอากาศดีไหม"พี่เด่นถามผมที่กำลังงัวเงียขึ้นมาชมแสงแรกของวัน
หลังอาหารมื้อเช้า และความมอดไหม้ของกองไฟที่ค่อยๆ ดับลง เมื่อเก็บสัมภาระและเคลียทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว พี่ตาซาพาพวกเราไปยังหน้าผา ตรงจุดที่เป็นมุมที่พวกเรามองเห็นความงดงามจากยอดเขาแหลมได้สวยที่สุด ระหว่างทางที่พวกเราต้องลงไปข้างล่าง มีทางอยู่ช่วงหนึ่งที่เราต้องข้ามไปทีละคนและต้องทำตัวให้แนบชิดกับหน้าผา
ทุกคนผ่านไปหมดแล้ว เหลือเพียงแต่ผมคนเดียวที่กำลังรู้สึกว่าทุกย่างก้าวบนความสูงชันของหน้าผา มันช่างห่างไกลกันเหลือเกิน ผมพยายามทำตัวให้แนบชิดกับหน้าผามากที่สุด เพราะหากตกลงไปคงไม่เหลือเรี่ยวแรงและลมหายใจที่จะปีนขึ้นมาแน่นอน
แต่จนแล้วจนรอด ผมก็ลืมตัวเป็นห่วงกล้องส่องทางไกลที่แขวนอยู่ตรงคอ จนเผลอโก่งตัวขึ้นมา ทั้งๆ ที่มืออีกข้างหนึ่งไม่ได้ยึดเกาะอะไรไว้เลย
เพียงเสี้ยววินาทีหายนะก็ฉุดผมลงไปยังเบื้องล่างของความตาย จนแจ้งที่ยืนรอผมอยู่ข้างล่างร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อเห็นตัวผมครูดลงมา
เมื่อรู้ว่าโอกาสรอดสุดท้ายในชีวิตมีไม่มากนัก ภายในเสี้ยววินาทีนั้นผมจึงตัดสินใจแนบตัวลงกับพื้น เอาขายันพื้นหินด้วยรองเท้าปีนเขายี่ห้อดาวเรืองคู่ละ40บาทที่ซื้อมาจากตลาดนัดกะเหรี่ยง แล้วรีบคว้าแง่งหินที่พอจะจับได้ยึดไว้เพื่อช่วยพยุงตัวอีกทีหนึ่ง
ฉับพลันที่ผมกลับมาเป็นนายของร่างกายอีกครั้ง ผมจึงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วค่อยๆไต่เลาะระดับลงมาอย่างคนหมดสิ้นซึ่งเรี่ยวแรง กล้องส่องทางไกลเป็นรอยขีดข่วนจากการลื่นไถลลงมาของผมอย่างเห็นได้ชัด แต่คงเทียบอะไรกับรอยแผลเป็นในใจของทุกคนไม่ได้ หากว่าผมต้องตกลงไปยังข้างล่างหน้าผาแล้วไม่มีวันกลับมา
หลังจากผ่านพ้นจากเหตุการณ์นี้ไปแล้ว ทุกคนดูจะตกใจในสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะแจ้งที่บอกกับผมด้วยสีหน้าที่ซีดว่า
"ผมนึกว่าพี่จะเสร็จซะแล้ว"
ผมยิ้มให้กับแจ้งและทุกคน แล้วบอกกับแจ้งว่า
"ก็คิดว่าคงไม่รอดเหมือนกัน ดีนะได้ดาวเรืองช่วยชีวิตไว้"
แล้วผมก็ค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งยังโขดหินที่เป็นจุดๆ เดียวกัน หากว่าผมพลัดตกลงมา แต่โชคยังดีที่ตอนนี้ผมยังมีลมหายใจ และบังคับร่างกายให้เดินไปจากโขดหินก้อนนี้ได้
เมื่อได้ผ่านพ้นการคาบเกี่ยวระหว่างความเป็นและความตาย มันจึงทำให้ผมได้เรียนรู้ว่า สติเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในช่วงเวลาเพียงเสี้ยววินาที
ทันทีที่พี่ตาซาส่งสัญญาณให้เดินต่อ ผมถอนใจออกมาเฮือกใหญ่ๆ ขยับเป้บนหลังให้แน่นขึ้น พร้อมๆ กับประสบการณ์ใหม่จากการเดินทางที่ได้เรียนรู้เพิ่มขึ้นมาว่า
การเดินทางมาเยือนภูเขาในแต่ละครั้งไม่ว่าจะที่ไหนๆ ก็ตาม ความหมายมันอยู่ที่ขาลงมากกว่า และถึงแม้การเดินทางจะคล้ายการพลัดพรากอย่างหนึ่ง แต่ผมก็ไม่เคยคิดจะปฏิเสธมัน…
Wednesday, October 04, 2006
-ฝนเม็ดแรก-
ฝนเม็ดแรกล่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าตอนไหนไม่มีใครรู้ 11 กรกฎาคม 2548 ฤดูเงียบของลมเหงาโอบกอดฉันไว้อีกครั้ง เช่นเดียวกับหัวใจของฉันที่เต้นถี่มากกว่าเดิมเมื่อวันนี้เดินทางมาถึง
1ปีแล้วที่ฉันได้มีโอกาสรู้จักเธอ และคำว่า โชคชะตา 1ปีของวันที่เธอได้รับอีเมลแปลกๆ ฉบับหนึ่ง ซึ่งเจ้าของอีเมลนั้นก็คือฉัน ที่โวยวายว่าเธอไม่ยอมทักฉันเลย เพราะความเข้าใจผิดว่าเธอคือเพื่อน เมื่อความจริงปรากฏฉันจึงได้รู้ว่า ฉันพิมพ์อีเมลเพื่อนของฉันผิดไปหนึ่งตัว และมันก็ทำให้ฉันได้มาพบกับเธอทางถ้อยคำของอักขระ จนรู้จักกันมาถึงทุกวันนี้
จากลิ้นชักของความทรงจำในห้วงเวลาของความตรึงใจ เธออายุมากกว่าฉัน 1 ปี แต่เธอก็ไม่ยอมให้ฉันเรียกเธอว่าพี่ ด้วยเหตุผลที่บอกว่า เธอไม่เชื่อว่าฉันอายุน้อยกว่าเธอ เพราะคำพูดคำจาของฉันดูไม่เหมือนเด็ก
“อย่างเธอนี่นะเด็ก ดูพูดจาแต่ละคำสิ” เธอยืนยันกับฉันผ่านสายโทรศัพท์ และฉันก็ได้แต่อมยิ้มกับคำพูดของเธอ ถึงแม้ฉันจะคิดว่าฉันเป็นเด็กอยู่เสมอ
ฉันคุยกับเธอจนประตูของความผูกพันเปิดกว้าง จนวันหนึ่งที่เธอบอกกับฉันว่า เธออยากให้ฉันมางานรับปริญญาของเธอ ตอนแรกฉันไม่สะดวกใจที่จะไปหาเธอ เพราะช่วงนั้นกำลังวุ่นอยู่กับการสอบ แต่เธอยืนยันว่าเธออยากให้ไปจริงๆ
บนรถตู้สายกรุงเทพ-ชลบุรีจึงมีเพียงฉันที่นั่งอยู่บนเบาะหลังสุดกับเงินที่เหลืออยู่ 100 บาทในกระเป๋ากางเกง พร้อมกับจังหวะการเต้นของหัวใจที่เต้นผิดจังหวะมากเป็นพิเศษ รถตู้คันนี้กำลังพาฉันไปพบกับเธอ…
ฉันยังไม่เคยไปยังที่ๆ เธอรับปริญญา หน้าของเธอฉันก็ไม่เคยเห็นแต่ฉันก็ไม่ได้กังวลใจเลยสักนิดเดียวที่ได้ตัดสินใจไปหาเธอ ฉันบอกตัวเองอยู่เสมอว่า วันนี้ฉันควรจะไปหาเธอเพราะมันคือวันสำคัญของเธอ ในกระเป๋าสะพายใบใหญ่ของฉันจึงมีรูปที่ฉันวาดกับหนังสือทำมือของฉันรอเธออยู่ และอีกไม่กี่นาทีมันก็จะกลายเป็นของเธอ
ผู้โดยสารข้างๆ ฉันต่างทยอยลงจากรถไปทีละคนๆ รถตู้จอดสนิทแล้ว แต่ฉันก็ยังคงนั่งอยู่ในรถนิ่งๆ จนคนขับต้องหันมาบอกฉันว่า
“ไอ้น้องถึงแล้ว”
ฉันจึงลงจากรถตู้ และเดินถามทางเขามาตลอดถูกบ้างผิดบ้าง แต่จนแล้วจนรอดฉันก็มายืนอยู่หน้าป้อมยามจนได้ ฉันนั่งรอเธอ ไม่กล้าโทรไปหาเธอ เพราะเกรงว่าเธอคงติดงานพิธีอยู่แน่ๆ และฉันไม่รู้ว่าเธอจะติดต่อมาเมื่อไร จนเห็นกลุ่มบัณฑิตค่อยๆ ทยอยออกมาแถวๆ ป้อมยามที่ฉันนั่งอยู่ ฉันจึงปลอบตัวเองว่า ไม่นานไปกว่านี้เดี๋ยวเธอคงโทรเข้ามา
ระหว่างที่ฉันนั่งชั่งใจว่าจะโทรศัพท์หาเธอเลยดีหรือเปล่า ก็มีบัณฑิตสาวคนหนึ่งมาขอยืมเงินฉันสองบาทเพื่อโทรหาญาติ ฉันไม่ได้ให้เงินกับบัณฑิตคนนั้น แต่ให้บัณฑิตสาวคนนั้นยืมโทรศัพท์ของฉันไปใช้แทน บัณฑิตสาวคนนั้นมีสีหน้าดีใจขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด และขอบคุณฉันหลายรอบมากจนฉันต้องรีบบอกว่า
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ช่วยๆ กัน”
“แล้วเจอเพื่อนหรือยังคะ” บัณฑิตสาวคนนั้นถามฉัน ฉันจึงได้แต่ยิ้มและส่ายหัว บัณฑิตคนนั้นปลอบใจฉันว่า
“เดี๋ยวคุณก็ได้เจออยู่แล้วเชื่อฉันสิ…”
บัณฑิตสาวคนนั้นจากไปแล้ว แต่ฉันยังคงนั่งรอเธออยู่ที่เดิม ฉันไม่รู้ว่าฉันควรจะเดินไปทางไหนดี ทางซ้าย หรือขวาที่มันจะทำให้ฉันได้พบเธอ จึงตัดสินใจโทรหาเธออีกครั้ง
ครั้งแรกเธอไม่ได้รับโทรศัพท์ของฉัน ครั้งที่สองที่สามก็เช่นกัน จนครั้งที่สี่ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันตัดสินใจว่า หากครั้งนี้เธอไม่รับโทรศัพท์ ฉันคงต้องเดินทางกลับด้วยเงื่อนไขเวลาของรถตู้คันสุดท้ายที่จอดรอฉันอยู่ เพราะมันเหลืออีกเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้นที่ฉันจะได้พบเธอ
เสียงรอสายที่ดังขึ้นทุกครั้งแอบพ่วงความหวังว่าเธอจะรับโทรศัพท์ฉันเข้าไปทุกจังหวะ ตู๊ดดด ตู๊ดดด ตู๊ดดด จนเสียงตู๊ดครั้งสุดท้ายที่ทำให้ฉันคิดว่า ครั้งนี้เธอคงไม่รับสายฉันอีกเช่นเคยจบลงไป กลับกลายเป็นเสียงของเธอที่ถามว่าฉันอยู่ไหน
ฉันบอกเธอว่าฉันอยู่ตรงป้อมยาม เธอบอกให้ฉันเดินมาที่หน้ากองอำนวยการด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง และเธอก็บอกกับฉันก่อนที่เธอจะยื่นโทรศัพท์ให้เพื่อนของเธอว่า เธอเจ็บคอ
จึงกลายเป็นว่าเพื่อนของเธอมาบอกทางฉันแทน แต่เพื่อนของเธอก็ดูเหมือนจะไม่เต็มใจให้ฉันได้พบกับเธอสักเท่าไร ด้วยการบอกทางฉันแบบผิดๆ ถูกๆ จนในที่สุดก็ตัดสายฉันทิ้งไป ตอนนั้นฉันไม่รู้ว่าฉันควรจะเดินไปทางไหนดี ระหว่างเดินกลับไปขึ้นรถตู้กับเดินไปหาเธอด้วยการถามทางคนที่เดินผ่านมาอยู่ตลอด
มันเป็นโชคดีของฉันอีกครั้งที่ฉันเลือกถามทางคนแถวนั้นจนฉันได้มายืนอยู่หน้ากองอำนวยการ เมื่อไปถึงหน้ากองอำนวยการ ริ้วธงถูกสายลมพัดโบกไปมางดงามอย่างพริ้วไหวแม้จะเป็นยามค่ำคืน ฉันเงยหน้ามองดูพระจันทร์เสี้ยวบนท้องฟ้า หันซ้ายหันขวามองหาเธอ หยุดยืนอยู่หลังรถพยาบาลแล้วพยายามมองหาเธอตลอด
ฉันมองบัณฑิตสาวทุกคนที่เดินผ่าน และหวังว่าหนึ่งในคนที่ฉันมองหาน่าจะเป็นเธอ เพราะฉันไม่เคยเห็นหน้าของเธอชัดๆ แม้ว่าเราจะคุยกันใน msn มานานพอสมควร
เธอโทรมาถามฉันว่าฉันอยู่ไหน ฉันบอกกับเธอว่า ฉันอยู่ตรงหน้ากองอำนวยการยืนอยู่ใกล้ๆ กับรถพยาบาล เธอบอกฉันว่าเธอก็ยืนรอฉันอยู่หน้ากองอำนวยการ และยืนอยู่ใกล้รถพยาบาลเช่นเดียวกัน แต่ทำไมเธอไม่เห็นฉันเลย
1ปีแล้วที่ฉันได้มีโอกาสรู้จักเธอ และคำว่า โชคชะตา 1ปีของวันที่เธอได้รับอีเมลแปลกๆ ฉบับหนึ่ง ซึ่งเจ้าของอีเมลนั้นก็คือฉัน ที่โวยวายว่าเธอไม่ยอมทักฉันเลย เพราะความเข้าใจผิดว่าเธอคือเพื่อน เมื่อความจริงปรากฏฉันจึงได้รู้ว่า ฉันพิมพ์อีเมลเพื่อนของฉันผิดไปหนึ่งตัว และมันก็ทำให้ฉันได้มาพบกับเธอทางถ้อยคำของอักขระ จนรู้จักกันมาถึงทุกวันนี้
จากลิ้นชักของความทรงจำในห้วงเวลาของความตรึงใจ เธออายุมากกว่าฉัน 1 ปี แต่เธอก็ไม่ยอมให้ฉันเรียกเธอว่าพี่ ด้วยเหตุผลที่บอกว่า เธอไม่เชื่อว่าฉันอายุน้อยกว่าเธอ เพราะคำพูดคำจาของฉันดูไม่เหมือนเด็ก
“อย่างเธอนี่นะเด็ก ดูพูดจาแต่ละคำสิ” เธอยืนยันกับฉันผ่านสายโทรศัพท์ และฉันก็ได้แต่อมยิ้มกับคำพูดของเธอ ถึงแม้ฉันจะคิดว่าฉันเป็นเด็กอยู่เสมอ
ฉันคุยกับเธอจนประตูของความผูกพันเปิดกว้าง จนวันหนึ่งที่เธอบอกกับฉันว่า เธออยากให้ฉันมางานรับปริญญาของเธอ ตอนแรกฉันไม่สะดวกใจที่จะไปหาเธอ เพราะช่วงนั้นกำลังวุ่นอยู่กับการสอบ แต่เธอยืนยันว่าเธออยากให้ไปจริงๆ
บนรถตู้สายกรุงเทพ-ชลบุรีจึงมีเพียงฉันที่นั่งอยู่บนเบาะหลังสุดกับเงินที่เหลืออยู่ 100 บาทในกระเป๋ากางเกง พร้อมกับจังหวะการเต้นของหัวใจที่เต้นผิดจังหวะมากเป็นพิเศษ รถตู้คันนี้กำลังพาฉันไปพบกับเธอ…
ฉันยังไม่เคยไปยังที่ๆ เธอรับปริญญา หน้าของเธอฉันก็ไม่เคยเห็นแต่ฉันก็ไม่ได้กังวลใจเลยสักนิดเดียวที่ได้ตัดสินใจไปหาเธอ ฉันบอกตัวเองอยู่เสมอว่า วันนี้ฉันควรจะไปหาเธอเพราะมันคือวันสำคัญของเธอ ในกระเป๋าสะพายใบใหญ่ของฉันจึงมีรูปที่ฉันวาดกับหนังสือทำมือของฉันรอเธออยู่ และอีกไม่กี่นาทีมันก็จะกลายเป็นของเธอ
ผู้โดยสารข้างๆ ฉันต่างทยอยลงจากรถไปทีละคนๆ รถตู้จอดสนิทแล้ว แต่ฉันก็ยังคงนั่งอยู่ในรถนิ่งๆ จนคนขับต้องหันมาบอกฉันว่า
“ไอ้น้องถึงแล้ว”
ฉันจึงลงจากรถตู้ และเดินถามทางเขามาตลอดถูกบ้างผิดบ้าง แต่จนแล้วจนรอดฉันก็มายืนอยู่หน้าป้อมยามจนได้ ฉันนั่งรอเธอ ไม่กล้าโทรไปหาเธอ เพราะเกรงว่าเธอคงติดงานพิธีอยู่แน่ๆ และฉันไม่รู้ว่าเธอจะติดต่อมาเมื่อไร จนเห็นกลุ่มบัณฑิตค่อยๆ ทยอยออกมาแถวๆ ป้อมยามที่ฉันนั่งอยู่ ฉันจึงปลอบตัวเองว่า ไม่นานไปกว่านี้เดี๋ยวเธอคงโทรเข้ามา
ระหว่างที่ฉันนั่งชั่งใจว่าจะโทรศัพท์หาเธอเลยดีหรือเปล่า ก็มีบัณฑิตสาวคนหนึ่งมาขอยืมเงินฉันสองบาทเพื่อโทรหาญาติ ฉันไม่ได้ให้เงินกับบัณฑิตคนนั้น แต่ให้บัณฑิตสาวคนนั้นยืมโทรศัพท์ของฉันไปใช้แทน บัณฑิตสาวคนนั้นมีสีหน้าดีใจขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด และขอบคุณฉันหลายรอบมากจนฉันต้องรีบบอกว่า
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ช่วยๆ กัน”
“แล้วเจอเพื่อนหรือยังคะ” บัณฑิตสาวคนนั้นถามฉัน ฉันจึงได้แต่ยิ้มและส่ายหัว บัณฑิตคนนั้นปลอบใจฉันว่า
“เดี๋ยวคุณก็ได้เจออยู่แล้วเชื่อฉันสิ…”
บัณฑิตสาวคนนั้นจากไปแล้ว แต่ฉันยังคงนั่งรอเธออยู่ที่เดิม ฉันไม่รู้ว่าฉันควรจะเดินไปทางไหนดี ทางซ้าย หรือขวาที่มันจะทำให้ฉันได้พบเธอ จึงตัดสินใจโทรหาเธออีกครั้ง
ครั้งแรกเธอไม่ได้รับโทรศัพท์ของฉัน ครั้งที่สองที่สามก็เช่นกัน จนครั้งที่สี่ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันตัดสินใจว่า หากครั้งนี้เธอไม่รับโทรศัพท์ ฉันคงต้องเดินทางกลับด้วยเงื่อนไขเวลาของรถตู้คันสุดท้ายที่จอดรอฉันอยู่ เพราะมันเหลืออีกเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้นที่ฉันจะได้พบเธอ
เสียงรอสายที่ดังขึ้นทุกครั้งแอบพ่วงความหวังว่าเธอจะรับโทรศัพท์ฉันเข้าไปทุกจังหวะ ตู๊ดดด ตู๊ดดด ตู๊ดดด จนเสียงตู๊ดครั้งสุดท้ายที่ทำให้ฉันคิดว่า ครั้งนี้เธอคงไม่รับสายฉันอีกเช่นเคยจบลงไป กลับกลายเป็นเสียงของเธอที่ถามว่าฉันอยู่ไหน
ฉันบอกเธอว่าฉันอยู่ตรงป้อมยาม เธอบอกให้ฉันเดินมาที่หน้ากองอำนวยการด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง และเธอก็บอกกับฉันก่อนที่เธอจะยื่นโทรศัพท์ให้เพื่อนของเธอว่า เธอเจ็บคอ
จึงกลายเป็นว่าเพื่อนของเธอมาบอกทางฉันแทน แต่เพื่อนของเธอก็ดูเหมือนจะไม่เต็มใจให้ฉันได้พบกับเธอสักเท่าไร ด้วยการบอกทางฉันแบบผิดๆ ถูกๆ จนในที่สุดก็ตัดสายฉันทิ้งไป ตอนนั้นฉันไม่รู้ว่าฉันควรจะเดินไปทางไหนดี ระหว่างเดินกลับไปขึ้นรถตู้กับเดินไปหาเธอด้วยการถามทางคนที่เดินผ่านมาอยู่ตลอด
มันเป็นโชคดีของฉันอีกครั้งที่ฉันเลือกถามทางคนแถวนั้นจนฉันได้มายืนอยู่หน้ากองอำนวยการ เมื่อไปถึงหน้ากองอำนวยการ ริ้วธงถูกสายลมพัดโบกไปมางดงามอย่างพริ้วไหวแม้จะเป็นยามค่ำคืน ฉันเงยหน้ามองดูพระจันทร์เสี้ยวบนท้องฟ้า หันซ้ายหันขวามองหาเธอ หยุดยืนอยู่หลังรถพยาบาลแล้วพยายามมองหาเธอตลอด
ฉันมองบัณฑิตสาวทุกคนที่เดินผ่าน และหวังว่าหนึ่งในคนที่ฉันมองหาน่าจะเป็นเธอ เพราะฉันไม่เคยเห็นหน้าของเธอชัดๆ แม้ว่าเราจะคุยกันใน msn มานานพอสมควร
เธอโทรมาถามฉันว่าฉันอยู่ไหน ฉันบอกกับเธอว่า ฉันอยู่ตรงหน้ากองอำนวยการยืนอยู่ใกล้ๆ กับรถพยาบาล เธอบอกฉันว่าเธอก็ยืนรอฉันอยู่หน้ากองอำนวยการ และยืนอยู่ใกล้รถพยาบาลเช่นเดียวกัน แต่ทำไมเธอไม่เห็นฉันเลย
จนกระทั่งรถพยาบาลเคลื่อนตัวออกไปแล้ว ฉันกับเธอก็ยังไม่ได้พบกัน เพราะว่าฉันกับเธอต่างยืนหันหลังให้กันและกัน ฉันถามเธอว่าเธออยู่ตรงไหนจนเริ่มถอดใจ แล้วก็เป็นเธอที่บอกฉันว่า
“ไหนลองหันหน้ามาหน่อยสิ”
ภาพแรกในความทรงจำของฉันจึงเป็นภาพของบัณฑิตสาวคนหนึ่ง เดินเข้ามาหาฉันพร้อมกับท่วงทำนองของริมฝีปาก ที่ขยับเป็นทำนองเดียวกันกับถ้อยคำที่ฉันได้ยินจากเสียงของเธอในโทรศัพท์ว่า
“เจอแล้ว อยู่นี่เอง”
เธอยิ้ม และเดินเข้ามาหาฉัน จนฉันอดไม่ได้ที่จะต้องยิ้มด้วยความดีใจที่ฉันตามหาเธอจนพบ ฉันตื่นเต้นมาก และไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับเธอดี แม้ว่าลึกๆ ข้างในแล้ว ฉันจะมีคำพูดอยู่เป็นล้านคำที่อยากจะพูดกับเธอก็ตาม แต่ในชั่วโมงนั้นประตูของถ้อยคำกลับปิดสนิทมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
ฉันหยิบรูปที่ฉันวาด และหนังสือทำมือของฉันให้กับเธอ เธอขอบใจฉันพยายามชวนให้ฉันอยู่กินข้าวกับเธอและครอบครัว แต่ฉันก็ปฏิเสธเธอไปโดยที่ไม่ได้บอกเธอว่ารถตู้คันสุดท้ายกำลังรอฉันอยู่ และที่สำคัญทั้งเนื้อทั้งตัวฉันก็เหลือเงินแค่ 100 บาท
เธอแนะนำฉันให้พ่อแม่ของเธอได้รู้จัก ฉันยกมือไหว้ท่านทั้งสองก่อนที่จะยืนถ่ายรูปกับเธอ เสียงชัตเตอร์กับแสงแฟลชดัง และสว่างขึ้นมาสามครั้ง แล้วฉันก็ยกมือไหว้พ่อแม่ของเธอเพื่อลาอีกครั้งหนึ่ง พ่อแม่ของเธอจึงดูเหมือนจะงงต่อการมา และการไปของฉันที่เกิดขึ้นภายในเวลาแค่ 5 นาทีเท่านั้น
พระจันทร์เสี้ยวในค่ำคืนนี้ยังคงงดงามอยู่บนท้องฟ้า ฉันยิ้มให้กับเธอเป็นครั้งสุดท้ายในคืนที่ฉัน และเธอได้พบกันเป็นครั้งแรก แล้วรีบวิ่งไปขึ้นรถตู้คันสุดท้ายที่จอดรอฉันอยู่ บนรถตู้ที่ฉันนั่งกลับบ้าน ฉันถอนหายใจเบาๆ และรู้สึกดีใจที่ได้พบเธอ ถึงแม้ว่าฉันจะนั่งรถไปกลับ 4 ชั่วโมง เพื่อมาพบหน้าเธอเพียง 5 นาทีก็ตาม แต่มันก็เพียงพอแล้วที่เธอจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของฉันที่เหลืออยู่ และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่ฉันกับเธอได้พบกัน…
-2-
ครั้งที่สองที่ฉันได้พบกับเธอนั้น เป็นตอนที่ฉันไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ที่พัทยา ทันทีที่เธอรู้ว่าฉันอยู่ที่พัทยาเธอก็บอกกับฉันว่าจะขับรถมาหาฉัน ตอนแรกฉันคิดว่าเธอพูดเล่นแล้วเธอก็มาของเธอจริงๆ โดยที่ฉันเองก็ไม่รู้ว่า จากบางแสนถึงพัทยามันก็ไกลพอสมควร และที่สำคัญเธอไม่เคยขับรถไกลๆ ด้วยอีกต่างหาก
ฉันนัดเธอไว้ที่ห้างๆ หนึ่งในพัทยาแล้วก็ไปหาเธอสายมากๆ แต่เมื่อไปถึงฉันเห็นเธอนั่งรอฉันด้วยการอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้ไม้ยาวๆ ตัวหนึ่ง
ฉันหยุด และยืนมองเธอนานมากเป็นพิเศษ เพราะตลอดช่วงชีวิตของฉันที่ผ่านมา ฉันเคยฝันว่า มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งรอคอยฉันด้วยการอ่านหนังสือบนเก้าอี้ไม้ยาวๆ ตัวหนึ่ง
ในความฝันฉันจำหน้าผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ แต่ก็ดีใจที่เห็นเธอยังนั่งรอฉันอยู่ ฉันเดินเข้าไปหาเธอ แล้วนั่งลงข้างๆ เธอเงยหน้าขึ้นมาหันมามองฉัน พร้อมกับยิ้มให้ฉันเหมือนครั้งแรกที่ฉัน และเธอได้พบกัน ตราบเท่าทุกวันนี้ฉันก็ยังจดจำรอยยิ้ม และภาพนั้นได้ดี
“ขอโทษที่ต้องให้รอนาน” ฉันบอกกับเธอออกไปแต่รอยยิ้มของเธอก็ยังเปื้อนหน้าเธออยู่เหมือนเดิม
“ไม่เป็นไรหรอก” เธอบอกกับฉันพลางเก็บหนังสือใส่กระเป๋า
ฉันกับเธอเดินคุยกันไปเรื่อยๆ ต่างคนต่างมีเรื่องที่จะพูดคล้ายดั่งคนสนิทกันมานานแสนนาน จนเดินไปถึงรถของเธอที่เธอบอกฉันว่า รถเลอะหน่อยนะเพราะยังไม่ได้ล้างเลย แต่เท่าที่ฉันเห็น ฉันก็ไม่คิดว่ารถของเธอจะเลอะตรงไหน และแปลกใจมากกว่าที่ในรถของเธอไม่มีตุ๊กตาอยู่ในรถสักตัวเหมือนกับรถคันอื่นๆ ที่มีผู้หญิงเป็นเจ้าของ
“แม่ไม่ชอบ ไม่อยากให้รถดูรกด้วยมั้งก็เลยต้องตามใจแม่”
“ไหนลองหันหน้ามาหน่อยสิ”
ภาพแรกในความทรงจำของฉันจึงเป็นภาพของบัณฑิตสาวคนหนึ่ง เดินเข้ามาหาฉันพร้อมกับท่วงทำนองของริมฝีปาก ที่ขยับเป็นทำนองเดียวกันกับถ้อยคำที่ฉันได้ยินจากเสียงของเธอในโทรศัพท์ว่า
“เจอแล้ว อยู่นี่เอง”
เธอยิ้ม และเดินเข้ามาหาฉัน จนฉันอดไม่ได้ที่จะต้องยิ้มด้วยความดีใจที่ฉันตามหาเธอจนพบ ฉันตื่นเต้นมาก และไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับเธอดี แม้ว่าลึกๆ ข้างในแล้ว ฉันจะมีคำพูดอยู่เป็นล้านคำที่อยากจะพูดกับเธอก็ตาม แต่ในชั่วโมงนั้นประตูของถ้อยคำกลับปิดสนิทมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
ฉันหยิบรูปที่ฉันวาด และหนังสือทำมือของฉันให้กับเธอ เธอขอบใจฉันพยายามชวนให้ฉันอยู่กินข้าวกับเธอและครอบครัว แต่ฉันก็ปฏิเสธเธอไปโดยที่ไม่ได้บอกเธอว่ารถตู้คันสุดท้ายกำลังรอฉันอยู่ และที่สำคัญทั้งเนื้อทั้งตัวฉันก็เหลือเงินแค่ 100 บาท
เธอแนะนำฉันให้พ่อแม่ของเธอได้รู้จัก ฉันยกมือไหว้ท่านทั้งสองก่อนที่จะยืนถ่ายรูปกับเธอ เสียงชัตเตอร์กับแสงแฟลชดัง และสว่างขึ้นมาสามครั้ง แล้วฉันก็ยกมือไหว้พ่อแม่ของเธอเพื่อลาอีกครั้งหนึ่ง พ่อแม่ของเธอจึงดูเหมือนจะงงต่อการมา และการไปของฉันที่เกิดขึ้นภายในเวลาแค่ 5 นาทีเท่านั้น
พระจันทร์เสี้ยวในค่ำคืนนี้ยังคงงดงามอยู่บนท้องฟ้า ฉันยิ้มให้กับเธอเป็นครั้งสุดท้ายในคืนที่ฉัน และเธอได้พบกันเป็นครั้งแรก แล้วรีบวิ่งไปขึ้นรถตู้คันสุดท้ายที่จอดรอฉันอยู่ บนรถตู้ที่ฉันนั่งกลับบ้าน ฉันถอนหายใจเบาๆ และรู้สึกดีใจที่ได้พบเธอ ถึงแม้ว่าฉันจะนั่งรถไปกลับ 4 ชั่วโมง เพื่อมาพบหน้าเธอเพียง 5 นาทีก็ตาม แต่มันก็เพียงพอแล้วที่เธอจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของฉันที่เหลืออยู่ และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่ฉันกับเธอได้พบกัน…
-2-
ครั้งที่สองที่ฉันได้พบกับเธอนั้น เป็นตอนที่ฉันไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ที่พัทยา ทันทีที่เธอรู้ว่าฉันอยู่ที่พัทยาเธอก็บอกกับฉันว่าจะขับรถมาหาฉัน ตอนแรกฉันคิดว่าเธอพูดเล่นแล้วเธอก็มาของเธอจริงๆ โดยที่ฉันเองก็ไม่รู้ว่า จากบางแสนถึงพัทยามันก็ไกลพอสมควร และที่สำคัญเธอไม่เคยขับรถไกลๆ ด้วยอีกต่างหาก
ฉันนัดเธอไว้ที่ห้างๆ หนึ่งในพัทยาแล้วก็ไปหาเธอสายมากๆ แต่เมื่อไปถึงฉันเห็นเธอนั่งรอฉันด้วยการอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้ไม้ยาวๆ ตัวหนึ่ง
ฉันหยุด และยืนมองเธอนานมากเป็นพิเศษ เพราะตลอดช่วงชีวิตของฉันที่ผ่านมา ฉันเคยฝันว่า มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งรอคอยฉันด้วยการอ่านหนังสือบนเก้าอี้ไม้ยาวๆ ตัวหนึ่ง
ในความฝันฉันจำหน้าผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ แต่ก็ดีใจที่เห็นเธอยังนั่งรอฉันอยู่ ฉันเดินเข้าไปหาเธอ แล้วนั่งลงข้างๆ เธอเงยหน้าขึ้นมาหันมามองฉัน พร้อมกับยิ้มให้ฉันเหมือนครั้งแรกที่ฉัน และเธอได้พบกัน ตราบเท่าทุกวันนี้ฉันก็ยังจดจำรอยยิ้ม และภาพนั้นได้ดี
“ขอโทษที่ต้องให้รอนาน” ฉันบอกกับเธอออกไปแต่รอยยิ้มของเธอก็ยังเปื้อนหน้าเธออยู่เหมือนเดิม
“ไม่เป็นไรหรอก” เธอบอกกับฉันพลางเก็บหนังสือใส่กระเป๋า
ฉันกับเธอเดินคุยกันไปเรื่อยๆ ต่างคนต่างมีเรื่องที่จะพูดคล้ายดั่งคนสนิทกันมานานแสนนาน จนเดินไปถึงรถของเธอที่เธอบอกฉันว่า รถเลอะหน่อยนะเพราะยังไม่ได้ล้างเลย แต่เท่าที่ฉันเห็น ฉันก็ไม่คิดว่ารถของเธอจะเลอะตรงไหน และแปลกใจมากกว่าที่ในรถของเธอไม่มีตุ๊กตาอยู่ในรถสักตัวเหมือนกับรถคันอื่นๆ ที่มีผู้หญิงเป็นเจ้าของ
“แม่ไม่ชอบ ไม่อยากให้รถดูรกด้วยมั้งก็เลยต้องตามใจแม่”
เธอบอกกับฉันถึงสาเหตุที่ไม่มีตุ๊กตาสักตัวเดียวในรถของเธอ พร้อมรอยยิ้มเมื่อพูดถึงแม่
แล้วฉันก็นั่งรถกลับมาจากพัทยาเพื่อมาต่อรถตู้ที่บางแสนกลับกรุงเทพโดยที่มีเธอมาส่ง ด้วยเหตุผลของระยะทาง และเงื่อนไขของกาลเวลาที่นานๆ ฉันกับเธอถึงจะได้พบกันสักที ระหว่างทางฉันกับเธอจึงมีเรื่องคุยกันตลอดเวลา โชคดีที่ครั้งนี้ประตูของถ้อยคำไม่ได้ปิดสนิทเหมือนครั้งก่อน ถ้อยคำของความเป็นกันเองจึงพรั่งพรูออกมามากมายนับไม่ถ้วน
เธอขับรถพาฉันไปดูยังที่ๆ เธอรับปริญญาในค่ำคืนนั้น และมันก็ผ่านที่ที่ครั้งหนึ่งที่เคยเป็นกองอำนวยการในคืนที่ฉัน และเธอได้พบกันครั้งแรก
“นี่ไม่แลกบัตรเข้าออกเหรอ” ฉันถามเธอ เพราะเห็นเธอไม่ยอมชะลอรถเพื่อรับบัตรเข้าออก
“ไม่ต้องรับหรอก ตอนที่เรียนก็ไม่เคยรับเลย แต่ถึงจะรับไปก็ไม่ได้เอามาคืนทุกที ตอนนี้ที่บ้านเลยมีบัตรเข้าออกเยอะมาก อีกอย่างเขาก็จำรถคันนี้ได้”
เธอถามฉันว่าเคยมาที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำข้างมหาลัยหรือเปล่า พอฉันบอกว่าไม่เคยเธอก็อาสาเป็นไกด์จำเป็น เลี้ยวพวงมาลัยพาฉันไปทันที เพื่อที่จะพบว่าพิพิธภัณฑ์ปิดให้บริการวันจันทร์
“ตายจริง ต้องขอโทษด้วยนะที่ลืมไปว่าที่นี่เขาปิดวันจันทร์ เอาไว้คราวหน้าคุณมาหาแล้วฉันจะพาคุณมาที่นี่ใหม่”
ฉันยิ้มให้เธอแล้วบอกเธอว่าไม่เป็นไร ไว้คราวหน้าก็ได้ แค่ได้อยู่กับเธอนานเพิ่มขึ้นอีก 1 นาทีอย่างฉันก็พอใจแล้ว ฉันคิดของฉันอย่างนี้จริงๆ จวบจนรอยยิ้มสุดท้ายของเธอที่มาส่งฉันที่คิวรถตู้ ฉันก็ยังคงจดจำลักยิ้มสองข้างบนแก้มของเธอได้ พร้อมกับถ้อยคำของเธอบางประโยค
“กลับบ้านดีๆ นะ แล้วไว้เจอกันอีก…”
-3-
ส่วนครั้งที่สามที่ฉันได้พบเธอเป็นช่วงฤดูหนาวในเดือนตุลาคมที่คงความฝันไว้อย่างว่างเปล่า ตอนนั้นฉันไปนั่งขายหนังสือที่งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ มีคนมาเลือกซื้อหนังสือเยอะมาก และฉันก็เฝ้ามองหาเธอพร้อมกลับแอบหวังว่าหนึ่งในผู้คนที่มากมายคงเป็นเธอที่เดินแหวกผู้คนเข้ามาทักทายฉัน แต่เปล่าเลยที่ฉันจะได้เห็นเธอแม้เพียงแค่เงาของเธอก็ตาม
จนอีกวันหนึ่งที่ฉันอาบน้ำอยู่ เธอก็โทรมาหาฉัน และถามฉันว่าฉันอยู่ไหน พอฉันบอกเธอว่าฉันอยู่ที่บ้านเท่านั้นแหล่ะ เธอก็บอกว่าตอนนี้เธออยู่ที่งานสัปดาห์หนังสือรีบมานะจะรอ ฉันจึงบอกกับเธอว่าให้เธอรอฉันก่อน แล้วฉันก็รีบแต่งตัววิ่งออกจากบ้านไปขึ้นรถหาเธอ
เมื่อไปถึงฉันเห็นเธอยืนรอฉันด้วยรอยยิ้มเหมือนเดิม และเธอก็ถามฉันว่า
“ขาหายเจ็บแล้วรึไงถึงได้วิ่งมาซะเหงื่อซกขนาดนี้”
เธอรู้ว่าเอ็นร้อยหวายที่ข้อเท้าของฉันกำลังอยู่ในช่วงของการทำกายภาพบำบัดอยู่และหมอที่เป็นคนทำกายภาพบำบัดให้กับฉันก็กำชับฉันหนักหนาว่า ไม่ให้ฉันวิ่ง เพราะจะทำให้มันอาการเจ็บเรื้อรังมากกว่าเดิม
ฉันไม่ได้ตอบอะไรเธอมากมายนัก และก็ไม่ลืมที่จะหยิบหนังสือเล่มที่ฉันได้เขียนร่วมกับนักเขียนที่ฉันชอบให้เธอเก็บไว้อ่าน โชคดีที่เธอเป็นคนชอบอ่านหนังสือ และนี่ก็เป็นนิสัยของเธอที่ฉันชอบมาก เพราะมันทำให้ฉันกับเธอเข้าใจกันและกัน พร้อมทั้งแบ่งปันพื้นที่ความส่วนตัวง่ายขึ้น
เธอบอกกับฉันว่าเธอคงอยู่ได้ไม่นาน เพราะต้องรีบไปสอบเรียนปริญญาโทต่ออีก ฉันเดินไปส่งเธอขึ้นรถแท็กซี่ แล้วเดินกะเพลกขาเข้าไปในงานสัปดาห์หนังสือต่อเมื่อรถแท็กซี่คันที่เธอนั่งเคลื่อนตัวออกไปจนฉันมองไม่เห็นเธอ
เธอขับรถพาฉันไปดูยังที่ๆ เธอรับปริญญาในค่ำคืนนั้น และมันก็ผ่านที่ที่ครั้งหนึ่งที่เคยเป็นกองอำนวยการในคืนที่ฉัน และเธอได้พบกันครั้งแรก
“นี่ไม่แลกบัตรเข้าออกเหรอ” ฉันถามเธอ เพราะเห็นเธอไม่ยอมชะลอรถเพื่อรับบัตรเข้าออก
“ไม่ต้องรับหรอก ตอนที่เรียนก็ไม่เคยรับเลย แต่ถึงจะรับไปก็ไม่ได้เอามาคืนทุกที ตอนนี้ที่บ้านเลยมีบัตรเข้าออกเยอะมาก อีกอย่างเขาก็จำรถคันนี้ได้”
เธอถามฉันว่าเคยมาที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำข้างมหาลัยหรือเปล่า พอฉันบอกว่าไม่เคยเธอก็อาสาเป็นไกด์จำเป็น เลี้ยวพวงมาลัยพาฉันไปทันที เพื่อที่จะพบว่าพิพิธภัณฑ์ปิดให้บริการวันจันทร์
“ตายจริง ต้องขอโทษด้วยนะที่ลืมไปว่าที่นี่เขาปิดวันจันทร์ เอาไว้คราวหน้าคุณมาหาแล้วฉันจะพาคุณมาที่นี่ใหม่”
ฉันยิ้มให้เธอแล้วบอกเธอว่าไม่เป็นไร ไว้คราวหน้าก็ได้ แค่ได้อยู่กับเธอนานเพิ่มขึ้นอีก 1 นาทีอย่างฉันก็พอใจแล้ว ฉันคิดของฉันอย่างนี้จริงๆ จวบจนรอยยิ้มสุดท้ายของเธอที่มาส่งฉันที่คิวรถตู้ ฉันก็ยังคงจดจำลักยิ้มสองข้างบนแก้มของเธอได้ พร้อมกับถ้อยคำของเธอบางประโยค
“กลับบ้านดีๆ นะ แล้วไว้เจอกันอีก…”
-3-
ส่วนครั้งที่สามที่ฉันได้พบเธอเป็นช่วงฤดูหนาวในเดือนตุลาคมที่คงความฝันไว้อย่างว่างเปล่า ตอนนั้นฉันไปนั่งขายหนังสือที่งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ มีคนมาเลือกซื้อหนังสือเยอะมาก และฉันก็เฝ้ามองหาเธอพร้อมกลับแอบหวังว่าหนึ่งในผู้คนที่มากมายคงเป็นเธอที่เดินแหวกผู้คนเข้ามาทักทายฉัน แต่เปล่าเลยที่ฉันจะได้เห็นเธอแม้เพียงแค่เงาของเธอก็ตาม
จนอีกวันหนึ่งที่ฉันอาบน้ำอยู่ เธอก็โทรมาหาฉัน และถามฉันว่าฉันอยู่ไหน พอฉันบอกเธอว่าฉันอยู่ที่บ้านเท่านั้นแหล่ะ เธอก็บอกว่าตอนนี้เธออยู่ที่งานสัปดาห์หนังสือรีบมานะจะรอ ฉันจึงบอกกับเธอว่าให้เธอรอฉันก่อน แล้วฉันก็รีบแต่งตัววิ่งออกจากบ้านไปขึ้นรถหาเธอ
เมื่อไปถึงฉันเห็นเธอยืนรอฉันด้วยรอยยิ้มเหมือนเดิม และเธอก็ถามฉันว่า
“ขาหายเจ็บแล้วรึไงถึงได้วิ่งมาซะเหงื่อซกขนาดนี้”
เธอรู้ว่าเอ็นร้อยหวายที่ข้อเท้าของฉันกำลังอยู่ในช่วงของการทำกายภาพบำบัดอยู่และหมอที่เป็นคนทำกายภาพบำบัดให้กับฉันก็กำชับฉันหนักหนาว่า ไม่ให้ฉันวิ่ง เพราะจะทำให้มันอาการเจ็บเรื้อรังมากกว่าเดิม
ฉันไม่ได้ตอบอะไรเธอมากมายนัก และก็ไม่ลืมที่จะหยิบหนังสือเล่มที่ฉันได้เขียนร่วมกับนักเขียนที่ฉันชอบให้เธอเก็บไว้อ่าน โชคดีที่เธอเป็นคนชอบอ่านหนังสือ และนี่ก็เป็นนิสัยของเธอที่ฉันชอบมาก เพราะมันทำให้ฉันกับเธอเข้าใจกันและกัน พร้อมทั้งแบ่งปันพื้นที่ความส่วนตัวง่ายขึ้น
เธอบอกกับฉันว่าเธอคงอยู่ได้ไม่นาน เพราะต้องรีบไปสอบเรียนปริญญาโทต่ออีก ฉันเดินไปส่งเธอขึ้นรถแท็กซี่ แล้วเดินกะเพลกขาเข้าไปในงานสัปดาห์หนังสือต่อเมื่อรถแท็กซี่คันที่เธอนั่งเคลื่อนตัวออกไปจนฉันมองไม่เห็นเธอ
เมื่อกลับเข้าไปในงานรุ่นพี่สาวคนหนึ่งของฉันที่เป็นนักเขียนถามฉันว่า
“คุ้มมั๊ยเนี่ยเขามาแป๊บเดียวแล้วเราต้องเจ็บไปอีกสองเดือน”
ฉันไม่ได้ตอบอะไรกับรุ่นพี่คนนั้น นอกจากยิ้มให้แล้วนั่งนวดเท้าเบาๆ และหลังจากนั้นฉันก็ต้องทำกายภาพบำบัดเพิ่มขึ้นอีก 1 เดือน และนี่ก็เป็นครั้งที่สามที่ฉันกับเธอได้พบกัน
วัน เดือน ปี และกาลเวลาล่วงเลยผ่านไป แต่ฉันก็ยังจดจำความฝันของเธอได้เสมอ เพราะตลอดห้วงระยะเวลาที่ผ่านมา เธอบอกกับฉันอยู่เสมอว่า เธออยากไปเรียนที่อเมริกา แล้วเธอก็จะต้องไปให้ได้ ฉันฟังเธอเล่าถึงความฝันของเธอแล้วก็ได้แต่อมยิ้ม เพราะฉันเชื่อว่าเธอจะต้องทำมันได้ แล้วฉันก็เล่าความฝันของฉันให้เธอฟังว่า
“ฉันจะเป็นนักเขียน เพราะสำหรับฉันแล้วนักเขียนคือถ้อยคำของชีวิต” แต่เธอบอกกับฉันว่า
“ระวังจะเป็นนักเขียนไส้แห้งเข้าละ”
“คุ้มมั๊ยเนี่ยเขามาแป๊บเดียวแล้วเราต้องเจ็บไปอีกสองเดือน”
ฉันไม่ได้ตอบอะไรกับรุ่นพี่คนนั้น นอกจากยิ้มให้แล้วนั่งนวดเท้าเบาๆ และหลังจากนั้นฉันก็ต้องทำกายภาพบำบัดเพิ่มขึ้นอีก 1 เดือน และนี่ก็เป็นครั้งที่สามที่ฉันกับเธอได้พบกัน
วัน เดือน ปี และกาลเวลาล่วงเลยผ่านไป แต่ฉันก็ยังจดจำความฝันของเธอได้เสมอ เพราะตลอดห้วงระยะเวลาที่ผ่านมา เธอบอกกับฉันอยู่เสมอว่า เธออยากไปเรียนที่อเมริกา แล้วเธอก็จะต้องไปให้ได้ ฉันฟังเธอเล่าถึงความฝันของเธอแล้วก็ได้แต่อมยิ้ม เพราะฉันเชื่อว่าเธอจะต้องทำมันได้ แล้วฉันก็เล่าความฝันของฉันให้เธอฟังว่า
“ฉันจะเป็นนักเขียน เพราะสำหรับฉันแล้วนักเขียนคือถ้อยคำของชีวิต” แต่เธอบอกกับฉันว่า
“ระวังจะเป็นนักเขียนไส้แห้งเข้าละ”
ฉันจึงบอกเธอไปด้วยเหตุผลข้างๆ คูๆ ของฉันว่า
“ดื่มน้ำก็คงไม่แห้งแล้วมั้ง” ก่อนที่เธอจะหัวเราะในวิธีเอาตัวรอดของฉันและบอกฉันว่า
“แล้วจะคอยดูนะคุณนักเขียน”
ฉันฟังเธอพูดแล้วได้แต่ยิ้มในใจ เพราะว่าฉันคิดว่าฉันโชคดีมาก ที่ได้มีโอกาสก้าวเข้ามายืนอยู่ในสังคมของการเขียนการอ่าน และฉันเองก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาเป็นนักเขียนไส้แห้งของเธอต่อไป
หลังจากนั้นไม่นานนัก ฉันกับเธอเริ่มคุยกันน้อยลง น้อยลงมากจนบางครั้งฉันเองก็ใจหายที่เห็นเธอเงียบหายไป และไม่ตอบอีเมลรวมถึงรับโทรศัพท์ของฉันเลย ฉันกับเธอเริ่มที่จะห่างเหินกันด้วยความไม่เข้าใจกัน ที่พยายามจะทำให้ฉันกับเธอไม่เข้าใจกันมากขึ้น และดูเหมือนว่ามันจะทำได้สำเร็จ
ทุกครั้งที่คุยกันจึงกลายเป็นการทะเลาะกัน มีปากมีเสียงมากขึ้นไม่เคยจบลงด้วยรอยยิ้มเหมือนที่ผ่านมา เช่นเรื่องของความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันในบางเรื่องที่ต่างก็ไม่ยอมให้ซึ่งกันและกัน หรือไม่ก็เพราะอารมณ์ศิลปินของฉันที่เธอบอกว่า ช่างเข้าใจยากเหลือเกิน และทุกครั้งที่คุยกันก็ไม่มีเลยสักครั้งเดียวที่จะจบลงด้วยรอยยิ้มเหมือนครั้งก่อนๆ จนในที่สุดฉันก็ตัดสินใจที่จะไม่คุยกับเธออีกเลย…
-3-
ในห้วงเวลาของความเหินห่าง ระหว่างช่องว่างของความไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน ฉันใช้ช่องว่างนี้ตักตวงความฝันของฉัน ที่จะเป็นนักเขียนไส้แห้งของเธอ ด้วยการทำงานเขียนออกมาอยู่ตลอดเวลา จนวันหนึ่งที่เธอส่งอีเมลมาหาฉันเพื่อปรับความเข้าใจซึ่งกันและกัน เธออธิบายถึงเรื่องราวทั้งหมด และบอกฉันว่า ไม่อยากให้ฉันหายไปอย่างนี้เฉยๆ เพราะอีกไม่นานเธอต้องไปเรียนต่อที่อเมริกาแล้ว
ใช่ หูของฉันไม่ฝาดที่ได้ยินเธอบอกว่า เธอจะไปเรียนต่อที่อเมริกา ฉันจึงรีบโทรศัพท์ไปถามเธอทันทีว่า เธอจะไปวันไหน
“วันจันทร์ที่จะถึงนี้ ตอนตีสี่” เธอบอกกับฉันให้รู้ว่ามีเวลาเหลือที่จะอยู่ที่ประเทศไทนเพียงแค่ 2 วัน แล้วถามฉันว่าสบายดีหรือเปล่า
ฉันบอกเธอว่าฉันสบายดี และก็ไม่ลืมที่จะถามกลับไปว่า เธอสบายดีหรือเปล่าเช่นกัน
“อือ…ก็สบายดีเหมือนกัน ขอโทษนะที่เงียบหายไป”
“ ไม่ได้คิดว่าหายไปไหนสักหน่อย คิดมากอีกแล้ว เรายังอยู่ใกล้ๆ กันเสมอ”
“ใช่ เรายังอยู่ใกล้ๆ กันเสมอ”
ก่อนจะวางสายฉันบอกเธอว่า
“เดี๋ยวจะไปส่ง”
เธอบอกว่า ไม่ต้อง ด้วยเหตุผลที่ไม่อยากให้ฉันต้องลำบากที่จะต้องตื่นขึ้นมาเพื่อไปส่งเธอตอนตีสี่ ฉันไม่รู้ว่าเธอมีเหตุผลอะไรมากกว่านั้นหรือเปล่า แต่ฉันก็ตั้งใจว่ายังไงๆ ฉันก็จะไปส่งเธอให้ได้ จะว่าไปแล้วจริงๆ ฉันไม่ได้ทำเพื่อตัวเธอ แต่ฉันทำเพื่อตัวฉันเองมากกว่า และที่สำคัญฉันจะไม่ได้เจอเธออย่างน้อยก็หนึ่งปีเต็มๆ
1ปีของความฝันของเธอมันคงคล้ายกับ 365 วันของความโดดเดี่ยวที่ฉันต้องเผชิญเพียงลำพัง แต่สุดท้ายฉันก็ไม่ได้ไปส่งเธออย่างที่ฉันหวังไว้ เพราะว่าแม่ของฉันต้องไปโรงพยาบาลคนเดียวเพื่อตรวจตา และหมอก็บอกกับแม่ว่า แม่ต้องพาญาติหรือใครสักคนมาเป็นเพื่อน เพราะตอนที่ตรวจเสร็จใหม่ๆ แม่จะมองอะไรไม่เห็นไปชั่วขณะหนึ่ง ฉันบอกแม่ว่าฉันจะกลับบ้านเพื่อพาแม่ไปหาหมอ แต่แม่ก็ยืนยันว่าไม่ต้อง เพราะมาแป๊บเดียวก็ต้องกลับจะเปลืองค่ารถเปล่าๆ และแม่ก็บอกว่าแม่จะชวนคนข้างบ้านไปเป็นเพื่อนแทน
ฉันทำใจไม่ได้ที่จะปล่อยให้แม่ต้องอยู่คนเดียวตามลำพังในโลกของความมืดมิด เพราะตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมา แม่ก็อยู่คนเดียวมามากพอแล้ว มากพอที่แววตาของแม่จะดูเหมือนคนที่มีอะไรลึกๆ ปิดบังอยู่
ก่อนขึ้นรถกลับบ้าน ฉันโทรศัพท์หาเธออีกครั้งหนึ่งบอกกับเธอว่าให้ดูแลตัวเองดีๆ อยู่ที่อเมริกาอย่าลืมรักษาสุขภาพด้วย
“บอกแม่ด้วยนะว่าขอให้หายไวๆ ให้แม่รักษาสุขภาพด้วย”
ฉันฟังเธอพูดแล้วก็ได้แต่อมยิ้มในใจที่เธอเองก็เป็นห่วงแม่ของฉัน ฉันไม่รู้จะพูดอะไรมากไปกว่านี้ทั้งๆ ที่มีเรื่องมากมายค้างคาอยู่ในใจ ก่อนจะวางโทรศัพท์จากเธอฉันจึงได้แต่บอกเธอเป็นคำพูดสั้นๆ ว่า
“แล้วไว้เจอกัน”
เสียงเธอที่ปลายสายเงียบไปแล้ว แต่ฉันก็ยังได้ยินเสียงของเธออยู่ บนรถทัวร์กรุงเทพ-ชุมพรที่ฉันนั่งกลับบ้าน ตลอดระยะทางกว่า 500 กิโลเมตร ฉันนอนหลับไปตลอดทาง และสะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อถึงบ้านท่ามกลางความมืดมิดของการจากลา
สายฝนยามค่ำคืนพรำลงมาคล้ายๆ กับน้ำตาของค่ำคืนแห่งการลาจาก ฉันเคาะประตูเรียกแม่เบาๆ ซึ่งมันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับตอนตี 4 ของเช้าวันจันทร์ ที่เครื่องบินลำนั้นพาเธอไปไกลจากฉัน และห่างไกลฉันมากกว่าเดิม….
“ดื่มน้ำก็คงไม่แห้งแล้วมั้ง” ก่อนที่เธอจะหัวเราะในวิธีเอาตัวรอดของฉันและบอกฉันว่า
“แล้วจะคอยดูนะคุณนักเขียน”
ฉันฟังเธอพูดแล้วได้แต่ยิ้มในใจ เพราะว่าฉันคิดว่าฉันโชคดีมาก ที่ได้มีโอกาสก้าวเข้ามายืนอยู่ในสังคมของการเขียนการอ่าน และฉันเองก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาเป็นนักเขียนไส้แห้งของเธอต่อไป
หลังจากนั้นไม่นานนัก ฉันกับเธอเริ่มคุยกันน้อยลง น้อยลงมากจนบางครั้งฉันเองก็ใจหายที่เห็นเธอเงียบหายไป และไม่ตอบอีเมลรวมถึงรับโทรศัพท์ของฉันเลย ฉันกับเธอเริ่มที่จะห่างเหินกันด้วยความไม่เข้าใจกัน ที่พยายามจะทำให้ฉันกับเธอไม่เข้าใจกันมากขึ้น และดูเหมือนว่ามันจะทำได้สำเร็จ
ทุกครั้งที่คุยกันจึงกลายเป็นการทะเลาะกัน มีปากมีเสียงมากขึ้นไม่เคยจบลงด้วยรอยยิ้มเหมือนที่ผ่านมา เช่นเรื่องของความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันในบางเรื่องที่ต่างก็ไม่ยอมให้ซึ่งกันและกัน หรือไม่ก็เพราะอารมณ์ศิลปินของฉันที่เธอบอกว่า ช่างเข้าใจยากเหลือเกิน และทุกครั้งที่คุยกันก็ไม่มีเลยสักครั้งเดียวที่จะจบลงด้วยรอยยิ้มเหมือนครั้งก่อนๆ จนในที่สุดฉันก็ตัดสินใจที่จะไม่คุยกับเธออีกเลย…
-3-
ในห้วงเวลาของความเหินห่าง ระหว่างช่องว่างของความไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน ฉันใช้ช่องว่างนี้ตักตวงความฝันของฉัน ที่จะเป็นนักเขียนไส้แห้งของเธอ ด้วยการทำงานเขียนออกมาอยู่ตลอดเวลา จนวันหนึ่งที่เธอส่งอีเมลมาหาฉันเพื่อปรับความเข้าใจซึ่งกันและกัน เธออธิบายถึงเรื่องราวทั้งหมด และบอกฉันว่า ไม่อยากให้ฉันหายไปอย่างนี้เฉยๆ เพราะอีกไม่นานเธอต้องไปเรียนต่อที่อเมริกาแล้ว
ใช่ หูของฉันไม่ฝาดที่ได้ยินเธอบอกว่า เธอจะไปเรียนต่อที่อเมริกา ฉันจึงรีบโทรศัพท์ไปถามเธอทันทีว่า เธอจะไปวันไหน
“วันจันทร์ที่จะถึงนี้ ตอนตีสี่” เธอบอกกับฉันให้รู้ว่ามีเวลาเหลือที่จะอยู่ที่ประเทศไทนเพียงแค่ 2 วัน แล้วถามฉันว่าสบายดีหรือเปล่า
ฉันบอกเธอว่าฉันสบายดี และก็ไม่ลืมที่จะถามกลับไปว่า เธอสบายดีหรือเปล่าเช่นกัน
“อือ…ก็สบายดีเหมือนกัน ขอโทษนะที่เงียบหายไป”
“ ไม่ได้คิดว่าหายไปไหนสักหน่อย คิดมากอีกแล้ว เรายังอยู่ใกล้ๆ กันเสมอ”
“ใช่ เรายังอยู่ใกล้ๆ กันเสมอ”
ก่อนจะวางสายฉันบอกเธอว่า
“เดี๋ยวจะไปส่ง”
เธอบอกว่า ไม่ต้อง ด้วยเหตุผลที่ไม่อยากให้ฉันต้องลำบากที่จะต้องตื่นขึ้นมาเพื่อไปส่งเธอตอนตีสี่ ฉันไม่รู้ว่าเธอมีเหตุผลอะไรมากกว่านั้นหรือเปล่า แต่ฉันก็ตั้งใจว่ายังไงๆ ฉันก็จะไปส่งเธอให้ได้ จะว่าไปแล้วจริงๆ ฉันไม่ได้ทำเพื่อตัวเธอ แต่ฉันทำเพื่อตัวฉันเองมากกว่า และที่สำคัญฉันจะไม่ได้เจอเธออย่างน้อยก็หนึ่งปีเต็มๆ
1ปีของความฝันของเธอมันคงคล้ายกับ 365 วันของความโดดเดี่ยวที่ฉันต้องเผชิญเพียงลำพัง แต่สุดท้ายฉันก็ไม่ได้ไปส่งเธออย่างที่ฉันหวังไว้ เพราะว่าแม่ของฉันต้องไปโรงพยาบาลคนเดียวเพื่อตรวจตา และหมอก็บอกกับแม่ว่า แม่ต้องพาญาติหรือใครสักคนมาเป็นเพื่อน เพราะตอนที่ตรวจเสร็จใหม่ๆ แม่จะมองอะไรไม่เห็นไปชั่วขณะหนึ่ง ฉันบอกแม่ว่าฉันจะกลับบ้านเพื่อพาแม่ไปหาหมอ แต่แม่ก็ยืนยันว่าไม่ต้อง เพราะมาแป๊บเดียวก็ต้องกลับจะเปลืองค่ารถเปล่าๆ และแม่ก็บอกว่าแม่จะชวนคนข้างบ้านไปเป็นเพื่อนแทน
ฉันทำใจไม่ได้ที่จะปล่อยให้แม่ต้องอยู่คนเดียวตามลำพังในโลกของความมืดมิด เพราะตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมา แม่ก็อยู่คนเดียวมามากพอแล้ว มากพอที่แววตาของแม่จะดูเหมือนคนที่มีอะไรลึกๆ ปิดบังอยู่
ก่อนขึ้นรถกลับบ้าน ฉันโทรศัพท์หาเธออีกครั้งหนึ่งบอกกับเธอว่าให้ดูแลตัวเองดีๆ อยู่ที่อเมริกาอย่าลืมรักษาสุขภาพด้วย
“บอกแม่ด้วยนะว่าขอให้หายไวๆ ให้แม่รักษาสุขภาพด้วย”
ฉันฟังเธอพูดแล้วก็ได้แต่อมยิ้มในใจที่เธอเองก็เป็นห่วงแม่ของฉัน ฉันไม่รู้จะพูดอะไรมากไปกว่านี้ทั้งๆ ที่มีเรื่องมากมายค้างคาอยู่ในใจ ก่อนจะวางโทรศัพท์จากเธอฉันจึงได้แต่บอกเธอเป็นคำพูดสั้นๆ ว่า
“แล้วไว้เจอกัน”
เสียงเธอที่ปลายสายเงียบไปแล้ว แต่ฉันก็ยังได้ยินเสียงของเธออยู่ บนรถทัวร์กรุงเทพ-ชุมพรที่ฉันนั่งกลับบ้าน ตลอดระยะทางกว่า 500 กิโลเมตร ฉันนอนหลับไปตลอดทาง และสะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อถึงบ้านท่ามกลางความมืดมิดของการจากลา
สายฝนยามค่ำคืนพรำลงมาคล้ายๆ กับน้ำตาของค่ำคืนแห่งการลาจาก ฉันเคาะประตูเรียกแม่เบาๆ ซึ่งมันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับตอนตี 4 ของเช้าวันจันทร์ ที่เครื่องบินลำนั้นพาเธอไปไกลจากฉัน และห่างไกลฉันมากกว่าเดิม….
Tuesday, October 03, 2006
บันทึกประจำวันหมายเลข 1
สืบเนื่องมาจากคนใกล้ตัวพูดกรอกหูทุกวัน และอาการเจ็บก็เพิ่มถี่ขึ้นเรื่อยๆ เช้านี้เลยตัดสินใจแหกขี้ตาตื่นตั้งแต่ 7 โมงไปโรงพยาบาลเพื่อให้หมอทำการตรวจวินิจฉัยโรค พร้อมกับบัตรประกันสังคมที่ในที่สุดก็ได้ใช้งานเสียที (เมื่อคืนไอ้เม็ดนุ่นมันบอกว่าเป็นอาการเตือนก่อนอกหักหรือเปล่า เอ่อ…ได้ข่าวว่าที่อกหักนะเม็ดนุ่นไม่ใช่เหรอ)
ไปถึงขั้นตอนก็เป็นไปตามปกติสำหรับคนไข้ใหม่อย่างผม(หมายถึงใหม่ของที่โรงพยาบาลนี้) พยาบาลก็ถามรายละเอียดต่างๆ แล้วให้กรอกเอกสารประวัติคนไข้ หลังจากนั้นก็ไปนั่งรอ(แต่โชคดีที่รอไม่นาน) พยาบาลก็เรียกชื่อคุณวิภพคะ ผมก็เดินเข้าไปหาพยาบาลถึงได้รู้ว่าบัตรประกันสังคมใช้ไม่ได้(ทั้งๆ ที่ก็จ่ายตังค์ครบนะเฟ้ย)
พยาบาลให้เหตุผลมาว่าอาจจะยังไม่ครบกำหนดสามเดือนหรือไม่ก็ประกันสังคมเขายังไม่แจ้งมา เลยถามว่าแล้วมันต้องเสียค่าใช้จ่ายประมาณเท่าไร
“ไม่น่าจะเกิน 400 นะคะ แค่ตรวจอย่างเดียว”
เลยตัดสินใจบอกพยาบาลว่างั้นตรวจเลยครับ พยาบาลก็ถามอีกว่าเป็นอะไรมาคะ
“ผมเจ็บแปล๊บที่หัวใจมาสี่วันติดๆ แล้วละครับ มีเมื่อวานเจ็บถี่ขึ้น”
พยาบาลฟังแล้วก็มองหน้าแบบอึ้งๆ จนต้องบอกไปว่า
“ไม่ได้มุก ผมเจ็บจริงๆ”
พยาบาลถึงได้พาไปจุดตรวจอีกที่หนึ่งพร้อมทั้งบอกว่าเดี๋ยวจะทำสิทธิ์คนไข้ให้ลด10%แล้วกัน (ใจดีมาก) พอถึงจุดตรวจคราวนี้ก็เป็นไปตามขั้นตอนปกติอีก คือชั่งน้ำหนัก วัดความดัน บอกอาการ แล้วก็เช่นเคย พอบอกพยาบาลที่ตรวจว่า เจ็บแปล๊บที่หัวใจ พยาบาลก็มองหน้าแบบอึ้งๆ อีก
“ผมเจ็บจริงๆ ครับ”
“งั้นเอามือล้วงเข้ามาในนี้เลยคะ ดันเข้ามาหน่อยคะ นั่นแหละคะ ดีคะ”(เอ่อ…อย่าคิดลึก)
เครื่องวัดความดันค่อยๆ รัดเข้าตรงท่อนแขน พร้อมๆ กับความรู้สึกที่ว่าเส้นชีพจรมันเต้นแบบสัมผัสได้ จนพุ่งไปถึง117และลดลงมาที่67 สรุปค่าความดันในตอนนี้คือ 117/67 (ปกติไม่ควรเกิน140และไม่ควรต่ำกว่า40) หลังจากนั้นก็ไปนั่งรอเขาเรียกเข้าไปพบหมอเพื่อทำการวินิจฉัย ระหว่างรอเลยนั่งอ่านข่าวนาตาลี เกลโบวา ไปออกรายการVIP แล้วขี่ควาย ดำนา เห็นแล้วสงสาร ไม่เข้าใจทำไมคนสวยต้องมาทำอะไรอย่างนี้(เป็นพี่อันกับเม็ดนุ่นว่าไปอย่าง) อ่านๆ อยู่ได้ครึ่งเดียวพยาบาลก็มาเรียกให้เข้าไปพบหมอ
หมอเป็นผู้ชายถามนู่นถามนี่แล้วก็บอกว่า ทีหลังถ้าไปเดินป่าแล้วมีไข้ให้มารีบตรวจทันที โชคดีนะที่ไม่มีไข้ แล้วพยาบาลก็มาเรียกให้ไปขึ้นเตียง (เอ่อ…อย่าคิดมาก) แล้วบอกว่า
“ขึ้นไปนอนแล้วถอดเสื้อเลยคะ”(อย่าคิดมากอีก)
พอเห็นผมเงอะๆ งะๆ พยาบาลเลยบอกว่า ถอดเลยคะอย่าช้า แต่ไม่ต้องถอดหมดนะคะ(เอ๊ะยังไง) สักพักหมอก็เดินมาเอาเครื่องมือมาตรวจจับชีพจรซ้ายทีขวาที แล้วก็เอามือกดๆ พอเสร็จหมอก็ตบพุงไปหนึ่งที(เซ็งเพราะแขม่วไม่ทัน) แล้วบอกว่า ปกติดีแต่น่าจะไปเอกซเรย์ดูด้วยเพื่อความแน่ใจ เลยเดินตามพยาบาลไปนั่งรออยู่หน้าห้องเอกซเรย์
นั่งรออยู่สักพักพยาบาลก็เรียกเข้าไปในห้องถามว่าใส่สร้อยหรือเปล่าถ้าใส่ก็ต้องถอดก่อน เลยถอดสร้อยเก็บไว้ในกระเป๋า(สร้อยแบบเชือกไม่ใช่สร้อยทอง) แล้วพยาบาลก็บอกให้ไปยืนตรงเครื่องฉาย จับมือผมเท้าเอวแล้วเลื่อนเครื่องฉายให้สูงขึ้น(นึกภาพยืนเท้าเอวสองข้างแล้วยืนเชิดหน้า) แล้วพยาบาลก็เอามือมากดตูดให้ยืนชิดกับเครื่อง ก่อนจะบอกว่า
“เดี๋ยวหายใจลึกๆ แล้วค้างไว้นะคะ”
ผมก็หายใจลึกๆ แล้วค้างไว้ตามที่พยาบาลบอกจนนานผิดปกติ หันไปมองดูถึงได้รู้ว่า พยาบาลยังไม่ได้เดินไปประจำที่เครื่อง แต่เดินไปที่อื่นแทน พอกลับมาที่เครื่องถึงได้บอกว่า
“หายใจลึกๆ แล้วกั้นไว้สิคะ”(เอ่อ…กูกลั้นหายใจจนจะหายใจไม่ออกแล้วนะ)
“เสร็จแล้วคะ เดี๋ยวเดินไปนั่งรอให้หมอตรวจเลยนะคะ”
สุดท้ายผลการตรวจออกมาว่า อาการเสียวแปล๊บๆ ตรงแถวหัวใจ เกิดจากกล้ามเนื้ออักเสบแถวอกแถวหัวใจอักเสบ ซึ่งน่าจะมีสาเหตุมาจากการแบกเป้หนักๆ ตอนไปเดินป่าเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว และได้ยามากินเยอะมาก
นอกจากยาคลายกล้ามเนื้อแล้ว หนึ่งในนั้นคือ ยาแก้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ซึ่งไม่เคยกินมาก่อน และจ่ายค่ายาที่เบิกประกันสังคมไม่ได้อีก 984 บาท (ไหนว่าไม่น่าเกิน 400ไงวะ) และเหลือเงินออกมาจากโรงพยาบาล 16 บาท T-T
ขากลับนั่งรถตู้ไปทำงานได้ยินคนข้างๆ มันโทรศัพท์หาเพื่อนพูดว่า อะไรวันนี้วันเกิดกูมึงจำไม่ได้เหรอ
เฮ้อ…อีกไม่กี่วันก็ถึงวันเกิดตัวเองแล้วหวังว่าคงไม่ต้องพูดกับใครแบบนี้นะ
ไปถึงขั้นตอนก็เป็นไปตามปกติสำหรับคนไข้ใหม่อย่างผม(หมายถึงใหม่ของที่โรงพยาบาลนี้) พยาบาลก็ถามรายละเอียดต่างๆ แล้วให้กรอกเอกสารประวัติคนไข้ หลังจากนั้นก็ไปนั่งรอ(แต่โชคดีที่รอไม่นาน) พยาบาลก็เรียกชื่อคุณวิภพคะ ผมก็เดินเข้าไปหาพยาบาลถึงได้รู้ว่าบัตรประกันสังคมใช้ไม่ได้(ทั้งๆ ที่ก็จ่ายตังค์ครบนะเฟ้ย)
พยาบาลให้เหตุผลมาว่าอาจจะยังไม่ครบกำหนดสามเดือนหรือไม่ก็ประกันสังคมเขายังไม่แจ้งมา เลยถามว่าแล้วมันต้องเสียค่าใช้จ่ายประมาณเท่าไร
“ไม่น่าจะเกิน 400 นะคะ แค่ตรวจอย่างเดียว”
เลยตัดสินใจบอกพยาบาลว่างั้นตรวจเลยครับ พยาบาลก็ถามอีกว่าเป็นอะไรมาคะ
“ผมเจ็บแปล๊บที่หัวใจมาสี่วันติดๆ แล้วละครับ มีเมื่อวานเจ็บถี่ขึ้น”
พยาบาลฟังแล้วก็มองหน้าแบบอึ้งๆ จนต้องบอกไปว่า
“ไม่ได้มุก ผมเจ็บจริงๆ”
พยาบาลถึงได้พาไปจุดตรวจอีกที่หนึ่งพร้อมทั้งบอกว่าเดี๋ยวจะทำสิทธิ์คนไข้ให้ลด10%แล้วกัน (ใจดีมาก) พอถึงจุดตรวจคราวนี้ก็เป็นไปตามขั้นตอนปกติอีก คือชั่งน้ำหนัก วัดความดัน บอกอาการ แล้วก็เช่นเคย พอบอกพยาบาลที่ตรวจว่า เจ็บแปล๊บที่หัวใจ พยาบาลก็มองหน้าแบบอึ้งๆ อีก
“ผมเจ็บจริงๆ ครับ”
“งั้นเอามือล้วงเข้ามาในนี้เลยคะ ดันเข้ามาหน่อยคะ นั่นแหละคะ ดีคะ”(เอ่อ…อย่าคิดลึก)
เครื่องวัดความดันค่อยๆ รัดเข้าตรงท่อนแขน พร้อมๆ กับความรู้สึกที่ว่าเส้นชีพจรมันเต้นแบบสัมผัสได้ จนพุ่งไปถึง117และลดลงมาที่67 สรุปค่าความดันในตอนนี้คือ 117/67 (ปกติไม่ควรเกิน140และไม่ควรต่ำกว่า40) หลังจากนั้นก็ไปนั่งรอเขาเรียกเข้าไปพบหมอเพื่อทำการวินิจฉัย ระหว่างรอเลยนั่งอ่านข่าวนาตาลี เกลโบวา ไปออกรายการVIP แล้วขี่ควาย ดำนา เห็นแล้วสงสาร ไม่เข้าใจทำไมคนสวยต้องมาทำอะไรอย่างนี้(เป็นพี่อันกับเม็ดนุ่นว่าไปอย่าง) อ่านๆ อยู่ได้ครึ่งเดียวพยาบาลก็มาเรียกให้เข้าไปพบหมอ
หมอเป็นผู้ชายถามนู่นถามนี่แล้วก็บอกว่า ทีหลังถ้าไปเดินป่าแล้วมีไข้ให้มารีบตรวจทันที โชคดีนะที่ไม่มีไข้ แล้วพยาบาลก็มาเรียกให้ไปขึ้นเตียง (เอ่อ…อย่าคิดมาก) แล้วบอกว่า
“ขึ้นไปนอนแล้วถอดเสื้อเลยคะ”(อย่าคิดมากอีก)
พอเห็นผมเงอะๆ งะๆ พยาบาลเลยบอกว่า ถอดเลยคะอย่าช้า แต่ไม่ต้องถอดหมดนะคะ(เอ๊ะยังไง) สักพักหมอก็เดินมาเอาเครื่องมือมาตรวจจับชีพจรซ้ายทีขวาที แล้วก็เอามือกดๆ พอเสร็จหมอก็ตบพุงไปหนึ่งที(เซ็งเพราะแขม่วไม่ทัน) แล้วบอกว่า ปกติดีแต่น่าจะไปเอกซเรย์ดูด้วยเพื่อความแน่ใจ เลยเดินตามพยาบาลไปนั่งรออยู่หน้าห้องเอกซเรย์
นั่งรออยู่สักพักพยาบาลก็เรียกเข้าไปในห้องถามว่าใส่สร้อยหรือเปล่าถ้าใส่ก็ต้องถอดก่อน เลยถอดสร้อยเก็บไว้ในกระเป๋า(สร้อยแบบเชือกไม่ใช่สร้อยทอง) แล้วพยาบาลก็บอกให้ไปยืนตรงเครื่องฉาย จับมือผมเท้าเอวแล้วเลื่อนเครื่องฉายให้สูงขึ้น(นึกภาพยืนเท้าเอวสองข้างแล้วยืนเชิดหน้า) แล้วพยาบาลก็เอามือมากดตูดให้ยืนชิดกับเครื่อง ก่อนจะบอกว่า
“เดี๋ยวหายใจลึกๆ แล้วค้างไว้นะคะ”
ผมก็หายใจลึกๆ แล้วค้างไว้ตามที่พยาบาลบอกจนนานผิดปกติ หันไปมองดูถึงได้รู้ว่า พยาบาลยังไม่ได้เดินไปประจำที่เครื่อง แต่เดินไปที่อื่นแทน พอกลับมาที่เครื่องถึงได้บอกว่า
“หายใจลึกๆ แล้วกั้นไว้สิคะ”(เอ่อ…กูกลั้นหายใจจนจะหายใจไม่ออกแล้วนะ)
“เสร็จแล้วคะ เดี๋ยวเดินไปนั่งรอให้หมอตรวจเลยนะคะ”
สุดท้ายผลการตรวจออกมาว่า อาการเสียวแปล๊บๆ ตรงแถวหัวใจ เกิดจากกล้ามเนื้ออักเสบแถวอกแถวหัวใจอักเสบ ซึ่งน่าจะมีสาเหตุมาจากการแบกเป้หนักๆ ตอนไปเดินป่าเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว และได้ยามากินเยอะมาก
นอกจากยาคลายกล้ามเนื้อแล้ว หนึ่งในนั้นคือ ยาแก้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ซึ่งไม่เคยกินมาก่อน และจ่ายค่ายาที่เบิกประกันสังคมไม่ได้อีก 984 บาท (ไหนว่าไม่น่าเกิน 400ไงวะ) และเหลือเงินออกมาจากโรงพยาบาล 16 บาท T-T
ขากลับนั่งรถตู้ไปทำงานได้ยินคนข้างๆ มันโทรศัพท์หาเพื่อนพูดว่า อะไรวันนี้วันเกิดกูมึงจำไม่ได้เหรอ
เฮ้อ…อีกไม่กี่วันก็ถึงวันเกิดตัวเองแล้วหวังว่าคงไม่ต้องพูดกับใครแบบนี้นะ
Monday, October 02, 2006
เจ็บแปล๊บ
เจ็บหน้าอก กับโรคหัวใจขาดเลือด
-อาการเจ็บหน้าอก เป็นอาการที่สำคัญอย่างหนึ่ง ของโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ แต่ก็อาจจะเป็นอาการของโรคอื่นๆ ที่ไม่ใช่โรคหัวใจก็ได้ คนทั่วไปมักจะคิดว่า อาการเจ็บหน้าอก โดยเฉพาะเจ็บหน้าอกด้านซ้าย เกิดจากโรคหัวใจ จึงเกิดความกังวล ความกลัวว่า จะมีอันตรายถึงชีวิตจากหัวใจวาย
โดยทั่วไป อาการเจ็บหน้าอกพบได้บ่อย ในชีวิตประจำวัน ของคนทั่วๆ ไป อาการเจ็บหน้าอก เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น อาการเจ็บในหลอดอาหาร ปอด เยื่อหุ้มปอด หรือในกล้ามเนื้อ และพังผืดผนังหน้าอก นอกจากนี้ยังเกี่ยวเนื่องไปถึง กระดูกหน้าอก กระดูกซี่โครงอ่อนด้านหน้า และข้อต่อของกระดูก อาการเจ็บในหลอดอาหาร มักเกิดขึ้น ระหว่างรับประทานอาหาร บางทีเกิดระหว่างกลืน บางทีอาจเกิดจาก หลังรับประทานอาหาร มักมีอาการจุกเสียดบริเวณลิ้นปี่ และใต้กระดูก หน้าอก เกิดเนื่องจาก กรดในกระเพาะอาหาร ไหลย้อนกลับไปที่หลอดอาหาร ทำให้เกิดการอักเสบ ของหลอดอาหารได้
อาการเจ็บจากปอด และเยื่อหุ้มปอดมักจะมีอาการเจ็บ ที่เกี่ยวข้องกับการหายใจเข้าลึกๆ ลักษณะการเจ็บจะมีอาการเจ็บแปล๊บๆ ขึ้นมาได้ บางครั้งอาจมีอาการบวม และกดเจ็บบริเวณที่มีการอักเสบ ของกระดูกข้อต่อ ระหว่างกระดูกหน้าอก และกระดูกซี่โครงอ่อน อาการที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ล้วนทำให้ผู้ที่เกิดอาการ มักไม่แน่ใจว่าตัวเอง จะเป็นโรคหัวใจขาดเลือดหรือไม่ ซึ่งในตอนต่อไป จะได้กล่าวถึงอาการเจ็บหน้าอก จากโรคหัวใจขาดเลือด-
ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจที่อยู่ๆ จะเข้าไปค้นข้อมูลนี้ในอินเตอร์เน็ตหลังจากพบว่าตัวเองเจ็บที่หน้าอกมาสี่วันติดๆ แล้ว แล้วทุกครั้งที่เกิดอาการก็แทบจะขยับเขยื่อนไม่ได้ ตอนที่เจ็บครั้งแรกก็เฉยๆ คิดว่าคงเป็นอาการจุกเสียดตรงหน้าอก แต่พอมันเจ็บติดต่อกันกันมาสี่วันเลยเริ่มนึกถึงความตาย เออ…ไม่แน่อยู่ๆ อาจจะหัวใจวายตายไปเลยก็ได้
ตอนนี้เลยได้แต่ทำใจแล้วคิดว่าเร็วๆ นี้น่าจะลองไปหาหมอดูตรวจสุขภาพสักครั้ง และถ้าอยู่ๆ หายไปก็ไม่ต้องตกใจ บางทีอาจจะหัวใจวายตายไปแล้วก็ได้ เฮ้อ! เจ็บแปล๊บคราวนี้น่ากลัวจริงๆ
ปล.ภาวนาอย่าเพิ่งเป็นอะไรไปก่อนมีงานเขียนออกมาสักเล่ม ไม่งั้นตายไปอาจไม่มีงานอมตะที่กลายเป็นที่รู้จักของทุกคนT-T อีกอย่างยังไม่ได้บวชให้แม่เลย
Subscribe to:
Posts (Atom)